
| (ฎีกา 324/2568) สิทธิฟ้อง, โจทก์ร่วม, อุบัติเหตุจราจร ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับคดีอุบัติเหตุทางถนนที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต โดยประเด็นสำคัญคือผู้ตายมีส่วนประมาทเอง ทำให้ภริยาไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย จึงไม่มีสิทธิเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญา แต่ยังสามารถใช้สิทธิในทางแพ่งฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ ศาลฎีกาวินิจฉัยยืนยันหลักการเรื่องสิทธิฟ้องและสถานะโจทก์ร่วมในคดีอาญาและแพ่งไว้อย่างชัดเจน
ข้อเท็จจริงของคดี • จำเลยขับรถโดยประมาทจนเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ของผู้ตาย ทำให้เสียชีวิต • ภริยาผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญา และฟ้องเรียกค่าสินไหม 2,100,000 บาท • ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกและปรับ พร้อมให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหม 495,000 บาท • ศาลอุทธรณ์แก้โทษเป็นรอการลงโทษ 2 ปี และยกคำร้องค่าสินไหม 2.คำวินิจฉัยของศาลฎีกา • ผู้ตายมีส่วนประมาท ฝ่าฝืนกฎหมายจราจร (มาตรา 46 (2)) จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย • ภริยาไม่มีสิทธิเข้าร่วมเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4), 5 (2), 30 • ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ที่อนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์ ไม่ชอบ ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม มาตรา 195, 225 • แต่ในคดีแพ่ง ภริยายังมีสิทธิเรียกค่าสินไหมตาม มาตรา 44/1 ป.วิ.อ. • ศาลฎีกาเห็นว่าผู้ตายมีส่วนประมาทเช่นกัน จึงยกคำร้องค่าสินไหม 3. ประเด็นทางกฎหมายและการวิเคราะห์ • สถานะโจทก์ร่วมในคดีอาญา: เฉพาะผู้เสียหายโดยนิตินัยเท่านั้นที่มีสิทธิ หากผู้ตายมีส่วนประมาทเอง ทายาทไม่อาจฟ้องอาญาแทนได้ • อำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเอง: แม้ไม่มีคู่ความฎีกา แต่หากเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาสามารถยกขึ้นเองได้ • สิทธิเรียกค่าสินไหมในทางแพ่ง: แม้ไม่มีสิทธิในคดีอาญา แต่ยังมีสิทธิแพ่งตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 • ส่วนประมาท: หากผู้เสียชีวิตมีส่วนประมาท ย่อมกระทบต่อสิทธิในการเรียกค่าเสียหาย
IRAC Analysis Issue (ประเด็นปัญหา): ภริยาผู้ตายซึ่งผู้ตายมีส่วนประมาท จะมีสิทธิฟ้องเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญาและเรียกค่าสินไหมได้หรือไม่ Rule (กฎเกณฑ์กฎหมาย): • ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) กำหนดผู้เสียหายโดยนิตินัย • ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2), 30 สิทธิการเข้าร่วมเป็นโจทก์ • ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 สิทธิเรียกค่าสินไหมในทางแพ่ง • ป.วิ.อ. มาตรา 195, 225 อำนาจศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเอง Application (การประยุกต์ใช้): • เนื่องจากผู้ตายมีส่วนประมาท ฝ่าฝืนกฎหมายจราจร จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย • ภริยาไม่อาจเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญา แต่ยังสามารถใช้สิทธิทางแพ่งได้ • อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาพฤติการณ์พบว่าผู้ตายมีส่วนประมาทมาก ศาลจึงไม่ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหม Conclusion (ข้อสรุป): โจทก์ร่วมไม่อาจเป็นโจทก์ในคดีอาญาได้ แต่ยังมีสิทธิฟ้องแพ่ง อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกายกคำร้องค่าสินไหม เนื่องจากผู้ตายมีส่วนประมาท
สรุปข้อคิดทางกฎหมาย 1. สิทธิในการเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญาจำกัดเฉพาะผู้เสียหายโดยตรง 2. หากผู้ตายมีส่วนประมาท ทายาทไม่มีสิทธิฟ้องแทนในคดีอาญา 3. อย่างไรก็ดี ทายาทยังสามารถฟ้องแพ่งเพื่อเรียกค่าสินไหมได้ 4. ศาลฎีกามีอำนาจยกข้อกฎหมายขึ้นวินิจฉัยเอง แม้คู่ความไม่ฎีกา
English Summary The Supreme Court Decision No. 324/2025 concerns a fatal traffic accident where the deceased was found partly negligent. The Court ruled that the widow had no standing as a joint plaintiff in the criminal case since the deceased was not a “legal victim.” However, she retained the right to claim civil damages under Section 44/1 of the Criminal Procedure Code. Ultimately, the Court dismissed the damages claim, holding both the defendant and the deceased equally negligent.
