
| ฟ้องเพิกถอนนิติกรรมฉ้อฉล & สิทธิผู้รับโอนสิทธิเรียกร้อง (ฎีกา 3107/2568)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสิทธิของผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องในการฟ้องเพิกถอนนิติกรรมฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 โดยกรณีที่ลูกหนี้โอนที่ดินและทรัพย์สินให้แก่บุตรและบุคคลภายนอกเพื่อให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องก็มีสิทธิฟ้องเพิกถอนได้เช่นเดียวกับเจ้าหนี้เดิม พร้อมทั้งพิจารณาสถานะของบุคคลภายนอกว่ามีความสุจริตหรือไม่ รวมถึงสิทธิของผู้รับจำนองที่ได้สิทธิมาโดยสุจริตซึ่งยังคงได้รับความคุ้มครอง สรุปข้อเท็จจริง • จำเลยที่ 1 และ 2 กู้เงินและมีหนี้ค้างชำระ ต่อมามีการโอนสิทธิเรียกร้องจากเจ้าหนี้เดิมให้นางสาวกัญญานาถ และสุดท้ายโจทก์ได้รับโอนสิทธิเรียกร้องต่อมา • ระหว่างที่คดีฟ้องบังคับชำระหนี้ยังดำเนินอยู่ จำเลยที่ 1 และ 2 ได้โอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 ให้แก่บุตร (จำเลยที่ 3 และ 4) โดยเสน่หา และภายหลังจำเลยที่ 3 และ 4 ได้ขายต่อให้จำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นน้องสาวของจำเลยที่ 1 • จำเลยที่ 5 นำที่ดินไปจำนองแก่ธนาคาร ก. • โจทก์ฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการโอนดังกล่าว รวมถึงการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 827 และการโอนรถยนต์แก่บุคคลอื่น • ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง แต่โจทก์ฎีกา คำวินิจฉัยของศาลฎีกา 1. สิทธิของผู้รับโอนสิทธิเรียกร้อง: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้โจทก์มิใช่เจ้าหนี้ในขณะที่มีการทำนิติกรรมฉ้อฉล แต่เมื่อได้รับโอนสิทธิเรียกร้องมาก็ถือเป็นเจ้าหนี้ตามกฎหมาย มีสิทธิฟ้องเพิกถอนได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 2. กรณีที่ดินโฉนดเลขที่ 35666: • การโอนที่ดินให้บุตรเป็นการให้โดยเสน่หาและกระทำขณะมีคดีฟ้องบังคับหนี้ จึงเป็นนิติกรรมฉ้อฉล • จำเลยที่ 5 รับโอนต่อโดยไม่สุจริต เนื่องจากเป็นญาติใกล้ชิดและรู้ถึงคดีฟ้องหนี้ จึงไม่ถือว่าได้สิทธิมาโดยสุจริตตาม มาตรา 238 • ศาลจึงเพิกถอนการโอนและให้ที่ดินกลับเป็นของจำเลยที่ 1 และ 2 แต่ยังคงติดภาระจำนองกับธนาคาร ก. ผู้รับจำนองโดยสุจริต 3. กรณีการโอนรถยนต์แก่จำเลยที่ 6: • พยานหลักฐานไม่เพียงพอว่าจำเลยที่ 6 ทราบถึงหนี้และมีเจตนาทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ • ศาลเห็นว่าจำเลยที่ 6 ซื้อโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน จึงไม่เพิกถอน 4. กรณีที่ดินโฉนดเลขที่ 827: • ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้อง (โจทก์) มีสิทธิฟ้องเพิกถอนได้ • แต่เนื่องจากจำเลยที่ 7 ถึง 9 ซื้อโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนจริง จึงถือเป็นบุคคลภายนอกที่ได้รับสิทธิคุ้มครอง ไม่เพิกถอนการโอน วิเคราะห์ประเด็นกฎหมาย • มาตรา 237 ป.พ.พ. คุ้มครองเจ้าหนี้ไม่ให้เสียเปรียบจากการที่ลูกหนี้โอนทรัพย์โดยไม่สุจริต • มาตรา 238 ป.พ.พ. วางหลักว่าบุคคลภายนอกที่ได้สิทธิมาโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนต้องได้รับความคุ้มครอง • ประเด็นสำคัญ: ศาลฎีกาได้วางหลักว่า สิทธิฟ้องเพิกถอนนิติกรรมฉ้อฉลไม่จำกัดเฉพาะเจ้าหนี้ดั้งเดิม แต่รวมถึงผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องด้วย
IRAC Analysis Issue (ประเด็น): ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องมีสิทธิฟ้องเพิกถอนนิติกรรมฉ้อฉลตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 ได้หรือไม่ และการรับโอนทรัพย์ของบุคคลภายนอกถือว่าสุจริตหรือไม่ Rule (กฎหมาย): • ป.พ.พ. มาตรา 237: เจ้าหนี้สามารถฟ้องเพิกถอนนิติกรรมฉ้อฉลได้ • ป.พ.