
| คดีอั้งยี่ & สมคบก่อการร้าย (พยานหลักฐาน)-ฎีกา 6820/2567 ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์
คดีนี้เกี่ยวข้องกับการกล่าวหากลุ่มบุคคลในจังหวัดชายแดนภาคใต้ฐานอั้งยี่และสมคบเพื่อก่อการร้าย โดยมีการวางแผนใช้อาวุธโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐจนมีผู้เสียชีวิต ประเด็นสำคัญคือคำให้การและบันทึกการซักถามก่อนถูกจับกุมสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ ศาลเห็นว่าการซักถามดังกล่าวมิใช่คำให้การของผู้ถูกจับตาม ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคสี่ จึงไม่ต้องห้ามรับฟัง พยานหลักฐานทางโทรศัพท์ ข้อความเสียง ภาพถ่าย รวมถึงคำให้การที่สอดคล้องกันมีน้ำหนักเพียงพอ ศาลพิพากษายืนลงโทษฐานอั้งยี่และสมคบก่อการร้าย (อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับเต็ม) 📌 กฎหมายที่ใช้วินิจฉัยหลักในคดีนี้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84 วรรคสี่ – กำหนดว่าคำให้การของผู้ถูกจับที่มิได้ให้ต่อเจ้าพนักงานผู้จับต้องห้ามรับฟังเป็นพยานหลักฐาน 👉 แต่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการซักถามจำเลยก่อนถูกจับ ไม่เข้าข่ายผู้ถูกจับตามมาตรานี้ จึงไม่ต้องห้าม และสามารถนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานได้ 🔑 Keywords สำคัญ 5 ประการ 1. อั้งยี่ (Criminal Association) การรวมกลุ่มปกปิดการดำเนินการ มีเป้าหมายเพื่อก่อการร้ายและแบ่งแยกดินแดน เป็นข้อหาหลักที่ศาลพิพากษาลงโทษ 2. สมคบก่อการร้าย (Conspiracy to Commit Terrorism) การร่วมกันวางแผน เตรียมการ และติดต่อสื่อสารเพื่อลงมือก่อเหตุ ศาลถือว่ามีหลักฐานเพียงพอเชื่อมโยงจำเลยกับขบวนการ 3. พยานหลักฐานจากการซักถาม (Pre-Arrest Statements) จำเลยให้การต่อเจ้าหน้าที่ในชั้นซักถามก่อนถูกจับ ศาลวินิจฉัยว่าเป็นเพียงการสอบถามเบื้องต้น ไม่ขัดต่อ ม.84 วรรคสี่ 4. พยานอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Communications) ข้อมูลการใช้โทรศัพท์ ข้อความเสียง และการสื่อสารผ่านแอปพลิเคชัน ถูกนำมาเชื่อมโยงจำเลยกับผู้ก่อเหตุ ถือเป็นพยานหลักฐานสำคัญ 5. พยานหลักฐานที่ชอบด้วยกฎหมาย (Valid Evidence under Section 226) ศาลเห็นว่าหลักฐานต่าง ๆ ได้มาโดยชอบ ไม่ถูกห้ามตามกฎหมาย และมีน้ำหนักเพียงพอในการพิพากษาลงโทษ ✅ สรุปสั้น ๆ: คดีนี้ศาลฎีกาอธิบายด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคสี่ และ มาตรา 226 ร่วมกับการพิจารณาความผิดตาม ป.อ. มาตรา 209 และ 135/2 โดยย้ำว่าคำให้การก่อนถูกจับยังฟังได้ และพยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์มีน้ำหนักมากพอในการพิพากษาลงโทษ หลักกฎหมาย: ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคสี่ บทบัญญัตินี้กำหนดว่า “คำให้การของผู้ถูกจับที่มิได้ให้ไว้ต่อเจ้าพนักงานผู้จับ ต้องห้ามมิให้นำมารับฟังเป็นพยานหลักฐาน” เจตนารมณ์ของกฎหมาย • เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกจับไม่ให้ถูกบังคับ ขู่เข็ญ หรือจูงใจให้ให้การโดยไม่สมัครใจ • รับรองหลักการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม (fair trial) และสิทธิในการต่อสู้คดี • การจะนำคำให้การมาใช้ได้ ต้องเป็นคำให้การที่ให้ไว้ ต่อเจ้าพนักงานผู้จับโดยตรง หรือให้ต่อเจ้าพนักงานสอบสวนในกระบวนการที่ชอบด้วยกฎหมาย การตีความโดยศาลฎีกา 🔹 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2315/2553 จำเลยถูกจับกุมในคดียาเสพติด หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจที่มิใช่ผู้จับ ได้สอบถามจำเลยแล้วบันทึกถ้อยคำ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคำให้การดังกล่าวไม่ใช่คำให้การต่อเจ้าพนักงานผู้จับโดยตรง จึงเป็น พยานหลักฐานที่ต้องห้าม ตามมาตรา 84 วรรคสี่ 👉 หลักที่ได้: หากคำให้การมิได้มาจากเจ้าหน้าที่ผู้จับโดยตรง แต่ได้จากบุคคลอื่น แม้จะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ก็ถือว่าเป็นโมฆะในการรับฟัง 🔹 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1641/2559 จำเลยถูกจับกุมในคดีอาญา แล้วมีการให้การยอมรับต่อเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนที่ไม่ได้เป็นผู้จับ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำให้การดังกล่าวเป็น ต้องห้ามฟัง ตามมาตรา 84 วรรคสี่ ไม่อาจใช้มาลงโทษจำเลยได้ 👉 หลักที่ได้: การยอมรับความผิดจะใช้ได้ ก็ต่อเมื่อให้ไว้กับเจ้าหน้าที่ผู้จับโดยตรง หรืออยู่ในกระบวนการสอบสวนที่ชอบด้วยกฎหมาย 🔹 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3567/2561 กรณีจำเลยอ้างว่าถูกบังคับให้รับสารภาพต่อเจ้าหน้าที่ทหารที่ร่วมจับ แต่ไม่ใช่เจ้าพนักงานผู้จับโดยตรง ศาลฎีกาเห็นว่า คำรับสารภาพนั้นเป็นคำให้การที่มิได้ให้ต่อผู้จับโดยตรง จึง เป็นพยานหลักฐานต้องห้าม และไม่อาจนำมาลงโทษได้ 👉 หลักที่ได้: แม้เจ้าหน้าที่ทหารจะมีส่วนร่วมในปฏิบัติการ แต่หากไม่ใช่ “ผู้จับ” ตามกฎหมาย ก็ไม่สามารถใช้คำให้การของจำเลยได้ ข้อสรุปสำคัญ • มาตรา 84 วรรคสี่ เป็นกลไกป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ใช้ช่องว่างในการสอบสวนเก็บคำรับสารภาพที่อาจได้มาโดยไม่ชอบ • ศาลฎีกามีแนววินิจฉัยต่อเนื่องว่า คำให้การที่ไม่ได้มาจากผู้จับโดยตรง ถือว่าต้องห้ามฟัง
• แนวคำพิพากษา เช่น ฎีกาที่ 2315/2553, 1641/2559, 3567/2561 ยืนยันหลักการนี้ และใช้เป็นบรรทัดฐานในคดีอื่น ๆ |



.jpg)