สรุปคำแปลภาษาอังกฤศ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 324/2568 เป็นคดีอุบัติเหตุจราจรซึ่งมีผู้เสียชีวิต โดยศาลเห็นว่าผู้ตายมีส่วนประมาทด้วย ศาลจึงวินิจฉัยว่าภริยาของผู้ตายไม่มีสิทธิที่จะเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญา เนื่องจากผู้ตายมิใช่ “ผู้เสียหายโดยนิตินัย” อย่างไรก็ดี ภริยายังคงมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในทางแพ่งได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 แต่ในที่สุดศาลมีคำพิพากษายกคำร้องดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าจำเลยและผู้ตายต่างมีส่วนประมาทเสมอกัน
15 คำศัพท์กฎหมายที่น่าสนใจ 1. fatal – ถึงแก่ความตาย, ร้ายแรง 2. traffic accident – อุบัติเหตุจราจร 3. deceased – ผู้ตาย 4. negligent – ประมาทเลินเล่อ 5. partly negligent – มีส่วนประมาท 6. The Court ruled – ศาลมีคำวินิจฉัย 7. widow – ภริยาหม้าย (คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่) 8. standing – ฐานะหรือสิทธิในการฟ้องคดี 9. joint plaintiff – โจทก์ร่วม 10. criminal case – คดีอาญา 11. legal victim – ผู้เสียหายโดยนิตินัย 12. civil damages – ค่าสินไหมทดแทนในทางแพ่ง 13. Section – มาตรา (ในกฎหมาย) 14. Criminal Procedure Code – ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 15. dismissed – ศาลยกคำร้อง / ไม่รับพิจารณา ตัวอย่างการใช้คำศัพท์ในประโยค 1. fatal The driver’s careless behavior caused a fatal mistake that ended someone’s life. It was a small decision that had very big consequences. • Literal: พฤติกรรมที่ประมาทของผู้ขับทำให้เกิดความผิดพลาดถึงแก่ความตายที่คร่าชีวิตผู้อื่น การตัดสินใจเล็กน้อยนั้นกลับก่อให้เกิดผลร้ายแรงใหญ่หลวง • Natural: คนขับขับรถพลาดแบบร้ายแรง จนทำให้มีคนตาย แค่ตัดสินใจเล็ก ๆ แต่มันส่งผลใหญ่เลย
2. traffic accident The police reported a serious traffic accident at the main intersection. Everyone in the neighborhood heard the sound of the crash. • Literal: เจ้าหน้าที่ตำรวจรายงานว่าเกิดอุบัติเหตุจราจรร้ายแรงที่สี่แยกใหญ่ ทุกคนในละแวกนั้นได้ยินเสียงการชนดังขึ้น • Natural: ตำรวจบอกว่ามีอุบัติเหตุบนถนนตรงแยกใหญ่ คนแถวนั้นได้ยินเสียงชนกันดังสนั่น
3. deceased The family of the deceased asked the court for justice. They just wanted the truth to be recognized. • Literal: ครอบครัวของผู้ตายได้ร้องขอความยุติธรรมต่อศาล พวกเขาเพียงต้องการให้ความจริงได้รับการยอมรับ • Natural: ครอบครัวของผู้เสียชีวิตไปขอความยุติธรรมที่ศาล เขาอยากให้เรื่องจริงถูกยอมรับก็เท่านั้น
4. negligent The judge found the defendant negligent for not slowing down at the crossing. Many accidents happen because drivers don’t pay enough attention. • Literal: ศาลเห็นว่าจำเลยมีความประมาทเลินเล่อที่ไม่ชะลอความเร็วเมื่อถึงทางข้าม อุบัติเหตุจำนวนมากเกิดจากการที่ผู้ขับขี่ไม่ใช้ความระมัดระวังเพียงพอ • Natural: ศาลบอกว่าจำเลยประมาทเพราะไม่ยอมชะลอรถตรงทางข้าม หลายครั้งอุบัติเหตุก็เกิดเพราะคนขับไม่ระวังนั่นแหละ
5. partly negligent The Court decided the deceased was partly negligent in the accident. It meant that both sides shared responsibility. • Literal: ศาลวินิจฉัยว่าผู้ตายมีส่วนประมาทในการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งหมายความว่าทั้งสองฝ่ายต้องร่วมกันรับผิดชอบ • Natural: ศาลบอกว่าผู้เสียชีวิตก็มีส่วนผิดเหมือนกัน ก็คือทั้งสองฝ่ายต่างก็มีส่วนผิดนั่นแหละ