พ. มาตรา 238: หากบุคคลภายนอกได้สิทธิโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน จะไม่ถูกเพิกถอน Application (การวิเคราะห์): • โจทก์แม้ไม่ใช่เจ้าหนี้ดั้งเดิม แต่เมื่อได้รับโอนสิทธิเรียกร้องก็มีสถานะเจ้าหนี้ตามกฎหมาย • จำเลยที่ 5 เป็นญาติใกล้ชิด รู้ถึงหนี้ และให้การรับสารภาพในคดีโกงเจ้าหนี้ จึงไม่สุจริต • ธนาคาร ก. ได้สิทธิจำนองก่อนฟ้อง จึงเป็นบุคคลภายนอกโดยสุจริต • จำเลยที่ 7–9 ซื้อที่ดินด้วยเงินกู้และเสียค่าตอบแทนจริง ถือว่าเป็นผู้สุจริต Conclusion (ข้อสรุป): ศาลฎีกาพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 แต่ไม่เพิกถอนการโอนรถยนต์และโฉนดที่ดินเลขที่ 827 เนื่องจากมีบุคคลภายนอกสุจริตเกี่ยวข้อง ข้อคิดทางกฎหมาย คำพิพากษานี้เป็นแนวทางสำคัญที่ยืนยันว่า ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องมีสิทธิฟ้องเพิกถอนนิติกรรมฉ้อฉลได้เช่นเดียวกับเจ้าหนี้เดิม เพื่อคุ้มครองเจ้าหนี้จากการกระทำที่ไม่สุจริตของลูกหนี้ ขณะเดียวกันก็กำหนดสมดุลในการคุ้มครองสิทธิบุคคลภายนอกที่ได้สิทธิโดยสุจริต ซึ่งเป็นหลักความยุติธรรมที่สอดคล้องกับหลักคุณธรรมของกฎหมายแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3107/2568 แม้โจทก์มิใช่เจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ในขณะที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนยกที่ดินให้จำเลยที่ 3 แต่เมื่อโจทก์รับโอนสิทธิเรียกร้องมาแล้วย่อมมีฐานะเป็นเจ้าหนี้เช่นกัน จึงต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิเช่นเดียวกับเจ้าหนี้เดิมที่โอนสิทธิเรียกร้อง เจ้าหนี้ที่อาจใช้สิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 จึงไม่จำกัดเฉพาะเจ้าหนี้ในขณะที่ลูกหนี้ทำนิติกรรมฉ้อฉลเท่านั้น แต่หมายรวมถึงเจ้าหนี้ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องด้วย โจทก์ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องจึงมีสิทธิเช่นเดียวกับผู้โอนสิทธิเรียกร้องในการฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมที่ฉ้อฉลตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ร่วมกันจดทะเบียนเพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 ให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 7 ถึงที่ 9 ร่วมกันจดทะเบียนเพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 827 ให้จำเลยที่ 1 และที่ 6 ร่วมกันจดทะเบียนเพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ หากจำเลยทั้งเก้าไม่ดำเนินการขอถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา จำเลยทั้งเก้าให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 และจำเลยที่ 3 และที่ 4 โอนขายให้แก่จำเลยที่ 5 หรือไม่ ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังได้ว่า วันที่ 29 กันยายน 2558 โจทก์รับโอนสิทธิเรียกร้องที่มีต่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 จากนางสาวกัญญานาถ วันที่ 4 เมษายน 2560 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้และสัญญาค้ำประกัน ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2560 ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินกู้ 15,125,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันร่วมรับผิด เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ผบ 381/2560 คดีหมายเลขแดงที่ ผบ 1875/2560 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน วันที่ 24 กรกฎาคม 2560 จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 ให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นบุตร วันที่ 2 พฤษภาคม 2561 จำเลยที่ 3 และที่ 4 โอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 ให้แก่จำเลยที่ 5 วันที่ 17 กรกฎาคม 2561 จำเลยที่ 5 จดทะเบียนจำนองที่ดินแก่ธนาคาร ก. และที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 จดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 ให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 โดยไม่มีค่าตอบแทนจึงเป็นการให้โดยเสน่หาและเป็นการโอนที่ดินหลังจากโจทก์ฟ้องคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ผบ 381/2560 เพียง 3 เดือนเศษ จึงเป็นการโอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 โดยรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 วรรคแรก จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 มิได้แก้ฎีกาเป็นอื่น จึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 5 รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 จากจำเลยที่ 3 และที่ 4 โดยไม่สุจริต คดีจึงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า จำเลยที่ 5 เป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยสุจริตก่อนเริ่มฟ้องคดีขอเพิกถอน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 