ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินฉ้อฉล & หนี้เช่าซื้อ, เจ้าหนี้เสียเปรียบ (ฎีกา 1383/2568)

คำพิพากษาศาลฎีกา 1383/2568, คดีเพิกถอนนิติกรรมฉ้อฉล, การโอนที่ดินโดยเสน่หา, หนี้ตามสัญญาเช่าซื้อ, หนี้ใหม่ตามประนีประนอมยอมความ, การบังคับคดีแพ่ง, สิทธิของเจ้าหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 237, นิติกรรมให้บุตรโดยเสน่หา, คำพิพากษาศาลฎีกาเพิกถอนนิติกรรม, การโอนทรัพย์สินเพื่อหนีหนี้, วิเคราะห์ฎีกาแพ่ง 

   ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับ การเพิกถอนนิติกรรมโอนที่ดินระหว่างบิดาและบุตรในขณะที่บิดาเป็นลูกหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ แม้ภายหลังคู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกลายเป็นหนี้ใหม่ แต่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าลูกหนี้ยังคงมีภาระหนี้ที่สืบเนื่องจากสัญญาเช่าซื้อ การโอนที่ดินโดยเสน่หาจึงเป็นการกระทำที่ทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ สามารถใช้สิทธิฟ้องเพิกถอนได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 237


สรุปข้อเท็จจริง

โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กับนางสาวธนพร โดยจำเลยที่ 1 (บิดาของจำเลยที่ 2) เป็นผู้ร่วมรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วม

ต่อมานางสาวธนพรผิดนัดชำระหนี้ตั้งแต่งวดที่ 2 โจทก์บอกเลิกสัญญา

จำเลยที่ 1 โอนที่ดิน 4 แปลง (โฉนดเลขที่ 18050–18053) ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา ไม่มีค่าตอบแทน

ภายหลังโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหาย ศาลแพ่งพิพากษาตามยอม คู่ความตกลงชำระหนี้แต่ไม่ปฏิบัติตาม

โจทก์ตรวจสอบทรัพย์สิน พบว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินเหลือ จึงฟ้องเพิกถอนการโอนที่ดินดังกล่าว


คำวินิจฉัยของศาลฎีกา

1. สถานะลูกหนี้: จำเลยที่ 1 ตกเป็นลูกหนี้ตั้งแต่นางสาวธนพรผิดนัด (20 ก.พ. 2563) และมีภาระต้องชำระหนี้ร่วมกัน

2. การโอนที่ดิน: แม้จะโอนก่อนทำสัญญาประนีประนอม (29 พ.ค. 2563) แต่ยังอยู่ในช่วงที่จำเลยที่ 1 มีหนี้สินกับโจทก์ การโอนโดยเสน่หาทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ

3. สิทธิของเจ้าหนี้: ป.พ.พ. มาตรา 237 กำหนดว่าเจ้าหนี้สามารถฟ้องเพิกถอนได้นิติกรรมใด ๆ ที่ลูกหนี้รู้ว่าจะทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แม้ผู้รับโอนจะไม่รู้ก็ตาม หากเป็นการให้โดยเสน่หา

4. ข้ออ้างของจำเลย: อ้างว่าโอนตามหน้าที่ธรรมจรรยา หรือไม่ได้นำที่ดินเป็นหลักประกัน ศาลเห็นว่าไม่ใช่ข้อยกเว้นตามกฎหมาย

5. คำพิพากษา: ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้เพิกถอนนิติกรรมโอนที่ดินทั้ง 4 แปลง


วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย

นิติกรรมฉ้อฉล (Fraudulent Conveyance): ศาลย้ำว่าการโอนทรัพย์โดยเสน่หาของลูกหนี้ที่มีหนี้อยู่แล้ว แม้โอนให้บุตร ก็เข้าหลักนิติกรรมที่เจ้าหนี้เพิกถอนได้