6. The Court ruled The Court ruled that the widow could not join as a plaintiff in the criminal case. It was a strict interpretation of the law. • Literal: ศาลมีคำวินิจฉัยว่าภริยาหม้ายไม่อาจเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญาได้ ซึ่งเป็นการตีความตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด • Natural: ศาลตัดสินว่าภรรยาที่เหลืออยู่ฟ้องร่วมไม่ได้ ถือว่าใช้กฎหมายแบบเข้มงวดจริง ๆ
7. widow The widow filed a petition asking for compensation after her husband’s death. She was left to take care of her children alone. • Literal: ภริยาหม้ายได้ยื่นคำร้องขอให้ชดใช้ค่าเสียหายหลังการเสียชีวิตของสามี เธอถูกทิ้งไว้ให้เลี้ยงดูบุตรตามลำพัง • Natural: ภรรยาที่สามีเสียชีวิตไปแล้วก็ยื่นขอค่าเสียหาย เธอต้องเลี้ยงลูกเองคนเดียว
8. standing The lawyer argued that his client had no legal standing to sue. It was not her direct right under the law. • Literal: ทนายความโต้แย้งว่าลูกความของตนไม่มีฐานะทางกฎหมายที่จะฟ้องร้องได้ เนื่องจากมิใช่สิทธิของเธอตามกฎหมายโดยตรง • Natural: ทนายบอกว่าลูกความไม่มีสิทธิ์ฟ้อง เพราะกฎหมายไม่ได้ให้สิทธิ์เธอตรง ๆ
9. joint plaintiff She tried to act as a joint plaintiff with the prosecutor in the trial. But the judge said the law did not allow it. • Literal: เธอพยายามเข้าร่วมเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการในการพิจารณาคดี แต่ศาลกล่าวว่ากฎหมายไม่อนุญาตให้ทำได้ • Natural: เธออยากฟ้องร่วมกับอัยการ แต่ศาลบอกว่ากฎหมายไม่เปิดโอกาสแบบนั้น
10. criminal case The matter was handled as a criminal case because it involved loss of life. The whole community was waiting for the verdict. • Literal: เรื่องนี้ถูกดำเนินการในฐานะคดีอาญาเนื่องจากเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิต ชุมชนทั้งหมดต่างเฝ้ารอคำพิพากษา • Natural: เรื่องนี้กลายเป็นคดีอาญาเพราะมีคนตาย ทั้งหมู่บ้านก็มารอลุ้นคำตัดสิน
11. legal victim The deceased was not considered a legal victim under the law. This point completely changed the direction of the case. • Literal: ผู้ตายไม่ถูกนับว่าเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยตามกฎหมาย ประเด็นนี้ได้เปลี่ยนทิศทางของคดีไปโดยสิ้นเชิง • Natural: ศาลไม่ถือว่าผู้ตายเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย ตรงนี้แหละที่ทำให้คดีเปลี่ยนทิศไปเลย
12. civil damages The widow asked the court to order civil damages for her loss. She believed money could help her family survive. • Literal: ภริยาหม้ายร้องขอให้ศาลบังคับชำระค่าสินไหมทดแทนในทางแพ่งสำหรับความสูญเสีย เธอเชื่อว่าเงินดังกล่าวจะช่วยให้ครอบครัวอยู่รอดได้ • Natural: ภรรยาขอให้ศาลสั่งชดใช้ค่าเสียหาย เธอคิดว่าเงินนี้จะช่วยให้ครอบครัวผ่านไปได้
13. Section The lawyer referred to Section 44/1 of the Criminal Procedure Code. That section clearly explained the rights of the victim. • Literal: ทนายความได้อ้างอิงมาตรา 44/1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งมาตราดังกล่าวได้อธิบายสิทธิของผู้เสียหายไว้อย่างชัดเจน • Natural: ทนายยกมาตรา 44/1 มาอ้าง เพราะมาตรานั้นเขียนชัดว่าผู้เสียหายมีสิทธิอะไรบ้าง
14. Criminal Procedure Code The Court based its reasoning on the Criminal Procedure Code. This code sets out how criminal cases must be handled. • Literal: ศาลอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเป็นเหตุผลประกอบการวินิจฉัย ประมวลกฎหมายฉบับนี้กำหนดวิธีการดำเนินคดีอาญาไว้ • Natural: ศาลอ้างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งเป็นกฎหมายที่บอกวิธีจัดการคดีอาญา