238 วรรคแรก หรือไม่ ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังได้ว่า การโอนที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 เป็นการกระทำที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 เป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 251/2562 คดีหมายเลขแดงที่ อ 474/2563 ของศาลแขวงพระนครศรีอยุธยา ข้อหาความผิดโกงเจ้าหนี้ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ให้การรับสารภาพตามฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 จดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 ให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 แล้วจำเลยที่ 3 และที่ 4 จดทะเบียนขายให้แก่จำเลยที่ 5 และจำเลยที่ 5 จดทะเบียนจำนองไว้แก่ธนาคาร ก. อันเป็นการกระทำเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนซึ่งได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาล อันเป็นการโอนทรัพย์ให้แก่บุคคลอื่นทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย คดีถึงที่สุดแล้ว และยังได้ความว่า เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2560 จำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นน้องสาวจำเลยที่ 1 เป็นพยานเบิกความในคดีหมายเลขดำที่ ผบ 381/2560 ที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระหนี้เงินกู้และค้ำประกัน จำเลยที่ 5 มิได้นำสืบโต้แย้งเป็นอื่น แสดงว่าจำเลยที่ 5 ทราบเรื่องที่โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันแล้วตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน 2560 ที่จำเลยที่ 5 ไปเป็นพยาน หลังจากนั้นวันที่ 2 พฤษภาคม 2561 จำเลยที่ 5 จึงรับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 จากจำเลยที่ 3 และที่ 4 แม้จำเลยที่ 5 อ้างว่า จำเลยที่ 5 ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 จากจำเลยที่ 3 และที่ 4 ที่ขายให้แก่จำเลยที่ 5 เพื่อชำระหนี้ที่จำเลยที่ 3 กู้เงินจากจำเลยที่ 5 แต่ก็เป็นการรับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 ทั้งที่จำเลยที่ 5 ก็รู้ว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ชำระหนี้เงินกู้และสัญญาค้ำประกันแล้ว เมื่อพิจารณาประกอบกับพฤติการณ์ของจำเลยที่ 5 ที่ให้การรับสารภาพในคดีอาญาที่ตนเองถูกฟ้องในข้อหาโกงเจ้าหนี้ว่า จำเลยที่ 5 รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 จากจำเลยที่ 3 และที่ 4 เพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ซึ่งเป็นพฤติการณ์ที่ชี้ให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยที่ 5 ว่า จำเลยที่ 5 มีเจตนารับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 เพื่อให้ที่ดินดังกล่าวหลุดพ้นจากการบังคับคดีในคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 อันเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 และที่ 2 เสียเปรียบ พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวมีน้ำหนักและเหตุผลให้รับฟังดีกว่าพยานจำเลยที่ 5 ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 5 มิใช่บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยสุจริตก่อนฟ้องคดีขอเพิกถอน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 238 วรรคแรก ดังนั้น การเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 จึงใช้บังคับแก่จำเลยที่ 5 ได้ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 35666 มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น แต่อย่างไรก็ดี การเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 ไม่มีผลกระทบถึงสิทธิของธนาคาร ก. ผู้รับจำนอง เพราะธนาคาร ก. เป็นบุคคลภายนอกที่ได้สิทธิมาโดยสุจริตก่อนเริ่มฟ้องคดีขอเพิกถอน การเพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 ให้กลับไปเป็นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงยังคงต้องติดภาระจำนองไปด้วย ส่วนการที่จำเลยที่ 5 กระทำการดังกล่าวโดยไม่สุจริต ก่อให้เกิดภาระผูกพันแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 ทำให้เจ้าหนี้ผู้ถูกการฉ้อฉลไม่อาจบังคับชำระหนี้แก่ที่ดินดังกล่าวโดยปลอดจำนองได้นั้น เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่อาจบังคับชำระหนี้จากที่ดินแปลงดังกล่าวได้ไม่ครบถ้วน แต่เมื่อโจทก์มิได้ใช้สิทธิเรียกร้องจากจำเลยที่ 5 ในส่วนนี้จึงไม่อาจบังคับให้ได้