หนี้เดิม–หนี้ใหม่: แม้สัญญาประนีประนอมยอมความจะทำให้หนี้เช่าซื้อเดิมระงับไป แต่ถือเป็นหนี้ใหม่ที่สืบเนื่องจากหนี้เดิม จำเลยที่ 1 จึงยังมีสถานะเป็นลูกหนี้ของโจทก์

การอ้างธรรมจรรยา: ศาลชี้ว่ามาตรา 237 ไม่ได้ยกเว้นการโอนที่อ้างว่าเป็นการให้ตามธรรมจรรยา กรณีนี้เจ้าหนี้ยังใช้สิทธิฟ้องเพิกถอนได้


IRAC Analysis

Issue:

จำเลยที่ 1 โอนที่ดินให้บุตรโดยเสน่หาขณะมีหนี้ค้างชำระ จะถือเป็นนิติกรรมที่เจ้าหนี้มีสิทธิฟ้องเพิกถอนได้หรือไม่

Rule:

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 วรรคหนึ่ง – เจ้าหนี้มีสิทธิฟ้องเพิกถอนนิติกรรมที่ลูกหนี้รู้อยู่ว่าทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ โดยเฉพาะหากเป็นการให้โดยเสน่หา ไม่ต้องพิสูจน์ว่าผู้รับรู้เห็นด้วย

Application:

จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ตั้งแต่ผู้เช่าซื้อผิดนัด (20 ก.พ. 2563)

การโอนที่ดินให้จำเลยที่ 2 (29 พ.ค. 2563) เกิดขึ้นหลังจากที่หนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว

การโอนดังกล่าวเป็นการให้โดยเสน่หา ไม่ได้รับค่าตอบแทน

จำเลยที่ 1 ย่อมรู้อยู่ว่าการโอนนี้จะทำให้โจทก์เสียเปรียบ

แม้จะมีสัญญาประนีประนอมภายหลัง ก็ไม่ลบล้างสิทธิของโจทก์ที่จะเพิกถอน

Conclusion:

การโอนที่ดินดังกล่าวเป็นนิติกรรมฉ้อฉลเพิกถอนได้ ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้เพิกถอนนิติกรรมโอนที่ดินทั้ง 4 แปลง


สรุปข้อคิดทางกฎหมาย

ลูกหนี้ไม่อาจโอนทรัพย์สินให้บุคคลอื่นเพื่อให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แม้จะเป็นบุตรของตน

การทำสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้ทำให้เจ้าหนี้หมดสิทธิ หากหนี้เดิมมีลักษณะต่อเนื่อง

การอ้างว่าเป็นการให้ตามหน้าที่ธรรมจรรยาไม่ใช่ข้อยกเว้นตามมาตรา 237

คดีนี้เป็นตัวอย่างชัดเจนของการคุ้มครองเจ้าหนี้จากการโอนทรัพย์หนีหนี้

 

การโอนทรัพย์โดยเสน่หาในช่วงที่ลูกหนี้มีหนี้ค้าง ศาลถือเป็นนิติกรรมฉ้อฉล เจ้าหนี้ใช้สิทธิขอเพิกถอนได้ตามกฎหมายแพ่ง  เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1383/2568

แม้โจทก์และจำเลยที่ 1 กับพวกทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2563 อันส่งผลให้หนี้ตามสัญญาเช่าซื้อที่โจทก์มีต่อจำเลยที่ 1 ระงับสิ้นไป กลายเป็นหนี้ใหม่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. มาตรา 852 และจำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ก่อนทำสัญญาประนีประนอมยอมความก็ตาม แต่จำเลยที่ 1 ยังคงเป็นลูกหนี้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวซึ่งสืบเนื่องมาจากหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อ ต้องถือว่าขณะโอนที่ดินจำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อ หลังจากทำสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วจำเลยที่ 1 ยังคงเป็นลูกหนี้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ดังนั้นการโอนที่ดินของจำเลยที่ 1 แม้จะเกิดก่อนทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ก็ยังคงทำให้โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้เสียเปรียบอยู่เช่นเดิม โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซึ่งเป็นการฉ้อฉลนั้นเสียได้


โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 18050, 18051, 18052 และ 18053 ที่จำเลยทั้งสองทำเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2563 ให้กรรมสิทธิ์กลับมาเป็นของจำเลยที่ 1

จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

โจทก์อุทธรณ์


ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับเป็นว่า ให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 18050 ถึง 18053 เลขที่ดิน 83 ถึง 86 ระหว่างจำเลยทั้งสองที่ทำขึ้นเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2563 โดยให้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวกลับมาเป็นของจำเลยที่ 1 ดังเดิม ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีในศาลชั้นต้นและค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา


ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นนี้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2562 นางสาวธนพรทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 1 ตกลงผูกพันชำระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อยินยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมานางสาวธนพรผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 2 ประจำวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 โจทก์มีหนังสือฉบับลงวันที่ 21 เมษายน 2563 บอกกล่าวให้ชำระหนี้และบอกเลิกสัญญา เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2563 จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมโอนที่ดินพิพาท 4 แปลง โฉนดเลขที่ 18050, 18051, 18052 และ 18053 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หาไม่มีค่าตอบแทน ต่อมาวันที่ 17 กันยายน 2563 โจทก์ฟ้องนางสาวธนพร นายประเสริฐ และจำเลยที่ 1 ต่อศาลแพ่ง ฐานผิดสัญญาเช่าซื้อและให้ชดใช้ค่าเสียหาย ครั้นวันที่ 24 ธันวาคม 2563 ศาลแพ่งมีคำพิพากษาตามยอม โดยนางสาวธนพร นายประเสริฐและจำเลยที่ 1 ตกลงร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ นางสาวธนพร นายประเสริฐ และจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม ศาลมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี โจทก์ตรวจสอบทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ไม่พบว่าจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารชุด


คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า โจทก์ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาททั้ง 4 แปลง ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ได้หรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า สัญญาประนีประนอมยอมความทำให้หนี้ตามสัญญาเช่าซื้อที่โจทก์มีต่อจำเลยที่ 1 ระงับสิ้นไป กลายเป็นหนี้ใหม่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 และ 852 จำเลยที่ 1 โอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 ก่อนทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ขณะโอนที่ดินจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้เป็นหนี้โจทก์และเป็นการโอนก่อนที่โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกเป็นคดีแพ่งฐานผิดสัญญาเช่าซื้อ โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่า นางสาวธนพรทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กับโจทก์ จำเลยที่ 1 ตกลงผูกพันชำระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อโดยยินยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับนางสาวธนพร ต่อมานางสาวธนพรผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตามกำหนดจึงตกเป็นผู้ผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 จำเลยที่ 1 ย่อมมีภาระที่ต้องร่วมชำระหนี้ดังกล่าวกับนางสาวธนพรด้วย และถือว่าจำเลยที่ 1 ตกเป็นลูกหนี้ตั้งแต่นางสาวธนพรผิดนัดเป็นต้นไป เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่านางสาวธนพรผิดนัดในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 จำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้ง 4 แปลง ให้แก่จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2563 ซึ่งเป็นการโอนภายหลังที่จำเลยที่ 1 ตกเป็นลูกหนี้แล้ว จึงเป็นนิติกรรมที่จำเลยที่ 1 ในฐานะลูกหนี้กระทำลงในขณะที่มีภาระหนี้ที่ต้องชำระหนี้แก่โจทก์ ทำให้โจทก์เจ้าหนี้เสียเปรียบจากการที่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ลดลงไม่พอชำระหนี้ โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มีทรัพย์สินอื่นเพียงพอที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ ฉะนั้นการที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หาไม่มีค่าตอบแทน จำเลยที่ 1 ย่อมรู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ แม้ต่อมาโจทก์นำหนี้ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวมาฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกเป็นคดีแพ่งฐานผิดสัญญาเช่าซื้อ โจทก์และจำเลยที่ 1 กับพวกทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2563 อันส่งผลให้หนี้ตามสัญญาเช่าซื้อที่โจทก์มีต่อจำเลยที่ 1 ระงับสิ้นไป กลายเป็นหนี้ใหม่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 และจำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ก่อนทำสัญญาประนีประนอมยอมความก็ตาม แต่จำเลยที่ 1 ยังคงเป็นลูกหนี้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวซึ่งสืบเนื่องมาจากหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อ ต้องถือว่าขณะโอนที่ดินจำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อ หลังจากทำสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วจำเลยที่ 1 ยังคงเป็นลูกหนี้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ดังนั้นการโอนที่ดินของจำเลยที่ 1 แม้จะเกิดก่อนทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ก็ยังคงทำให้โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้เสียเปรียบอยู่เช่นเดิม โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซึ่งเป็นการฉ้อฉลนั้นเสียได้ ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น


ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า การโอนที่ดินให้จำเลยที่ 2 เป็นการโอนให้ตามหน้าที่ธรรมจรรยา เนื่องจากเป็นการโอนจากบิดาไปให้บุตรนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้" บทบัญญัติดังกล่าวไม่มีข้อยกเว้นเรื่องการให้ตามหน้าที่ธรรมจรรยา กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าการโอนที่ดินให้จำเลยที่ 2 เป็นการโอนให้ตามหน้าที่ธรรมจรรยาหรือไม่ ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้นเช่นกัน


ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้นำที่ดินพิพาททั้ง 4 แปลง มาเป็นหลักประกัน จำเลยที่ 1 สามารถนำมาโอนให้แก่จำเลยที่ 2 ได้นั้น เห็นว่า การร้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 มิได้บัญญัติว่าการที่เจ้าหนี้จะร้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมใด ๆ ซึ่งลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ จะต้องเป็นกรณีที่ลูกหนี้นำทรัพย์ที่ถูกฟ้องเพิกถอนนิติกรรมวางเป็นหลักประกันแก่เจ้าหนี้แต่ประการใด ดังนั้น หากจำเลยที่ 1 ในฐานะลูกหนี้ได้กระทำนิติกรรมใด ๆ ทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ โจทก์ก็ย่อมใช้สิทธิเพิกถอนนิติกรรมนั้นเสียได้โดยไม่ต้องคำนึงว่าลูกหนี้จะนำที่ดินพิพาททั้ง 4 แปลง มาเป็นหลักประกันด้วยหรือไม่ ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน


ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ไม่ทราบว่านางสาวธนพรผิดสัญญาเช่าซื้อต่อโจทก์ และไม่รู้ถึงข้อเท็จจริงอันเป็นทางให้โจทก์ต้องเสียเปรียบ และกระทำไปโดยสุจริตนั้น เห็นว่า เมื่อการโอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นการโอนให้โดยเสน่หาไม่มีค่าตอบแทน แม้จำเลยที่ 2 มิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบ หรือไม่ทราบว่านางสาวธนพรผิดสัญญาเช่าซื้อต่อโจทก์ หรือกระทำไปโดยสุจริต เพียงแต่จำเลยที่ 1 ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวศาลก็เพิกถอนการโอนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ฎีกาของจำเลยทั้งสองนอกจากนี้ล้วนเป็นเรื่องพลความและไม่เป็นสาระอันควรแก่การวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาททั้ง 4 แปลง ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น

 

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

 