15. dismissed The Court dismissed the widow’s claim for damages. She walked away feeling disappointed but not surprised. • Literal: ศาลได้ยกคำร้องของภริยาหม้ายที่ขอค่าเสียหาย เธอเดินออกไปด้วยความผิดหวังแต่ก็มิได้รู้สึกแปลกใจ • Natural: ศาลไม่รับคำขอค่าเสียหายของภรรยา เธอเดินออกจากศาลด้วยความผิดหวังแต่ก็พอจะเดาได้อยู่แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 324/2568 เมื่อผู้ตายมีส่วนประมาท มิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยสำหรับความผิดข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) โจทก์ร่วมจึงไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตาย และไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) และมาตรา 30 การที่ศาลล่างทั้งสองไม่ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของโจทก์ร่วมจึงไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ดังนี้เมื่อโจทก์ร่วมไม่ใช่คู่ความในคดีอาญาจึงใช้สิทธิยื่นฎีกาไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาในส่วนคดีอาญาของโจทก์ร่วม
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า แม้คดีส่วนอาญาโจทก์ร่วมไม่อาจใช้สิทธิได้เพราะไม่ใช่คู่ความในคดีอาญา แต่เมื่อโจทก์ร่วมยื่นฎีกาและยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง การที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมฎีกาในคดีส่วนอาญาสำหรับปัญหาข้อเท็จจริง และมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นการสั่งแทนศาลฎีกา และศาลฎีกามีคำวินิจฉัยและคำสั่งในคดีส่วนอาญาแล้ว กรณีจึงถือว่าคดีส่วนอาญาขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งได้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 43, 78, 157, 160 จำเลยให้การรับสารภาพ
ระหว่างพิจารณา นางนิตยา ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายจรัส ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ส่วนข้อหาขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน และข้อหาขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแต่ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควรและไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อตำรวจ โจทก์ร่วมไม่เป็นผู้เสียหาย จึงไม่อนุญาต และโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 2,100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (4), 78 วรรคหนึ่ง, 157, 160 วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน และฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี ฐานขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหาย แต่ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควรและไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อตำรวจปรับ 4,000 บาท รวมจำคุก 2 ปี และปรับ 4,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี และปรับ 2,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 495,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแต่ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควรและไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อตำรวจ จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78, 160 วรรคแรก (ที่ถูก มาตรา 78 วรรคหนึ่ง, 160 วรรคหนึ่ง (เดิม)) ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 2 ปี และปรับ 10,000 บาท ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 1 ปี และปรับ 5,000 บาท เมื่อรวมกับโทษฐานขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแต่ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควรและไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อตำรวจ เป็นจำคุก 1 ปี และปรับ 