ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




(ฎีกา 324/2568) สิทธิฟ้อง, โจทก์ร่วม, อุบัติเหตุจราจร

คำพิพากษาศาลฎีกา 324/2568, สิทธิฟ้องโจทก์ร่วม, อุบัติเหตุจราจร, คดีอาญากับคดีแพ่ง, ส่วนประมาทของผู้ตาย, การฟ้องค่าสินไหม, ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, ป.วิ.อ. มาตรา 2(4), 5(2), 30, 44/1, ศาลฎีกาวินิจฉัย

ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ 

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับคดีอุบัติเหตุทางถนนที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต โดยประเด็นสำคัญคือผู้ตายมีส่วนประมาทเอง ทำให้ภริยาไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย จึงไม่มีสิทธิเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญา แต่ยังสามารถใช้สิทธิในทางแพ่งฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ ศาลฎีกาวินิจฉัยยืนยันหลักการเรื่องสิทธิฟ้องและสถานะโจทก์ร่วมในคดีอาญาและแพ่งไว้อย่างชัดเจน


ข้อเท็จจริงของคดี

จำเลยขับรถโดยประมาทจนเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ของผู้ตาย ทำให้เสียชีวิต

ภริยาผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญา และฟ้องเรียกค่าสินไหม 2,100,000 บาท

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกและปรับ พร้อมให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหม 495,000 บาท

ศาลอุทธรณ์แก้โทษเป็นรอการลงโทษ 2 ปี และยกคำร้องค่าสินไหม

2.คำวินิจฉัยของศาลฎีกา

ผู้ตายมีส่วนประมาท ฝ่าฝืนกฎหมายจราจร (มาตรา 46 (2)) จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย

ภริยาไม่มีสิทธิเข้าร่วมเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4), 5 (2), 30

ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ที่อนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์ ไม่ชอบ ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม มาตรา 195, 225

แต่ในคดีแพ่ง ภริยายังมีสิทธิเรียกค่าสินไหมตาม มาตรา 44/1 ป.วิ.อ.

ศาลฎีกาเห็นว่าผู้ตายมีส่วนประมาทเช่นกัน จึงยกคำร้องค่าสินไหม

3. ประเด็นทางกฎหมายและการวิเคราะห์

สถานะโจทก์ร่วมในคดีอาญา: เฉพาะผู้เสียหายโดยนิตินัยเท่านั้นที่มีสิทธิ หากผู้ตายมีส่วนประมาทเอง ทายาทไม่อาจฟ้องอาญาแทนได้

อำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเอง: แม้ไม่มีคู่ความฎีกา แต่หากเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาสามารถยกขึ้นเองได้

สิทธิเรียกค่าสินไหมในทางแพ่ง: แม้ไม่มีสิทธิในคดีอาญา แต่ยังมีสิทธิแพ่งตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1

ส่วนประมาท: หากผู้เสียชีวิตมีส่วนประมาท ย่อมกระทบต่อสิทธิในการเรียกค่าเสียหาย


IRAC Analysis

Issue (ประเด็นปัญหา):

ภริยาผู้ตายซึ่งผู้ตายมีส่วนประมาท จะมีสิทธิฟ้องเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญาและเรียกค่าสินไหมได้หรือไม่

Rule (กฎเกณฑ์กฎหมาย):

ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) กำหนดผู้เสียหายโดยนิตินัย

ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2), 30 สิทธิการเข้าร่วมเป็นโจทก์

ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 สิทธิเรียกค่าสินไหมในทางแพ่ง

ป.วิ.อ. มาตรา 195, 225 อำนาจศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเอง

Application (การประยุกต์ใช้):

เนื่องจากผู้ตายมีส่วนประมาท ฝ่าฝืนกฎหมายจราจร จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย

ภริยาไม่อาจเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญา แต่ยังสามารถใช้สิทธิทางแพ่งได้

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาพฤติการณ์พบว่าผู้ตายมีส่วนประมาทมาก ศาลจึงไม่ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหม

Conclusion (ข้อสรุป):

