ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




ฟ้องเพิกถอนนิติกรรมฉ้อฉล & สิทธิผู้รับโอนสิทธิเรียกร้อง (ฎีกา 3107/2568)

คำพิพากษาศาลฎีกา 3107/2568, การเพิกถอนนิติกรรมฉ้อฉลตาม ป.พ.พ. มาตรา 237, สิทธิผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องในการฟ้อง, แนวคำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องโกงเจ้าหนี้, การโอนที่ดินให้บุตรโดยเสน่หา, สิทธิบุคคลภายนอกสุจริต ป.พ.พ. มาตรา 238, บทวิเคราะห์คดีแพ่งเกี่ยวกับนิติกรรมฉ้อฉล, สิทธิฟ้องเพิกถอนของเจ้าหนี้, แนวปฏิบัติทางรูปคดีเกี่ยวกับนิติกรรมฉ้อฉล, คำวินิจฉัยเรื่องสิทธิผู้รับโอนสิทธิเรียกร้อง 

   ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสิทธิของผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องในการฟ้องเพิกถอนนิติกรรมฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 โดยกรณีที่ลูกหนี้โอนที่ดินและทรัพย์สินให้แก่บุตรและบุคคลภายนอกเพื่อให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องก็มีสิทธิฟ้องเพิกถอนได้เช่นเดียวกับเจ้าหนี้เดิม พร้อมทั้งพิจารณาสถานะของบุคคลภายนอกว่ามีความสุจริตหรือไม่ รวมถึงสิทธิของผู้รับจำนองที่ได้สิทธิมาโดยสุจริตซึ่งยังคงได้รับความคุ้มครอง

สรุปข้อเท็จจริง

จำเลยที่ 1 และ 2 กู้เงินและมีหนี้ค้างชำระ ต่อมามีการโอนสิทธิเรียกร้องจากเจ้าหนี้เดิมให้นางสาวกัญญานาถ และสุดท้ายโจทก์ได้รับโอนสิทธิเรียกร้องต่อมา

ระหว่างที่คดีฟ้องบังคับชำระหนี้ยังดำเนินอยู่ จำเลยที่ 1 และ 2 ได้โอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 ให้แก่บุตร (จำเลยที่ 3 และ 4) โดยเสน่หา และภายหลังจำเลยที่ 3 และ 4 ได้ขายต่อให้จำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นน้องสาวของจำเลยที่ 1

จำเลยที่ 5 นำที่ดินไปจำนองแก่ธนาคาร ก.

โจทก์ฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการโอนดังกล่าว รวมถึงการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 827 และการโอนรถยนต์แก่บุคคลอื่น

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง แต่โจทก์ฎีกา

คำวินิจฉัยของศาลฎีกา

1. สิทธิของผู้รับโอนสิทธิเรียกร้อง:

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้โจทก์มิใช่เจ้าหนี้ในขณะที่มีการทำนิติกรรมฉ้อฉล แต่เมื่อได้รับโอนสิทธิเรียกร้องมาก็ถือเป็นเจ้าหนี้ตามกฎหมาย มีสิทธิฟ้องเพิกถอนได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 237

2. กรณีที่ดินโฉนดเลขที่ 35666:

การโอนที่ดินให้บุตรเป็นการให้โดยเสน่หาและกระทำขณะมีคดีฟ้องบังคับหนี้ จึงเป็นนิติกรรมฉ้อฉล

จำเลยที่ 5 รับโอนต่อโดยไม่สุจริต เนื่องจากเป็นญาติใกล้ชิดและรู้ถึงคดีฟ้องหนี้ จึงไม่ถือว่าได้สิทธิมาโดยสุจริตตาม มาตรา 238

ศาลจึงเพิกถอนการโอนและให้ที่ดินกลับเป็นของจำเลยที่ 1 และ 2 แต่ยังคงติดภาระจำนองกับธนาคาร ก. ผู้รับจำนองโดยสุจริต

3. กรณีการโอนรถยนต์แก่จำเลยที่ 6:

พยานหลักฐานไม่เพียงพอว่าจำเลยที่ 6 ทราบถึงหนี้และมีเจตนาทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ

ศาลเห็นว่าจำเลยที่ 6 ซื้อโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน จึงไม่เพิกถอน

4. กรณีที่ดินโฉนดเลขที่ 827:

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้อง (โจทก์) มีสิทธิฟ้องเพิกถอนได้