ที่โจทก์ฎีกาขอให้เพิกถอนการโอนรถยนต์ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 6 ซึ่งปรากฏหลักฐานการจดทะเบียน บันทึกเจ้าหน้าที่ว่า วันที่ 27 พฤศจิกายน 2558 จำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้แก่จำเลยที่ 6 อันเป็นการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์หลังจากโจทก์รับโอนสิทธิเรียกร้องที่มีต่อจำเลยที่ 1 จากนางสาวกัญญานาถเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2558 จึงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 6 รับโอนรถยนต์จากจำเลยที่ 1 โดยรู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบหรือไม่ เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงที่เป็นเหตุเพื่อขอให้เพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ จำเลยที่ 6 ให้การปฏิเสธว่าจำเลยที่ 6 ซื้อรถยนต์โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โจทก์จึงมีภาระในการพิสูจน์ พยานโจทก์มีตัวโจทก์เป็นพยานเพียงปากเดียวเบิกความว่า จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้แก่จำเลยที่ 6 เพื่อให้โจทก์ไม่สามารถบังคับคดีได้ส่วนจำเลยที่ 6 เบิกความว่า จำเลยที่ 6 ซื้อรถยนต์จากจำเลยที่ 1 เมื่อปี 2557 ในราคา 200,000 บาท โดยถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของตนเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2557 แต่จดทะเบียนหลังจากทำสัญญาซื้อขาย จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่เคยบอกจำเลยที่ 6 ว่าเป็นหนี้ผู้ใด เห็นว่า จำเลยที่ 6 มิใช่บุคคลที่ถูกฟ้องข้อหาโกงเจ้าหนี้ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 251/2562 คดีหมายเลขแดงที่ อ 474/2563 ของศาลแขวงพระนครศรีอยุธยา พยานโจทก์ไม่ได้มีน้ำหนักให้รับฟังดีกว่าพยานจำเลยที่ 6 ทั้งที่โจทก์มีภาระในการพิสูจน์ ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 6 รับโอนรถยนต์จากจำเลยที่ 1 โดยรู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบ โจทก์จึงไม่อาจขอให้เพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 6 ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่เพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่โจทก์ฎีกาขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 827 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 นั้น มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องมีสิทธิเช่นเดียวกับผู้โอนสิทธิเรียกร้องในการฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 หรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 827 แก่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรนั้น เป็นการให้โดยเสน่หาไม่มีค่าตอบแทน จำเลยที่ 1 เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวก็เพียงพอที่นางสาวกัญญานาถ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะใช้สิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 827 ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 วรรคแรก ต่อมาเมื่อนางสาวกัญญานาถโอนสิทธิเรียกร้องให้แก่โจทก์และบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องไปยังจำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้ว โจทก์ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องจึงยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้เป็นลูกหนี้รวมทั้งยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกได้ด้วยตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 วรรคแรก แม้โจทก์มิใช่เจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ในขณะที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนยกที่ดินให้แก่จำเลยที่ 3 แต่เมื่อโจทก์รับโอนสิทธิเรียกร้องมาแล้วย่อมมีฐานะเป็นเจ้าหนี้เช่นกัน จึงต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้เช่นเดียวกับเจ้าหนี้เดิมที่โอนสิทธิเรียกร้อง บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 วรรคแรก ที่บัญญัติว่า "เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้" นั้น