นิติกรรม

สัญญาเช่าโรงงาน โมฆียะ สำคัญผิด & ค่าเสียหาย(ฎีกา 7019/2567)
โมฆียะบันทึกข้อตกลงอนุญาโตตุลาการ & กลฉ้อฉล (ฎีกา 1406-1407/2567)
คดีสัญญาซื้อขายหน่วยลงทุน-พัฒนาที่ดิน,ลาภมิควรได้, โมฆะ,(ฎีกา 2358/2567)
ฟ้องเพิกถอนนิติกรรมฉ้อฉล & สิทธิผู้รับโอนสิทธิเรียกร้อง (ฎีกา 3107/2568)
คดีแพ่งเรื่องสิทธิไถ่ถอนจำนอง, การยอมรับโดยปริยายในคดีจำนอง-ฎีกา 3553/2568
โมฆะการเปลี่ยนผู้รับผลประโยชน์ประกันชีวิต(ฎีกา 1/2568)
การเปลี่ยนผู้รับประโยชน์กรมธรรม์ประกันชีวิตโดยผู้อนุบาล ขัดต่อเจตนาผู้เอาประกัน โมฆะเพราะไม่ได้รับอนุญาตศาล(ฎีกาที่ 1/2568)
จำนองที่ดินเฉพาะส่วน และสิทธิของเจ้าของรวม,จำนอง, เจ้าของรวม, มาตรา 1361, (ฎีกาที่ 5423/2553)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7504/2567 : คดีผู้บริโภค กู้ยืมเงินตามสัญญากู้ การให้การไม่ชัดแจ้ง และการห้ามอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 44/2568: เพิกถอนนิติกรรมโอนที่ดินมรดกที่ไม่สุจริต
(ฎ.432-433/2567) เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดิน ปลอมแปลงหนังสือมอบอำนาจ และการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ฎีกาที่ 7639/2560 : คดีเพิกถอนการขายที่ดินพิพาท ระหว่างสินส่วนตัวกับสินสมรส และปัญหาอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4084/2567 ผลของการบอกล้างโมฆียะกรรมและการชดใช้ค่าเสียหายจากค่าเสื่อมราคา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5661/2567: การสละที่ดินโครงการเป็นทางสาธารณะ และผลทางกฎหมายของการโอนขาย article
การโอนสิทธิเรียกร้องและสิทธิฟ้องลูกหนี้ตามสัญญาซื้อขาย(ฎีกาที่ 6557/2567)
การปล่อยกู้โดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราและผลของโมฆะกรรมตามกฎหมาย(ฎีกาที่ 6901/2567)
ส่งมอบรถหลักประกันไม่ใช่การชำระหนี้แทนเงินกู้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 656(ฎีกาที่ 6964/2567)
สิทธิในสัญญาเช่าซื้อกับการตกทอดทางมรดก: วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1366/2516
ผู้อนุบาลและคนไร้ความสามารถ, สติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์เป็นโมฆียะ, การบอกล้างโมฆียะกรรม
เพิกถอนนิติกรรมวิกลจริต, การบอกล้างโมฆียกรรม, นิติกรรมของผู้ป่วยจิตเวช, โมฆียกรรมกลายเป็นโมฆะ
ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิด, การขยายเวลาชำระหนี้, ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ค้ำประกัน
คดีเลิกสัญญาก่อสร้าง, สิทธิในเบี้ยปรับตามกฎหมาย, เบี้ยปรับในสัญญาก่อสร้าง
ความรับผิดของผู้รับประกันภัย, รถสูญหาย, ถูกเพลิงไหม, การละทิ้งความครอบครองรถยนต์
คดีเกี่ยวกับการบุกรุกป่าสงวน, ข้อกฎหมายเกี่ยวกับที่ดินรัฐ, สิทธิการครอบครองที่ดินชั่วคราว
กฎหมายกู้ยืมเงิน, หลักฐานการกู้ยืมเงิน, ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์, การกู้ยืมเงินในไลน์และเฟสบุค
นิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์
หลักฐานการกู้ยืมเงิน, การลงลายมือชื่อในสัญญากู้ยืม, การพิสูจน์การชำระหนี้
คดีผู้บริโภค, การใช้สิทธิไม่สุจริต, ความสุจริตในการชำระหนี้, มาตรฐานทางการค้า
สัญญาประนีประนอมยอมความ, การรังวัดที่ดินแนวเขต, อำนาจฟ้อง,
สัญญานายหน้าและค่านายหน้า, กฎหมายลาภมิควรได้, การบอกเลิกสัญญานายหน้าโดยไม่สุจริต
สัญญาซื้อขายที่ดินเป็นโมฆะ, นิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงิน
กู้ยืมเงินไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ,สัญญาค้ำประกัน(ฎีกา 1263/2567)
สิทธิทายาท, สละมรดกผู้เยาว์, เพิกถอนโอนที่ดิน(ฎีกา 1649/2567)
การทำนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์
หนังสือสัญญากู้เงินตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์
การซื้อขายที่ดินตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150
ผู้รับจำนองมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นโดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีเจ้าหนี้อื่นมาขอเฉลี่ยหนี้
สัญญาเช่าที่ดินซึ่งเป็นเจ้าของรวม
การโอนที่ดินในระยะเวลาห้ามโอนเป็นโมฆะ
สิทธิบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด
คำสั่งงดสืบพยานจำเลย
สัญญาจะซื้อจะขายมีผลอย่างไรกับสัญญาซื้อขาย
หนังสือมอบอำนาจ พิมพ์ลายนิ้วมือ
กฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยฝ่าฝืนเป็นโมฆะ | ดอกเบี้ยผิดนัด
สิทธิของผู้รับจำนองเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้เรียกว่า"บุริมสิทธิ"
สัญญาที่ทำขึ้นโดยไม่มีเจตนาแท้จริงให้ผูกพันกัน
ความรับผิดในคดีแพ่งต้องอาศัยมูลมาจากการกระทำความผิดในทางอาญา
นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย, ฝ่าฝืนกฎหมาย
อำนาจฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการจำหน่ายที่ดินเพื่อชำระเป็นเงินให้คนต่างด้าว
ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมให้สินสมรสเมื่อผู้ให้ตายแล้วไม่ต้องฟ้องผู้จัดการมรดกก็ได้
ขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินสินสมรส
การขายอสังหาริมทรัพย์ของบุตรผู้เยาว์จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลเสียก่อน
ผลของการบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขาย คู่สัญญาแต่ละฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะเดิม
นิติกรรมอำพรางคู่กรณีต้องแสดงเจตนาทำนิติกรรมขึ้นสองนิติกรรม
องค์ประกอบของนิติกรรม
สัญญารับเหมาก่อสร้างเลิกกัน คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิม
สัญญาซื้อขายที่ดินเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงิน
ทำสัญญากู้ยืมเงินในฐานะผู้แทนของสมาคมไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว
แม้ดอกเบี้ยเป็นโมฆะแต่ยังต้องรับผิดต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยผิดนัด
ข้อตกลงให้ผู้ซื้อทรัพย์เป็นผู้ชำระค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
ขายที่ดินห้ามโอนภายใน 10 ปีเป็นการสละการครอบครอง
สิทธิได้รับค่าตอบแทนก่อนบอกเลิกสัญญาตัวแทนประกันชีวิต
ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประกันชีวิต-อ้างถูกฉ้อฉลให้ทำสัญญา
ผู้รับประกันภัยได้รับประกันวินาศภัยไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ
ลูกหนี้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเกินอัตราเป็นโมฆะต้องนำมาหักเป็นต้นเงิน
สัญญาเช่าบ้านภายหลังการซื้อขาย
ผู้จะขายไม่ได้รับใบอนุญาตให้จัดสรรที่ดินผู้จะซื้อไม่รู้สัญญาไม่เป็นโมฆะ
ผู้แทนโดยชอบธรรมทำสัญญาขายไม้มรดกส่วนของผู้เยาว์-ไม่ต้องขออนุญาตศาลก่อน
คู่สัญญามีอำนาจฟ้องให้โอนทรัพย์สินให้บุตรได้
การฟ้องคดีแพ่งมิใช่เป็นการทำนิติกรรม
การกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าในสัญญาถือว่าเป็นเบี้ยปรับ