แต่เนื่องจากจำเลยที่ 7 ถึง 9 ซื้อโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนจริง จึงถือเป็นบุคคลภายนอกที่ได้รับสิทธิคุ้มครอง ไม่เพิกถอนการโอน

วิเคราะห์ประเด็นกฎหมาย

มาตรา 237 ป.พ.พ. คุ้มครองเจ้าหนี้ไม่ให้เสียเปรียบจากการที่ลูกหนี้โอนทรัพย์โดยไม่สุจริต

มาตรา 238 ป.พ.พ. วางหลักว่าบุคคลภายนอกที่ได้สิทธิมาโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนต้องได้รับความคุ้มครอง

ประเด็นสำคัญ: ศาลฎีกาได้วางหลักว่า สิทธิฟ้องเพิกถอนนิติกรรมฉ้อฉลไม่จำกัดเฉพาะเจ้าหนี้ดั้งเดิม แต่รวมถึงผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องด้วย


IRAC Analysis

Issue (ประเด็น):

ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องมีสิทธิฟ้องเพิกถอนนิติกรรมฉ้อฉลตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 ได้หรือไม่ และการรับโอนทรัพย์ของบุคคลภายนอกถือว่าสุจริตหรือไม่

Rule (กฎหมาย):

ป.พ.พ. มาตรา 237: เจ้าหนี้สามารถฟ้องเพิกถอนนิติกรรมฉ้อฉลได้

ป.พ.พ. มาตรา 238: หากบุคคลภายนอกได้สิทธิโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน จะไม่ถูกเพิกถอน

Application (การวิเคราะห์):

โจทก์แม้ไม่ใช่เจ้าหนี้ดั้งเดิม แต่เมื่อได้รับโอนสิทธิเรียกร้องก็มีสถานะเจ้าหนี้ตามกฎหมาย

จำเลยที่ 5 เป็นญาติใกล้ชิด รู้ถึงหนี้ และให้การรับสารภาพในคดีโกงเจ้าหนี้ จึงไม่สุจริต

ธนาคาร ก. ได้สิทธิจำนองก่อนฟ้อง จึงเป็นบุคคลภายนอกโดยสุจริต

จำเลยที่ 7–9 ซื้อที่ดินด้วยเงินกู้และเสียค่าตอบแทนจริง ถือว่าเป็นผู้สุจริต

Conclusion (ข้อสรุป):

ศาลฎีกาพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 แต่ไม่เพิกถอนการโอนรถยนต์และโฉนดที่ดินเลขที่ 827 เนื่องจากมีบุคคลภายนอกสุจริตเกี่ยวข้อง

ข้อคิดทางกฎหมาย

คำพิพากษานี้เป็นแนวทางสำคัญที่ยืนยันว่า ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องมีสิทธิฟ้องเพิกถอนนิติกรรมฉ้อฉลได้เช่นเดียวกับเจ้าหนี้เดิม เพื่อคุ้มครองเจ้าหนี้จากการกระทำที่ไม่สุจริตของลูกหนี้ ขณะเดียวกันก็กำหนดสมดุลในการคุ้มครองสิทธิบุคคลภายนอกที่ได้สิทธิโดยสุจริต ซึ่งเป็นหลักความยุติธรรมที่สอดคล้องกับหลักคุณธรรมของกฎหมายแพ่ง


•	มาตรา 237 ป.พ.พ. คุ้มครองเจ้าหนี้ไม่ให้เสียเปรียบจากการที่ลูกหนี้โอนทรัพย์โดยไม่สุจริต •	มาตรา 238 ป.พ.พ. วางหลักว่าบุคคลภายนอกที่ได้สิทธิมาโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนต้องได้รับความคุ้มครอง •	ประเด็นสำคัญ: ศาลฎีกาได้วางหลักว่า สิทธิฟ้องเพิกถอนนิติกรรมฉ้อฉลไม่จำกัดเฉพาะเจ้าหนี้ดั้งเดิม แต่รวมถึงผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องด้วย

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3107/2568

แม้โจทก์มิใช่เจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ในขณะที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนยกที่ดินให้จำเลยที่ 3 แต่เมื่อโจทก์รับโอนสิทธิเรียกร้องมาแล้วย่อมมีฐานะเป็นเจ้าหนี้เช่นกัน จึงต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิเช่นเดียวกับเจ้าหนี้เดิมที่โอนสิทธิเรียกร้อง เจ้าหนี้ที่อาจใช้สิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 จึงไม่จำกัดเฉพาะเจ้าหนี้ในขณะที่ลูกหนี้ทำนิติกรรมฉ้อฉลเท่านั้น แต่หมายรวมถึงเจ้าหนี้ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องด้วย โจทก์ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องจึงมีสิทธิเช่นเดียวกับผู้โอนสิทธิเรียกร้องในการฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมที่ฉ้อฉลตาม ป.พ.พ. มาตรา 237