โจทก์ร่วมไม่อาจเป็นโจทก์ในคดีอาญาได้ แต่ยังมีสิทธิฟ้องแพ่ง อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกายกคำร้องค่าสินไหม เนื่องจากผู้ตายมีส่วนประมาท


สรุปข้อคิดทางกฎหมาย

1. สิทธิในการเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญาจำกัดเฉพาะผู้เสียหายโดยตรง

2. หากผู้ตายมีส่วนประมาท ทายาทไม่มีสิทธิฟ้องแทนในคดีอาญา

3. อย่างไรก็ดี ทายาทยังสามารถฟ้องแพ่งเพื่อเรียกค่าสินไหมได้

4. ศาลฎีกามีอำนาจยกข้อกฎหมายขึ้นวินิจฉัยเอง แม้คู่ความไม่ฎีกา


English Summary 

The Supreme Court Decision No. 324/2025 concerns a fatal traffic accident where the deceased was found partly negligent. The Court ruled that the widow had no standing as a joint plaintiff in the criminal case since the deceased was not a “legal victim.” However, she retained the right to claim civil damages under Section 44/1 of the Criminal Procedure Code. Ultimately, the Court dismissed the damages claim, holding both the defendant and the deceased equally negligent.


สรุปคำแปลภาษาอังกฤศ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 324/2568 เป็นคดีอุบัติเหตุจราจรซึ่งมีผู้เสียชีวิต โดยศาลเห็นว่าผู้ตายมีส่วนประมาทด้วย ศาลจึงวินิจฉัยว่าภริยาของผู้ตายไม่มีสิทธิที่จะเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญา เนื่องจากผู้ตายมิใช่ “ผู้เสียหายโดยนิตินัย” อย่างไรก็ดี ภริยายังคงมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในทางแพ่งได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 แต่ในที่สุดศาลมีคำพิพากษายกคำร้องดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าจำเลยและผู้ตายต่างมีส่วนประมาทเสมอกัน

 

15 คำศัพท์กฎหมายที่น่าสนใจ

1. fatal – ถึงแก่ความตาย, ร้ายแรง

2. traffic accident – อุบัติเหตุจราจร

3. deceased – ผู้ตาย

4. negligent – ประมาทเลินเล่อ

5. partly negligent – มีส่วนประมาท

6. The Court ruled – ศาลมีคำวินิจฉัย

7. widow – ภริยาหม้าย (คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่)

8. standing – ฐานะหรือสิทธิในการฟ้องคดี

9. joint plaintiff – โจทก์ร่วม

10. criminal case – คดีอาญา

11. legal victim – ผู้เสียหายโดยนิตินัย

12. civil damages – ค่าสินไหมทดแทนในทางแพ่ง

13. Section – มาตรา (ในกฎหมาย)

14. Criminal Procedure Code – ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

15. dismissed – ศาลยกคำร้อง / ไม่รับพิจารณา

ตัวอย่างการใช้คำศัพท์ในประโยค

1. fatal

The driver’s careless behavior caused a fatal mistake that ended someone’s life.

It was a small decision that had very big consequences.

Literal: พฤติกรรมที่ประมาทของผู้ขับทำให้เกิดความผิดพลาดถึงแก่ความตายที่คร่าชีวิตผู้อื่น

การตัดสินใจเล็กน้อยนั้นกลับก่อให้เกิดผลร้ายแรงใหญ่หลวง

Natural: คนขับขับรถพลาดแบบร้ายแรง จนทำให้มีคนตาย

แค่ตัดสินใจเล็ก ๆ แต่มันส่งผลใหญ่เลย


2. traffic accident

The police reported a serious traffic accident at the main intersection.

Everyone in the neighborhood heard the sound of the crash.

Literal: เจ้าหน้าที่ตำรวจรายงานว่าเกิดอุบัติเหตุจราจรร้ายแรงที่สี่แยกใหญ่

ทุกคนในละแวกนั้นได้ยินเสียงการชนดังขึ้น

Natural: ตำรวจบอกว่ามีอุบัติเหตุบนถนนตรงแยกใหญ่

คนแถวนั้นได้ยินเสียงชนกันดังสนั่น


3. deceased

The family of the deceased asked the court for justice.