7,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และคุมประพฤติของจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ให้จำเลยฟัง โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 เดือนต่อครั้ง ภายในเวลาที่รอการลงโทษ ให้กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรมีกำหนด 12 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกคำร้องของโจทก์ร่วมที่ขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ร่วมฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมในประการแรกว่า สมควรลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยขับรถกระบะในช่องเดินรถที่ 2 ด้วยความเร็วสูงเกินสมควรและไม่ชะลอความเร็วของรถให้ช้าลงเมื่อขับรถไปถึงทางร่วมทางแยก ในขณะเดียวกันผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ในช่องเดินรถที่ 1 มุ่งหน้าไปทิศทางเดียวกัน เมื่อถึงทางร่วมทางแยกมีรถกระบะขับเลี้ยวเข้าถนนสายนาทับ ผู้ตายจึงขับรถจักรยานยนต์แซงรถกระบะคันดังกล่าว แสดงว่าผู้ตายไม่ได้ชะลอความเร็วของรถให้ช้าลงเมื่อขับรถไปถึงทางร่วมทางแยก แต่กลับเร่งความเร็วเพื่อจะแซงในขณะที่รถกระบะจะเลี้ยวซ้ายไปทางถนนสายนาทับ ซึ่งการขับรถแซงในลักษณะดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 46 (2) อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะเกิดเหตุ ที่ห้ามมิให้ผู้ขับขี่รถแซงเพื่อขึ้นหน้ารถอื่นภายในระยะสามสิบเมตรก่อนถึงทางร่วมทางแยก จนเป็นเหตุให้รถทั้งสองคันเกิดการเฉี่ยวชนกันและผู้ตายถึงแก่ความตาย ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นที่เห็นได้ว่าเกิดจากความประมาทของทั้งสองฝ่าย และเมื่อรับฟังประกอบกับที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าผู้ตายมีส่วนประมาทอยู่ด้วย โดยโจทก์ร่วมมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านให้เห็นเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงจึงรับฟังเป็นยุติว่าผู้ตายมีส่วนประมาทจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยสำหรับความผิดข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) ภริยาผู้ตายย่อมไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (2) และไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 30 ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นางนิตยาเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ และที่ศาลล่างทั้งสองไม่พิพากษายกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของนางนิตยาจึงไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และเมื่อวินิจฉัยดังกล่าวแล้ว นางนิตยาจึงไม่ใช่คู่ความในคดีส่วนอาญาและไม่อาจใช้สิทธิยื่นฎีกาได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมในคดีส่วนแพ่งประการต่อไปมีว่า จำเลยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วมหรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ปัญหาข้อนี้แม้คดีส่วนอาญาโจทก์ร่วมไม่อาจใช้สิทธิฎีกาได้เพราะมิใช่คู่ความตามที่วินิจฉัยไปแล้ว แต่คดีนี้เมื่อโจทก์ร่วมยื่นฎีกาและยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในส่วนคดีอาญา และมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นการสั่งแทนศาลฎีกาและศาลฎีกามีคำวินิจฉัยและคำสั่งในคดีส่วนอาญาแล้ว กรณีจึงถือว่าคดีส่วนอาญาขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งโดยเห็นว่า แม้ผู้ตายไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย แต่โจทก์ร่วมซึ่งเป็นภริยาของผู้ตายเป็นผู้เสียหายในทางแพ่งยังคงมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยโดยเห็นว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยและผู้ตายขับรถมาในทิศทางเดียวกันตามถนนสายสงขลา-นาทวี หากจำเลยและผู้ตายต่างฝ่ายต่างใช้ความระมัดระวังและรักษาช่องเดินรถของตน