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ร่วมกันจดทะเบียนเพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 ให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 7 ถึงที่ 9 ร่วมกันจดทะเบียนเพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 827 ให้จำเลยที่ 1 และที่ 6 ร่วมกันจดทะเบียนเพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ หากจำเลยทั้งเก้าไม่ดำเนินการขอถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา

จำเลยทั้งเก้าให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา


ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 และจำเลยที่ 3 และที่ 4 โอนขายให้แก่จำเลยที่ 5 หรือไม่ ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังได้ว่า วันที่ 29 กันยายน 2558 โจทก์รับโอนสิทธิเรียกร้องที่มีต่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 จากนางสาวกัญญานาถ วันที่ 4 เมษายน 2560 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้และสัญญาค้ำประกัน ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2560 ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินกู้ 15,125,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันร่วมรับผิด เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ผบ 381/2560 คดีหมายเลขแดงที่ ผบ 1875/2560 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน วันที่ 24 กรกฎาคม 2560 จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 ให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นบุตร วันที่ 2 พฤษภาคม 2561 จำเลยที่ 3 และที่ 4 โอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 ให้แก่จำเลยที่ 5 วันที่ 17 กรกฎาคม 2561 จำเลยที่ 5 จดทะเบียนจำนองที่ดินแก่ธนาคาร ก. และที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 จดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 ให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 โดยไม่มีค่าตอบแทนจึงเป็นการให้โดยเสน่หาและเป็นการโอนที่ดินหลังจากโจทก์ฟ้องคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ผบ 381/2560 เพียง 3 เดือนเศษ จึงเป็นการโอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 โดยรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 วรรคแรก จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 มิได้แก้ฎีกาเป็นอื่น จึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 5 รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 จากจำเลยที่ 3 และที่ 4 โดยไม่สุจริต คดีจึงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า จำเลยที่ 5 เป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยสุจริตก่อนเริ่มฟ้องคดีขอเพิกถอน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 238 วรรคแรก หรือไม่ ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังได้ว่า การโอนที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 เป็นการกระทำที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 เป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 251/2562 คดีหมายเลขแดงที่ อ 474/2563 ของศาลแขวงพระนครศรีอยุธยา ข้อหาความผิดโกงเจ้าหนี้ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ให้การรับสารภาพตามฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 จดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 ให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 แล้วจำเลยที่ 3 และที่ 4 จดทะเบียนขายให้แก่จำเลยที่ 5 และจำเลยที่ 5 จดทะเบียนจำนองไว้แก่ธนาคาร ก. อันเป็นการกระทำเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนซึ่งได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาล อันเป็นการโอนทรัพย์ให้แก่บุคคลอื่นทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย คดีถึงที่สุดแล้ว และยังได้ความว่า เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2560 จำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นน้องสาวจำเลยที่ 1 เป็นพยานเบิกความในคดีหมายเลขดำที่ ผบ 381/2560 ที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระหนี้เงินกู้และค้ำประกัน จำเลยที่ 5 มิได้นำสืบโต้แย้งเป็นอื่น แสดงว่าจำเลยที่ 5 ทราบเรื่องที่โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันแล้วตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน 2560 ที่จำเลยที่ 5 ไปเป็นพยาน หลังจากนั้นวันที่ 2 พฤษภาคม 2561 จำเลยที่ 5 จึงรับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 จากจำเลยที่ 3 และที่ 4 แม้จำเลยที่ 5 อ้างว่า จำเลยที่ 5 ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 จากจำเลยที่ 3 และที่ 4 ที่ขายให้แก่จำเลยที่ 5 เพื่อชำระหนี้ที่จำเลยที่ 3 กู้เงินจากจำเลยที่ 5 แต่ก็เป็นการรับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 ทั้งที่จำเลยที่ 5 ก็รู้ว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ชำระหนี้เงินกู้และสัญญาค้ำประกันแล้ว เมื่อพิจารณาประกอบกับพฤติการณ์ของจำเลยที่ 5 ที่ให้การรับสารภาพในคดีอาญาที่ตนเองถูกฟ้องในข้อหาโกงเจ้าหนี้ว่า จำเลยที่ 5 รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 จากจำเลยที่ 3 และที่ 4 เพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ซึ่งเป็นพฤติการณ์ที่ชี้ให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยที่ 5 ว่า จำเลยที่ 5 มีเจตนารับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 เพื่อให้ที่ดินดังกล่าวหลุดพ้นจากการบังคับคดีในคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 อันเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 และที่ 2 เสียเปรียบ พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวมีน้ำหนักและเหตุผลให้รับฟังดีกว่าพยานจำเลยที่ 5 ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 5 มิใช่บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยสุจริตก่อนฟ้องคดีขอเพิกถอน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 238 วรรคแรก ดังนั้น การเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 จึงใช้บังคับแก่จำเลยที่ 5 ได้ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 35666 มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น แต่อย่างไรก็ดี การเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 ไม่มีผลกระทบถึงสิทธิของธนาคาร ก. ผู้รับจำนอง เพราะธนาคาร ก. เป็นบุคคลภายนอกที่ได้สิทธิมาโดยสุจริตก่อนเริ่มฟ้องคดีขอเพิกถอน การเพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 ให้กลับไปเป็นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงยังคงต้องติดภาระจำนองไปด้วย ส่วนการที่จำเลยที่ 5 กระทำการดังกล่าวโดยไม่สุจริต ก่อให้เกิดภาระผูกพันแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 ทำให้เจ้าหนี้ผู้ถูกการฉ้อฉลไม่อาจบังคับชำระหนี้แก่ที่ดินดังกล่าวโดยปลอดจำนองได้นั้น เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่อาจบังคับชำระหนี้จากที่ดินแปลงดังกล่าวได้ไม่ครบถ้วน แต่เมื่อโจทก์มิได้ใช้สิทธิเรียกร้องจากจำเลยที่ 5 ในส่วนนี้จึงไม่อาจบังคับให้ได้