They just wanted the truth to be recognized.

Literal: ครอบครัวของผู้ตายได้ร้องขอความยุติธรรมต่อศาล

พวกเขาเพียงต้องการให้ความจริงได้รับการยอมรับ

Natural: ครอบครัวของผู้เสียชีวิตไปขอความยุติธรรมที่ศาล

เขาอยากให้เรื่องจริงถูกยอมรับก็เท่านั้น


4. negligent

The judge found the defendant negligent for not slowing down at the crossing.

Many accidents happen because drivers don’t pay enough attention.

Literal: ศาลเห็นว่าจำเลยมีความประมาทเลินเล่อที่ไม่ชะลอความเร็วเมื่อถึงทางข้าม

อุบัติเหตุจำนวนมากเกิดจากการที่ผู้ขับขี่ไม่ใช้ความระมัดระวังเพียงพอ

Natural: ศาลบอกว่าจำเลยประมาทเพราะไม่ยอมชะลอรถตรงทางข้าม

หลายครั้งอุบัติเหตุก็เกิดเพราะคนขับไม่ระวังนั่นแหละ


5. partly negligent

The Court decided the deceased was partly negligent in the accident.

It meant that both sides shared responsibility.

Literal: ศาลวินิจฉัยว่าผู้ตายมีส่วนประมาทในการเกิดอุบัติเหตุ

ซึ่งหมายความว่าทั้งสองฝ่ายต้องร่วมกันรับผิดชอบ

Natural: ศาลบอกว่าผู้เสียชีวิตก็มีส่วนผิดเหมือนกัน

ก็คือทั้งสองฝ่ายต่างก็มีส่วนผิดนั่นแหละ


6. The Court ruled

The Court ruled that the widow could not join as a plaintiff in the criminal case.

It was a strict interpretation of the law.

Literal: ศาลมีคำวินิจฉัยว่าภริยาหม้ายไม่อาจเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญาได้

ซึ่งเป็นการตีความตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

Natural: ศาลตัดสินว่าภรรยาที่เหลืออยู่ฟ้องร่วมไม่ได้

ถือว่าใช้กฎหมายแบบเข้มงวดจริง ๆ


7. widow

The widow filed a petition asking for compensation after her husband’s death.

She was left to take care of her children alone.

Literal: ภริยาหม้ายได้ยื่นคำร้องขอให้ชดใช้ค่าเสียหายหลังการเสียชีวิตของสามี

เธอถูกทิ้งไว้ให้เลี้ยงดูบุตรตามลำพัง

Natural: ภรรยาที่สามีเสียชีวิตไปแล้วก็ยื่นขอค่าเสียหาย

เธอต้องเลี้ยงลูกเองคนเดียว


8. standing

The lawyer argued that his client had no legal standing to sue.

It was not her direct right under the law.

Literal: ทนายความโต้แย้งว่าลูกความของตนไม่มีฐานะทางกฎหมายที่จะฟ้องร้องได้

เนื่องจากมิใช่สิทธิของเธอตามกฎหมายโดยตรง

Natural: ทนายบอกว่าลูกความไม่มีสิทธิ์ฟ้อง

เพราะกฎหมายไม่ได้ให้สิทธิ์เธอตรง ๆ


9. joint plaintiff

She tried to act as a joint plaintiff with the prosecutor in the trial.

But the judge said the law did not allow it.

Literal: เธอพยายามเข้าร่วมเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการในการพิจารณาคดี

แต่ศาลกล่าวว่ากฎหมายไม่อนุญาตให้ทำได้

Natural: เธออยากฟ้องร่วมกับอัยการ

แต่ศาลบอกว่ากฎหมายไม่เปิดโอกาสแบบนั้น


10. criminal case

The matter was handled as a criminal case because it involved loss of life.

The whole community was waiting for the verdict.