เป็นบทบัญญัติที่มุ่งคุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้ผู้สุจริตมิให้ถูกลูกหนี้ที่ไม่สุจริตเอาเปรียบด้วยการโอนหรือยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินของตนให้ผู้อื่นอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบ โดยเฉพาะผลแห่งการเพิกถอนนิติกรรมที่ฉ้อฉลดังกล่าวทำให้ทรัพย์สินที่โอนไปนั้นกลับมาเป็นของลูกหนี้ตามเดิมเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทุกคน มิใช่เพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้คนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ เจ้าหนี้ที่อาจใช้สิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 จึงไม่จำกัดเฉพาะเจ้าหนี้ในขณะที่ลูกหนี้ทำนิติกรรมฉ้อฉลเท่านั้น แต่หมายรวมถึงเจ้าหนี้ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องด้วย มิฉะนั้นแล้วลูกหนี้ที่ไม่สุจริตก็จะใช้อ้างเพื่อเอาเปรียบเจ้าหนี้ทุกคนได้เพียงเพราะมีการโอนสิทธิเรียกร้อง อันเป็นการใช้กฎหมายที่ขัดต่อคุณธรรมของกฎหมาย จึงไม่ควรคุ้มครองลูกหนี้ที่ไม่สุจริต ดังนั้น โจทก์ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องจึงมีสิทธิเช่นเดียวกับผู้โอนสิทธิเรียกร้องในการฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมที่ฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 เพียงเพราะโจทก์มิใช่เจ้าหนี้จำเลยที่ 1 ในขณะจำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 827 ให้แก่จำเลยที่ 3 ทั้งที่โจทก์เป็นผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องแล้วจึงไม่ชอบ ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น แต่อย่างไรก็ดีแม้โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่ฉ้อฉลระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 ได้ แต่จำเลยที่ 3 ได้โอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 827 ให้แก่จำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 ไปแล้ว คดีจึงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า กรณีมีเหตุให้เพิกถอนนิติกรรมที่จำเลยที่ 3 จดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 827 ให้แก่จำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 หรือไม่ เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงที่เป็นเหตุเพื่อขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 827 จำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 ให้การปฏิเสธว่าจำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 827 จากจำเลยที่ 3 โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โจทก์จึงมีภาระในการพิสูจน์ พยานโจทก์มีตัวโจทก์เป็นพยานเพียงปากเดียวเบิกความว่า การกระทำของจำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 เพื่อมิให้โจทก์สามารถบังคับคดีได้ แต่เบิกความตอบคำถามค้านว่า ตนเองไม่ทราบจุดประสงค์ที่จำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 ซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 3 เห็นว่า พยานโจทก์ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 ซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 3 โดยไม่สุจริตอย่างไร ส่วนพยานจำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 เบิกความทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 พูดคุยตกลงจะซื้อที่ดินเพื่อปลูกสร้างบ้านให้มารดา จำเลยที่ 9 เป็นคนไปเจรจาขอซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 3 ในราคา 1,250,000 บาท แต่ทำสัญญาซื้อขายตามราคาประเมิน 200,000 บาท จำเลยที่ 7 ซึ่งรับราชการอยู่ที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้กู้ยืมเงิน 1,500,000 บาท จากสหกรณ์มาซื้อที่ดิน จำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 ตกลงร่วมกันชำระหนี้คนละ 500,000 บาท หลังจากซื้อที่ดินแล้ว ได้แบ่งที่ดินดังกล่าวเป็นโฉนด 3 แปลง อันเป็นการยืนยันว่าจำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 ซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 3 โดยสุจริต พยานจำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 จึงมีน้ำหนักให้รับฟังดีกว่าพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 827 จากจำเลยที่ 3 โดยไม่สุจริต