ที่โจทก์ฎีกาขอให้เพิกถอนการโอนรถยนต์ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 6 ซึ่งปรากฏหลักฐานการจดทะเบียน บันทึกเจ้าหน้าที่ว่า วันที่ 27 พฤศจิกายน 2558 จำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้แก่จำเลยที่ 6 อันเป็นการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์หลังจากโจทก์รับโอนสิทธิเรียกร้องที่มีต่อจำเลยที่ 1 จากนางสาวกัญญานาถเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2558 จึงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 6 รับโอนรถยนต์จากจำเลยที่ 1 โดยรู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบหรือไม่ เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงที่เป็นเหตุเพื่อขอให้เพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ จำเลยที่ 6 ให้การปฏิเสธว่าจำเลยที่ 6 ซื้อรถยนต์โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โจทก์จึงมีภาระในการพิสูจน์ พยานโจทก์มีตัวโจทก์เป็นพยานเพียงปากเดียวเบิกความว่า จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้แก่จำเลยที่ 6 เพื่อให้โจทก์ไม่สามารถบังคับคดีได้ส่วนจำเลยที่ 6 เบิกความว่า จำเลยที่ 6 ซื้อรถยนต์จากจำเลยที่ 1 เมื่อปี 2557 ในราคา 200,000 บาท โดยถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของตนเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2557 แต่จดทะเบียนหลังจากทำสัญญาซื้อขาย จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่เคยบอกจำเลยที่ 6 ว่าเป็นหนี้ผู้ใด เห็นว่า จำเลยที่ 6 มิใช่บุคคลที่ถูกฟ้องข้อหาโกงเจ้าหนี้ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 251/2562 คดีหมายเลขแดงที่ อ 474/2563 ของศาลแขวงพระนครศรีอยุธยา พยานโจทก์ไม่ได้มีน้ำหนักให้รับฟังดีกว่าพยานจำเลยที่ 6 ทั้งที่โจทก์มีภาระในการพิสูจน์ ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 6 รับโอนรถยนต์จากจำเลยที่ 1 โดยรู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบ โจทก์จึงไม่อาจขอให้เพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 6 ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่เพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น