Literal: เรื่องนี้ถูกดำเนินการในฐานะคดีอาญาเนื่องจากเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิต

ชุมชนทั้งหมดต่างเฝ้ารอคำพิพากษา

Natural: เรื่องนี้กลายเป็นคดีอาญาเพราะมีคนตาย

ทั้งหมู่บ้านก็มารอลุ้นคำตัดสิน


11. legal victim

The deceased was not considered a legal victim under the law.

This point completely changed the direction of the case.

Literal: ผู้ตายไม่ถูกนับว่าเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยตามกฎหมาย

ประเด็นนี้ได้เปลี่ยนทิศทางของคดีไปโดยสิ้นเชิง

Natural: ศาลไม่ถือว่าผู้ตายเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย

ตรงนี้แหละที่ทำให้คดีเปลี่ยนทิศไปเลย


12. civil damages

The widow asked the court to order civil damages for her loss.

She believed money could help her family survive.

Literal: ภริยาหม้ายร้องขอให้ศาลบังคับชำระค่าสินไหมทดแทนในทางแพ่งสำหรับความสูญเสีย

เธอเชื่อว่าเงินดังกล่าวจะช่วยให้ครอบครัวอยู่รอดได้

Natural: ภรรยาขอให้ศาลสั่งชดใช้ค่าเสียหาย

เธอคิดว่าเงินนี้จะช่วยให้ครอบครัวผ่านไปได้


13. Section

The lawyer referred to Section 44/1 of the Criminal Procedure Code.

That section clearly explained the rights of the victim.

Literal: ทนายความได้อ้างอิงมาตรา 44/1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

ซึ่งมาตราดังกล่าวได้อธิบายสิทธิของผู้เสียหายไว้อย่างชัดเจน

Natural: ทนายยกมาตรา 44/1 มาอ้าง

เพราะมาตรานั้นเขียนชัดว่าผู้เสียหายมีสิทธิอะไรบ้าง


14. Criminal Procedure Code

The Court based its reasoning on the Criminal Procedure Code.

This code sets out how criminal cases must be handled.

Literal: ศาลอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเป็นเหตุผลประกอบการวินิจฉัย

ประมวลกฎหมายฉบับนี้กำหนดวิธีการดำเนินคดีอาญาไว้

Natural: ศาลอ้างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

ซึ่งเป็นกฎหมายที่บอกวิธีจัดการคดีอาญา


15. dismissed

The Court dismissed the widow’s claim for damages.

She walked away feeling disappointed but not surprised.

Literal: ศาลได้ยกคำร้องของภริยาหม้ายที่ขอค่าเสียหาย

เธอเดินออกไปด้วยความผิดหวังแต่ก็มิได้รู้สึกแปลกใจ

Natural: ศาลไม่รับคำขอค่าเสียหายของภรรยา

เธอเดินออกจากศาลด้วยความผิดหวังแต่ก็พอจะเดาได้อยู่แล้ว


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 324/2568 ประเด็นสำคัญและกฎหมายที่ศาลใช้วินิจฉัยสามารถสรุปได้ดังนี้ กฎหมายที่ใช้เป็นหลักในการวินิจฉัย 1.ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) – นิยาม “ผู้เสียหายโดยนิตินัย” 2.ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) – สิทธิของผู้เสียหายที่จะจัดการแทนตนเอง 3.ป.วิ.อ. มาตรา 30 – สิทธิของผู้เสียหายในการเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญา 4.ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 – สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในทางแพ่ง 5.ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบ มาตรา 225 – อำนาจศาลฎีกายกข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยขึ้นวินิจฉัยเอง

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 324/2568

เมื่อผู้ตายมีส่วนประมาท มิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยสำหรับความผิดข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) โจทก์ร่วมจึงไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตาย และไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) และมาตรา 30 การที่ศาลล่างทั้งสองไม่ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของโจทก์ร่วมจึงไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ดังนี้เมื่อโจทก์ร่วมไม่ใช่คู่ความในคดีอาญาจึงใช้สิทธิยื่นฎีกาไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาในส่วนคดีอาญาของโจทก์ร่วม


ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า แม้คดีส่วนอาญาโจทก์ร่วมไม่อาจใช้สิทธิได้เพราะไม่ใช่คู่ความในคดีอาญา แต่เมื่อโจทก์ร่วมยื่นฎีกาและยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง การที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมฎีกาในคดีส่วนอาญาสำหรับปัญหาข้อเท็จจริง และมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นการสั่งแทนศาลฎีกา และศาลฎีกามีคำวินิจฉัยและคำสั่งในคดีส่วนอาญาแล้ว กรณีจึงถือว่าคดีส่วนอาญาขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งได้

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 43, 78, 157, 160

จำเลยให้การรับสารภาพ


ระหว่างพิจารณา นางนิตยา ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายจรัส ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ส่วนข้อหาขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน และข้อหาขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแต่ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควรและไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อตำรวจ โจทก์ร่วมไม่เป็นผู้เสียหาย จึงไม่อนุญาต และโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 2,100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม

จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง


ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (4), 78 วรรคหนึ่ง, 157, 160 วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน และฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี ฐานขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหาย แต่ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควรและไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อตำรวจปรับ 4,000 บาท รวมจำคุก 2 ปี และปรับ 4,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี และปรับ 2,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 495,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ

จำเลยอุทธรณ์


ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแต่ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควรและไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อตำรวจ จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78, 160 วรรคแรก (ที่ถูก มาตรา 78 วรรคหนึ่ง, 160 วรรคหนึ่ง (เดิม)) ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 2 ปี และปรับ 10,000 บาท ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 1 ปี และปรับ 5,000 บาท เมื่อรวมกับโทษฐานขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแต่ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควรและไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อตำรวจ เป็นจำคุก 1 ปี และปรับ 7,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และคุมประพฤติของจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ให้จำเลยฟัง โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 เดือนต่อครั้ง ภายในเวลาที่รอการลงโทษ ให้กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรมีกำหนด 12 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกคำร้องของโจทก์ร่วมที่ขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ร่วมฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง


ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมในประการแรกว่า สมควรลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยขับรถกระบะในช่องเดินรถที่ 2 ด้วยความเร็วสูงเกินสมควรและไม่ชะลอความเร็วของรถให้ช้าลงเมื่อขับรถไปถึงทางร่วมทางแยก ในขณะเดียวกันผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ในช่องเดินรถที่ 1 มุ่งหน้าไปทิศทางเดียวกัน เมื่อถึงทางร่วมทางแยกมีรถกระบะขับเลี้ยวเข้าถนนสายนาทับ ผู้ตายจึงขับรถจักรยานยนต์แซงรถกระบะคันดังกล่าว แสดงว่าผู้ตายไม่ได้ชะลอความเร็วของรถให้ช้าลงเมื่อขับรถไปถึงทางร่วมทางแยก แต่กลับเร่งความเร็วเพื่อจะแซงในขณะที่รถกระบะจะเลี้ยวซ้ายไปทางถนนสายนาทับ ซึ่งการขับรถแซงในลักษณะดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 46 (2) อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะเกิดเหตุ ที่ห้ามมิให้ผู้ขับขี่รถแซงเพื่อขึ้นหน้ารถอื่นภายในระยะสามสิบเมตรก่อนถึงทางร่วมทางแยก จนเป็นเหตุให้รถทั้งสองคันเกิดการเฉี่ยวชนกันและผู้ตายถึงแก่ความตาย ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นที่เห็นได้ว่าเกิดจากความประมาทของทั้งสองฝ่าย และเมื่อรับฟังประกอบกับที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าผู้ตายมีส่วนประมาทอยู่ด้วย โดยโจทก์ร่วมมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านให้เห็นเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงจึงรับฟังเป็นยุติว่าผู้ตายมีส่วนประมาทจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยสำหรับความผิดข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) ภริยาผู้ตายย่อมไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (2) และไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 30 ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นางนิตยาเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ และที่ศาลล่างทั้งสองไม่พิพากษายกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของนางนิตยาจึงไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และเมื่อวินิจฉัยดังกล่าวแล้ว นางนิตยาจึงไม่ใช่คู่ความในคดีส่วนอาญาและไม่อาจใช้สิทธิยื่นฎีกาได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย


ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมในคดีส่วนแพ่งประการต่อไปมีว่า จำเลยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วมหรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ปัญหาข้อนี้แม้คดีส่วนอาญาโจทก์ร่วมไม่อาจใช้สิทธิฎีกาได้เพราะมิใช่คู่ความตามที่วินิจฉัยไปแล้ว แต่คดีนี้เมื่อโจทก์ร่วมยื่นฎีกาและยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในส่วนคดีอาญา และมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นการสั่งแทนศาลฎีกาและศาลฎีกามีคำวินิจฉัยและคำสั่งในคดีส่วนอาญาแล้ว กรณีจึงถือว่าคดีส่วนอาญาขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งโดยเห็นว่า แม้ผู้ตายไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย แต่โจทก์ร่วมซึ่งเป็นภริยาของผู้ตายเป็นผู้เสียหายในทางแพ่งยังคงมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยโดยเห็นว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยและผู้ตายขับรถมาในทิศทางเดียวกันตามถนนสายสงขลา-นาทวี หากจำเลยและผู้ตายต่างฝ่ายต่างใช้ความระมัดระวังและรักษาช่องเดินรถของตน เพื่อให้รถที่สัญจรในช่องเดินรถอื่นแล่นขนานผ่านไปได้แล้ว คงจะไม่เกิดเหตุเฉี่ยวชนกันดังกล่าว แม้คดีนี้จำเลยถูกฟ้องในความผิดข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ข้อหาขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน กับข้อหาขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแต่ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควรและไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อตำรวจ และศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว จึงฟังได้ว่าจำเลยขับรถโดยประมาท แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของจำเลยว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยขับรถกระบะแล่นไปตามช่องเดินรถที่ 2 จากด้านซ้ายเป็นระยะทางประมาณ 3 ถึง 5 กิโลเมตร เมื่อรถแล่นใกล้จะถึงที่เกิดเหตุจำเลยเห็นรถกระบะแล่นอยู่ในช่องเดินรถที่ 1 จากด้านซ้าย โดยมีรถจักรยานยนต์ของผู้ตายแล่นตามหลังห่างกันประมาณ 5 เมตร เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุจำเลยไม่เห็นรถจักรยานยนต์ของผู้ตาย แต่มารู้อีกทีเมื่อมีแรงกระแทกทางด้านซ้ายรถกระบะของจำเลย ขณะนั้นรถกระบะของจำเลยยังคงแล่นอยู่ในช่องเดินรถที่ 2 จากด้านซ้าย ซึ่งคำเบิกความของจำเลยดังกล่าวสอดรับกับภาพจากกล้องวงจรปิด แสดงว่าผู้ตายไม่ได้ขับรถจักรยานยนต์ชิดด้านซ้ายของช่องเดินรถที่ 2 มาแต่แรก โดยเพิ่งจะมาเปลี่ยนช่องเดินรถ เพื่อจะแซงในขณะที่รถกระบะจะเลี้ยวซ้ายไปทางถนนสายนาทับ ซึ่งการขับรถแซงในลักษณะดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 46 (2) อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะเกิดเหตุที่ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถแซงเพื่อขึ้นหน้ารถอื่นภายในระยะสามสิบเมตรก่อนถึงทางร่วมทางแยก ทั้งในบริเวณที่เกิดเหตุยังมีสัญญาณจราจรไฟกระพริบสีเหลืองอำพันติดตั้งอยู่ก่อนถึงทางร่วมทางแยก ผู้ตายจึงต้องลดความเร็วของรถลงและผ่านทางเดินรถนั้นไปด้วยความระมัดระวัง แต่ผู้ตายกลับเร่งความเร็วของรถเพื่อขับแซงรถกระบะ โดยมิได้ระมัดระวังไม่ให้การขับรถแซงดังกล่าวไปกีดขวางรถอื่นจนเกิดอันตราย ทั้งเมื่อพิจารณาภาพจากกล้องวงจรปิดจะเห็นได้ว่าด้านขวาของรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับเฉี่ยวชนกับด้านซ้ายของรถกระบะที่จำเลยขับในขณะที่ผู้ตายเปลี่ยนช่องเดินรถเข้าไปในช่องเดินรถที่ 2 ในเวลาเดียวกันกับที่จำเลยขับรถกระบะด้วยความเร็วสูงในช่องเดินรถดังกล่าว ซึ่งจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกสมภพ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรควนมีด พยานจำเลยยืนยันว่าการชนในลักษณะดังกล่าว สาเหตุเกิดจากความประมาทของจำเลยและผู้ตาย จึงแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ตายด้วยเนื่องจากบริเวณที่เกิดเหตุเป็นทางร่วมทางแยกควรลดความเร็วของรถลงเพื่อให้รถคันหน้าเลี้ยวซ้ายไปก่อน ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าเหตุคดีนี้เกิดจากความประมาทของจำเลยและผู้ตายไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกคำร้องของโจทก์ร่วมมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ร่วมในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่โจทก์ร่วมฎีกาว่า ผู้ตายไม่ได้มีส่วนประมาทนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ตายมีส่วนประมาทยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ร่วมจะโต้เถียงในชั้นฎีกาว่าผู้ตายไม่ได้ประมาทหาได้ไม่ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 9 ฎีกาในข้อดังกล่าวของโจทก์ร่วมจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์และยกฎีกาในคดีส่วนอาญาของนางนิตยา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งชั้นฎีกาให้เป็นพับ