แม้โจทก์จะมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่ฉ้อฉลระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 แต่ไม่อาจกระทบกระทั่งถึงสิทธิของจำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 บุคคลภายนอกที่รับโอนที่ดินโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนได้ เมื่อสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 827 ให้กลับไปเป็นของจำเลยที่ 1 ได้ การกระทำของจำเลยที่ 3 ดังกล่าว จึงทำให้เจ้าหนี้ผู้ถูกการฉ้อฉลไม่อาจบังคับชำระหนี้จากที่ดินแปลงดังกล่าวได้ ย่อมทำให้เจ้าหนี้ได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่ไม่อาจบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาจากที่ดินดังกล่าวได้ แต่เมื่อโจทก์มิได้ใช้สิทธิเรียกร้องจากจำเลยที่ 3 ในส่วนนี้ จึงไม่อาจกำหนดให้ได้เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 ระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ที่ 4 และระหว่างจำเลยที่ 3 ที่ 4 กับจำเลยที่ 5 เพื่อให้ที่ดินกลับไปเป็นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสามศาล โดยกำหนดค่าทนายความรวมเป็นเงิน 30,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีการะหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 6 ถึงที่ 9 ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 หลักกฎหมายสำคัญ 📌 มาตรา 237 ป.พ.พ. “เจ้าหนี้มีสิทธิฟ้องเพิกถอนนิติกรรมที่ลูกหนี้ทำลงโดยรู้อยู่ว่าจะทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ” • มาตรานี้เป็นกลไกคุ้มครองเจ้าหนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกหนี้โอนหรือยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินไปให้บุคคลอื่นจนเจ้าหนี้ไม่สามารถบังคับคดีได้ • เงื่อนไขสำคัญคือต้องพิสูจน์ได้ว่า 1. ลูกหนี้มีหนี้อยู่จริง 2. ลูกหนี้ทำการโอนทรัพย์หรือทำนิติกรรมโดยรู้ว่าจะทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ 3. เจ้าหนี้เป็นผู้ใช้สิทธินี้โดยตรงต่อศาล ผลทางกฎหมาย: เมื่อศาลเพิกถอนนิติกรรม ทรัพย์สินจะกลับคืนสู่ความเป็นของลูกหนี้เพื่อใช้ในการบังคับหนี้ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของเจ้าหนี้คนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่เพื่อเจ้าหนี้ทุกคน
📌 มาตรา 238 ป.พ.พ. “หากบุคคลภายนอกได้สิทธิโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน จะไม่ถูกเพิกถอน” • เป็นข้อยกเว้นของมาตรา 237 เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการคุ้มครองเจ้าหนี้และการคุ้มครองบุคคลภายนอกที่สุจริต • หากบุคคลภายนอกซื้อทรัพย์สินโดยไม่รู้ว่าลูกหนี้ต้องการโกงเจ้าหนี้ และมีการเสียค่าตอบแทนจริง จะได้รับความคุ้มครอง ไม่ถูกเพิกถอนสิทธิ • แต่ถ้าเป็นการให้โดยเสน่หา (ไม่มีค่าตอบแทน) เพียงแค่ลูกหนี้รู้ฝ่ายเดียว เจ้าหนี้ก็สามารถฟ้องเพิกถอนได้ ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4312/2538 ศาลวินิจฉัยว่า การที่ลูกหนี้โอนที่ดินให้บุตรโดยไม่คิดค่าตอบแทน หลังจากที่เจ้าหนี้ได้ฟ้องคดีบังคับชำระหนี้ ถือว่าเป็นการโอนทรัพย์เพื่อให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ศาลให้เพิกถอนการโอนตามมาตรา 237 2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1498/2550 จำเลยโอนที่ดินให้ภรรยา โดยมีหลักฐานชัดว่าไม่มีการชำระค่าตอบแทนจริง ศาลเห็นว่าเป็นการฉ้อฉลเจ้าหนี้ แม้จะอ้างว่ามีการซื้อขายแต่ไม่มีการจ่ายเงินจริง ศาลให้เพิกถอนการโอนตามมาตรา 237 3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8087/2543 ลูกหนี้ขายที่ดินให้บุคคลภายนอก โดยบุคคลภายนอกซื้อในราคาที่สมเหตุสมผลและไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าลูกหนี้มีหนี้สินติดค้าง ศาลวินิจฉัยว่าผู้ซื้อเป็นบุคคลสุจริตและได้สิทธิโดยมีค่าตอบแทนจริง จึงได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 238 และไม่ถูกเพิกถอน ✨ ข้อสรุป • มาตรา 237: ใช้เพื่อคุ้มครองเจ้าหนี้จากการกระทำของลูกหนี้ที่โอนทรัพย์โดยไม่สุจริต (เพิกถอนได้) • มาตรา 238: วางหลักคุ้มครองบุคคลภายนอกที่ซื้อโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน (เพิกถอนไม่ได้)
• หลักการทั้งสองจึงทำงานร่วมกันเพื่อรักษาความเป็นธรรมทั้งต่อเจ้าหนี้และบุคคลภายนอก |




.jpg)