ที่โจทก์ฎีกาขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 827 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 นั้น มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องมีสิทธิเช่นเดียวกับผู้โอนสิทธิเรียกร้องในการฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 หรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 827 แก่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรนั้น เป็นการให้โดยเสน่หาไม่มีค่าตอบแทน จำเลยที่ 1 เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวก็เพียงพอที่นางสาวกัญญานาถ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะใช้สิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 827 ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 วรรคแรก ต่อมาเมื่อนางสาวกัญญานาถโอนสิทธิเรียกร้องให้แก่โจทก์และบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องไปยังจำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้ว โจทก์ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องจึงยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้เป็นลูกหนี้รวมทั้งยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกได้ด้วยตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 วรรคแรก แม้โจทก์มิใช่เจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ในขณะที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนยกที่ดินให้แก่จำเลยที่ 3 แต่เมื่อโจทก์รับโอนสิทธิเรียกร้องมาแล้วย่อมมีฐานะเป็นเจ้าหนี้เช่นกัน จึงต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้เช่นเดียวกับเจ้าหนี้เดิมที่โอนสิทธิเรียกร้อง บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 วรรคแรก ที่บัญญัติว่า "เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้" นั้น เป็นบทบัญญัติที่มุ่งคุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้ผู้สุจริตมิให้ถูกลูกหนี้ที่ไม่สุจริตเอาเปรียบด้วยการโอนหรือยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินของตนให้ผู้อื่นอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบ โดยเฉพาะผลแห่งการเพิกถอนนิติกรรมที่ฉ้อฉลดังกล่าวทำให้ทรัพย์สินที่โอนไปนั้นกลับมาเป็นของลูกหนี้ตามเดิมเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทุกคน มิใช่เพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้คนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ เจ้าหนี้ที่อาจใช้สิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 จึงไม่จำกัดเฉพาะเจ้าหนี้ในขณะที่ลูกหนี้ทำนิติกรรมฉ้อฉลเท่านั้น แต่หมายรวมถึงเจ้าหนี้ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องด้วย มิฉะนั้นแล้วลูกหนี้ที่ไม่สุจริตก็จะใช้อ้างเพื่อเอาเปรียบเจ้าหนี้ทุกคนได้เพียงเพราะมีการโอนสิทธิเรียกร้อง อันเป็นการใช้กฎหมายที่ขัดต่อคุณธรรมของกฎหมาย จึงไม่ควรคุ้มครองลูกหนี้ที่ไม่สุจริต ดังนั้น โจทก์ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องจึงมีสิทธิเช่นเดียวกับผู้โอนสิทธิเรียกร้องในการฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมที่ฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 เพียงเพราะโจทก์มิใช่เจ้าหนี้จำเลยที่ 1 ในขณะจำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 827 ให้แก่จำเลยที่ 3 ทั้งที่โจทก์เป็นผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องแล้วจึงไม่ชอบ ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น แต่อย่างไรก็ดีแม้โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่ฉ้อฉลระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 ได้ แต่จำเลยที่ 3 ได้โอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 827 ให้แก่จำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 ไปแล้ว คดีจึงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า กรณีมีเหตุให้เพิกถอนนิติกรรมที่จำเลยที่ 3 จดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 827 ให้แก่จำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 หรือไม่ เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงที่เป็นเหตุเพื่อขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 827 จำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 ให้การปฏิเสธว่าจำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 827 จากจำเลยที่ 3 โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โจทก์จึงมีภาระในการพิสูจน์ พยานโจทก์มีตัวโจทก์เป็นพยานเพียงปากเดียวเบิกความว่า การกระทำของจำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 เพื่อมิให้โจทก์สามารถบังคับคดีได้ แต่เบิกความตอบคำถามค้านว่า ตนเองไม่ทราบจุดประสงค์ที่จำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 ซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 3 เห็นว่า พยานโจทก์ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 ซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 3 โดยไม่สุจริตอย่างไร ส่วนพยานจำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 เบิกความทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 พูดคุยตกลงจะซื้อที่ดินเพื่อปลูกสร้างบ้านให้มารดา จำเลยที่ 9 เป็นคนไปเจรจาขอซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 3 ในราคา 1,250,000 บาท แต่ทำสัญญาซื้อขายตามราคาประเมิน 200,000 บาท จำเลยที่ 7 ซึ่งรับราชการอยู่ที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้กู้ยืมเงิน 1,500,000 บาท จากสหกรณ์มาซื้อที่ดิน จำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 ตกลงร่วมกันชำระหนี้คนละ 500,000 บาท หลังจากซื้อที่ดินแล้ว ได้แบ่งที่ดินดังกล่าวเป็นโฉนด 3 แปลง อันเป็นการยืนยันว่าจำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 ซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 3 โดยสุจริต พยานจำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 จึงมีน้ำหนักให้รับฟังดีกว่าพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 827 จากจำเลยที่ 3 โดยไม่สุจริต แม้โจทก์จะมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่ฉ้อฉลระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 แต่ไม่อาจกระทบกระทั่งถึงสิทธิของจำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 บุคคลภายนอกที่รับโอนที่ดินโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนได้ เมื่อสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 827 ให้กลับไปเป็นของจำเลยที่ 1 ได้ การกระทำของจำเลยที่ 3 ดังกล่าว จึงทำให้เจ้าหนี้ผู้ถูกการฉ้อฉลไม่อาจบังคับชำระหนี้จากที่ดินแปลงดังกล่าวได้ ย่อมทำให้เจ้าหนี้ได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่ไม่อาจบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาจากที่ดินดังกล่าวได้ แต่เมื่อโจทก์มิได้ใช้สิทธิเรียกร้องจากจำเลยที่ 3 ในส่วนนี้ จึงไม่อาจกำหนดให้ได้เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอ

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35666 ระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ที่ 4 และระหว่างจำเลยที่ 3 ที่ 4 กับจำเลยที่ 5 เพื่อให้ที่ดินกลับไปเป็นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสามศาล โดยกำหนดค่าทนายความรวมเป็นเงิน 30,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีการะหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 6 ถึงที่ 9 ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

หลักกฎหมายสำคัญ

📌 มาตรา 237 ป.พ.พ.

“เจ้าหนี้มีสิทธิฟ้องเพิกถอนนิติกรรมที่ลูกหนี้ทำลงโดยรู้อยู่ว่าจะทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ”

มาตรานี้เป็นกลไกคุ้มครองเจ้าหนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกหนี้โอนหรือยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินไปให้บุคคลอื่นจนเจ้าหนี้ไม่สามารถบังคับคดีได้

เงื่อนไขสำคัญคือต้องพิสูจน์ได้ว่า

1. ลูกหนี้มีหนี้อยู่จริง

2. ลูกหนี้ทำการโอนทรัพย์หรือทำนิติกรรมโดยรู้ว่าจะทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ

3. เจ้าหนี้เป็นผู้ใช้สิทธินี้โดยตรงต่อศาล

ผลทางกฎหมาย: เมื่อศาลเพิกถอนนิติกรรม ทรัพย์สินจะกลับคืนสู่ความเป็นของลูกหนี้เพื่อใช้ในการบังคับหนี้ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของเจ้าหนี้คนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่เพื่อเจ้าหนี้ทุกคน


📌 มาตรา 238 ป.พ.พ.

“หากบุคคลภายนอกได้สิทธิโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน จะไม่ถูกเพิกถอน”

เป็นข้อยกเว้นของมาตรา 237 เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการคุ้มครองเจ้าหนี้และการคุ้มครองบุคคลภายนอกที่สุจริต

หากบุคคลภายนอกซื้อทรัพย์สินโดยไม่รู้ว่าลูกหนี้ต้องการโกงเจ้าหนี้ และมีการเสียค่าตอบแทนจริง จะได้รับความคุ้มครอง ไม่ถูกเพิกถอนสิทธิ

แต่ถ้าเป็นการให้โดยเสน่หา (ไม่มีค่าตอบแทน) เพียงแค่ลูกหนี้รู้ฝ่ายเดียว เจ้าหนี้ก็สามารถฟ้องเพิกถอนได้

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4312/2538

ศาลวินิจฉัยว่า การที่ลูกหนี้โอนที่ดินให้บุตรโดยไม่คิดค่าตอบแทน หลังจากที่เจ้าหนี้ได้ฟ้องคดีบังคับชำระหนี้ ถือว่าเป็นการโอนทรัพย์เพื่อให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ศาลให้เพิกถอนการโอนตามมาตรา 237 

2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1498/2550

จำเลยโอนที่ดินให้ภรรยา โดยมีหลักฐานชัดว่าไม่มีการชำระค่าตอบแทนจริง ศาลเห็นว่าเป็นการฉ้อฉลเจ้าหนี้ แม้จะอ้างว่ามีการซื้อขายแต่ไม่มีการจ่ายเงินจริง ศาลให้เพิกถอนการโอนตามมาตรา 237 

3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8087/2543

ลูกหนี้ขายที่ดินให้บุคคลภายนอก โดยบุคคลภายนอกซื้อในราคาที่สมเหตุสมผลและไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าลูกหนี้มีหนี้สินติดค้าง ศาลวินิจฉัยว่าผู้ซื้อเป็นบุคคลสุจริตและได้สิทธิโดยมีค่าตอบแทนจริง จึงได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 238 และไม่ถูกเพิกถอน 