เพื่อให้รถที่สัญจรในช่องเดินรถอื่นแล่นขนานผ่านไปได้แล้ว คงจะไม่เกิดเหตุเฉี่ยวชนกันดังกล่าว แม้คดีนี้จำเลยถูกฟ้องในความผิดข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ข้อหาขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน กับข้อหาขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแต่ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควรและไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อตำรวจ และศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว จึงฟังได้ว่าจำเลยขับรถโดยประมาท แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของจำเลยว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยขับรถกระบะแล่นไปตามช่องเดินรถที่ 2 จากด้านซ้ายเป็นระยะทางประมาณ 3 ถึง 5 กิโลเมตร เมื่อรถแล่นใกล้จะถึงที่เกิดเหตุจำเลยเห็นรถกระบะแล่นอยู่ในช่องเดินรถที่ 1 จากด้านซ้าย โดยมีรถจักรยานยนต์ของผู้ตายแล่นตามหลังห่างกันประมาณ 5 เมตร เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุจำเลยไม่เห็นรถจักรยานยนต์ของผู้ตาย แต่มารู้อีกทีเมื่อมีแรงกระแทกทางด้านซ้ายรถกระบะของจำเลย ขณะนั้นรถกระบะของจำเลยยังคงแล่นอยู่ในช่องเดินรถที่ 2 จากด้านซ้าย ซึ่งคำเบิกความของจำเลยดังกล่าวสอดรับกับภาพจากกล้องวงจรปิด แสดงว่าผู้ตายไม่ได้ขับรถจักรยานยนต์ชิดด้านซ้ายของช่องเดินรถที่ 2 มาแต่แรก โดยเพิ่งจะมาเปลี่ยนช่องเดินรถ เพื่อจะแซงในขณะที่รถกระบะจะเลี้ยวซ้ายไปทางถนนสายนาทับ ซึ่งการขับรถแซงในลักษณะดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 46 (2) อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะเกิดเหตุที่ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถแซงเพื่อขึ้นหน้ารถอื่นภายในระยะสามสิบเมตรก่อนถึงทางร่วมทางแยก ทั้งในบริเวณที่เกิดเหตุยังมีสัญญาณจราจรไฟกระพริบสีเหลืองอำพันติดตั้งอยู่ก่อนถึงทางร่วมทางแยก ผู้ตายจึงต้องลดความเร็วของรถลงและผ่านทางเดินรถนั้นไปด้วยความระมัดระวัง แต่ผู้ตายกลับเร่งความเร็วของรถเพื่อขับแซงรถกระบะ โดยมิได้ระมัดระวังไม่ให้การขับรถแซงดังกล่าวไปกีดขวางรถอื่นจนเกิดอันตราย ทั้งเมื่อพิจารณาภาพจากกล้องวงจรปิดจะเห็นได้ว่าด้านขวาของรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับเฉี่ยวชนกับด้านซ้ายของรถกระบะที่จำเลยขับในขณะที่ผู้ตายเปลี่ยนช่องเดินรถเข้าไปในช่องเดินรถที่ 2 ในเวลาเดียวกันกับที่จำเลยขับรถกระบะด้วยความเร็วสูงในช่องเดินรถดังกล่าว ซึ่งจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกสมภพ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรควนมีด พยานจำเลยยืนยันว่าการชนในลักษณะดังกล่าว สาเหตุเกิดจากความประมาทของจำเลยและผู้ตาย จึงแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ตายด้วยเนื่องจากบริเวณที่เกิดเหตุเป็นทางร่วมทางแยกควรลดความเร็วของรถลงเพื่อให้รถคันหน้าเลี้ยวซ้ายไปก่อน ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าเหตุคดีนี้เกิดจากความประมาทของจำเลยและผู้ตายไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกคำร้องของโจทก์ร่วมมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ร่วมในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่โจทก์ร่วมฎีกาว่า ผู้ตายไม่ได้มีส่วนประมาทนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ตายมีส่วนประมาทยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ร่วมจะโต้เถียงในชั้นฎีกาว่าผู้ตายไม่ได้ประมาทหาได้ไม่ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 9 ฎีกาในข้อดังกล่าวของโจทก์ร่วมจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์และยกฎีกาในคดีส่วนอาญาของนางนิตยา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งชั้นฎีกาให้เป็นพับ |




.jpg)