✨ ข้อสรุป

มาตรา 237: ใช้เพื่อคุ้มครองเจ้าหนี้จากการกระทำของลูกหนี้ที่โอนทรัพย์โดยไม่สุจริต (เพิกถอนได้)

มาตรา 238: วางหลักคุ้มครองบุคคลภายนอกที่ซื้อโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน (เพิกถอนไม่ได้)

 

หลักการทั้งสองจึงทำงานร่วมกันเพื่อรักษาความเป็นธรรมทั้งต่อเจ้าหนี้และบุคคลภายนอก

 



นิติกรรม

สัญญาเช่าโรงงาน โมฆียะ สำคัญผิด & ค่าเสียหาย(ฎีกา 7019/2567)
โมฆียะบันทึกข้อตกลงอนุญาโตตุลาการ & กลฉ้อฉล (ฎีกา 1406-1407/2567)
คดีสัญญาซื้อขายหน่วยลงทุน-พัฒนาที่ดิน,ลาภมิควรได้, โมฆะ,(ฎีกา 2358/2567)
เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินฉ้อฉล & หนี้เช่าซื้อ, เจ้าหนี้เสียเปรียบ (ฎีกา 1383/2568)
คดีแพ่งเรื่องสิทธิไถ่ถอนจำนอง, การยอมรับโดยปริยายในคดีจำนอง-ฎีกา 3553/2568
โมฆะการเปลี่ยนผู้รับผลประโยชน์ประกันชีวิต(ฎีกา 1/2568)
การเปลี่ยนผู้รับประโยชน์กรมธรรม์ประกันชีวิตโดยผู้อนุบาล ขัดต่อเจตนาผู้เอาประกัน โมฆะเพราะไม่ได้รับอนุญาตศาล(ฎีกาที่ 1/2568)
จำนองที่ดินเฉพาะส่วน และสิทธิของเจ้าของรวม,จำนอง, เจ้าของรวม, มาตรา 1361, (ฎีกาที่ 5423/2553)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7504/2567 : คดีผู้บริโภค กู้ยืมเงินตามสัญญากู้ การให้การไม่ชัดแจ้ง และการห้ามอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 44/2568: เพิกถอนนิติกรรมโอนที่ดินมรดกที่ไม่สุจริต
(ฎ.432-433/2567) เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดิน ปลอมแปลงหนังสือมอบอำนาจ และการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ฎีกาที่ 7639/2560 : คดีเพิกถอนการขายที่ดินพิพาท ระหว่างสินส่วนตัวกับสินสมรส และปัญหาอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4084/2567 ผลของการบอกล้างโมฆียะกรรมและการชดใช้ค่าเสียหายจากค่าเสื่อมราคา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5661/2567: การสละที่ดินโครงการเป็นทางสาธารณะ และผลทางกฎหมายของการโอนขาย article
การโอนสิทธิเรียกร้องและสิทธิฟ้องลูกหนี้ตามสัญญาซื้อขาย(ฎีกาที่ 6557/2567)
การปล่อยกู้โดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราและผลของโมฆะกรรมตามกฎหมาย(ฎีกาที่ 6901/2567)
ส่งมอบรถหลักประกันไม่ใช่การชำระหนี้แทนเงินกู้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 656(ฎีกาที่ 6964/2567)
สิทธิในสัญญาเช่าซื้อกับการตกทอดทางมรดก: วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1366/2516
ผู้อนุบาลและคนไร้ความสามารถ, สติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์เป็นโมฆียะ, การบอกล้างโมฆียะกรรม
เพิกถอนนิติกรรมวิกลจริต, การบอกล้างโมฆียกรรม, นิติกรรมของผู้ป่วยจิตเวช, โมฆียกรรมกลายเป็นโมฆะ
ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิด, การขยายเวลาชำระหนี้, ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ค้ำประกัน
คดีเลิกสัญญาก่อสร้าง, สิทธิในเบี้ยปรับตามกฎหมาย, เบี้ยปรับในสัญญาก่อสร้าง
ความรับผิดของผู้รับประกันภัย, รถสูญหาย, ถูกเพลิงไหม, การละทิ้งความครอบครองรถยนต์
คดีเกี่ยวกับการบุกรุกป่าสงวน, ข้อกฎหมายเกี่ยวกับที่ดินรัฐ, สิทธิการครอบครองที่ดินชั่วคราว
กฎหมายกู้ยืมเงิน, หลักฐานการกู้ยืมเงิน, ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์, การกู้ยืมเงินในไลน์และเฟสบุค
นิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์
หลักฐานการกู้ยืมเงิน, การลงลายมือชื่อในสัญญากู้ยืม, การพิสูจน์การชำระหนี้
คดีผู้บริโภค, การใช้สิทธิไม่สุจริต, ความสุจริตในการชำระหนี้, มาตรฐานทางการค้า
สัญญาประนีประนอมยอมความ, การรังวัดที่ดินแนวเขต, อำนาจฟ้อง,
สัญญานายหน้าและค่านายหน้า, กฎหมายลาภมิควรได้, การบอกเลิกสัญญานายหน้าโดยไม่สุจริต
สัญญาซื้อขายที่ดินเป็นโมฆะ, นิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงิน
กู้ยืมเงินไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ,สัญญาค้ำประกัน(ฎีกา 1263/2567)
สิทธิทายาท, สละมรดกผู้เยาว์, เพิกถอนโอนที่ดิน(ฎีกา 1649/2567)
การทำนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์
หนังสือสัญญากู้เงินตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์
การซื้อขายที่ดินตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150
ผู้รับจำนองมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นโดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีเจ้าหนี้อื่นมาขอเฉลี่ยหนี้
สัญญาเช่าที่ดินซึ่งเป็นเจ้าของรวม
การโอนที่ดินในระยะเวลาห้ามโอนเป็นโมฆะ
สิทธิบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด
คำสั่งงดสืบพยานจำเลย
สัญญาจะซื้อจะขายมีผลอย่างไรกับสัญญาซื้อขาย
หนังสือมอบอำนาจ พิมพ์ลายนิ้วมือ
กฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยฝ่าฝืนเป็นโมฆะ | ดอกเบี้ยผิดนัด
สิทธิของผู้รับจำนองเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้เรียกว่า"บุริมสิทธิ"
สัญญาที่ทำขึ้นโดยไม่มีเจตนาแท้จริงให้ผูกพันกัน
ความรับผิดในคดีแพ่งต้องอาศัยมูลมาจากการกระทำความผิดในทางอาญา
นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย, ฝ่าฝืนกฎหมาย
อำนาจฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการจำหน่ายที่ดินเพื่อชำระเป็นเงินให้คนต่างด้าว
ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมให้สินสมรสเมื่อผู้ให้ตายแล้วไม่ต้องฟ้องผู้จัดการมรดกก็ได้
ขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินสินสมรส
การขายอสังหาริมทรัพย์ของบุตรผู้เยาว์จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลเสียก่อน
ผลของการบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขาย คู่สัญญาแต่ละฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะเดิม
นิติกรรมอำพรางคู่กรณีต้องแสดงเจตนาทำนิติกรรมขึ้นสองนิติกรรม
องค์ประกอบของนิติกรรม
สัญญารับเหมาก่อสร้างเลิกกัน คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิม
สัญญาซื้อขายที่ดินเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงิน
ทำสัญญากู้ยืมเงินในฐานะผู้แทนของสมาคมไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว
แม้ดอกเบี้ยเป็นโมฆะแต่ยังต้องรับผิดต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยผิดนัด
ข้อตกลงให้ผู้ซื้อทรัพย์เป็นผู้ชำระค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
ขายที่ดินห้ามโอนภายใน 10 ปีเป็นการสละการครอบครอง
สิทธิได้รับค่าตอบแทนก่อนบอกเลิกสัญญาตัวแทนประกันชีวิต
ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประกันชีวิต-อ้างถูกฉ้อฉลให้ทำสัญญา
ผู้รับประกันภัยได้รับประกันวินาศภัยไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ
ลูกหนี้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเกินอัตราเป็นโมฆะต้องนำมาหักเป็นต้นเงิน
สัญญาเช่าบ้านภายหลังการซื้อขาย
ผู้จะขายไม่ได้รับใบอนุญาตให้จัดสรรที่ดินผู้จะซื้อไม่รู้สัญญาไม่เป็นโมฆะ
ผู้แทนโดยชอบธรรมทำสัญญาขายไม้มรดกส่วนของผู้เยาว์-ไม่ต้องขออนุญาตศาลก่อน
คู่สัญญามีอำนาจฟ้องให้โอนทรัพย์สินให้บุตรได้
การฟ้องคดีแพ่งมิใช่เป็นการทำนิติกรรม
การกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าในสัญญาถือว่าเป็นเบี้ยปรับ