•สถานะโจทก์ร่วมในคดีอาญา: เฉพาะผู้เสียหายโดยนิตินัยเท่านั้นที่มีสิทธิ หากผู้ตายมีส่วนประมาทเอง ทายาทไม่อาจฟ้องอาญาแทนได้ •อำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเอง: แม้ไม่มีคู่ความฎีกา แต่หากเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาสามารถยกขึ้นเองได้ •สิทธิเรียกค่าสินไหมในทางแพ่ง: แม้ไม่มีสิทธิในคดีอาญา แต่ยังมีสิทธิแพ่งตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 •ส่วนประมาท: หากผู้เสียชีวิตมีส่วนประมาท ย่อมกระทบต่อสิทธิในการเรียกค่าเสียหาย 



เกี่ยวกับวิธีพิจารณาความอาญา

ยอมความคดีแพ่งไม่ทำให้คดีอาญาระงับ,ป.วิ.อ. ม.39(2), (ฎีกา 3681/2568)
คดีองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ & โรแมนซ์สแกม (ฎีกา 1207/2567)
สิทธิคดีอาญาระงับ, สิทธิคดีแพ่งหลังจำเลยถึงแก่ความตาย (ฎีกา 2232/2567)
ฟ้องต่างข้อเท็จจริงสาระสำคัญ ยกฟ้องจำเลยฐานยักยอก,ป.วิ.อ. มาตรา 158, (ฎีกา 2427/2567)
คดีอั้งยี่ & สมคบก่อการร้าย (พยานหลักฐาน)-ฎีกา 6820/2567
คดีอั้งยี่ & สมคบก่อการร้าย (พยานหลักฐาน)ป.วิ.อ. มาตรา 84 (ฎีกา 6820/2567)
(ฎีกาที่ 3462/2567): อำนาจฟ้องของพนักงานอัยการในคดีทุจริตและฟอกเงิน
(ฎีกาที่ 3672/2567): การทำร้ายร่างกายและการตีความการเพิ่มโทษในชั้นอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4136/2567: คดีฆ่าผู้อื่นโดยใช้อาวุธปืน และประเด็นความชอบด้วยกฎหมายในคดีส่วนแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4149/2567 การลักทรัพย์นายจ้างหลายกรรม และการวินิจฉัยความชอบด้วยกฎหมายของฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4317/2567: คดีลักทรัพย์-ขาดเจตนาทุจริต แต่ยังมีหน้าที่คืนทรัพย์หรือใช้ราคาแทน
ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา – ความน่าเชื่อถือของประจักษ์พยานกับบทบาทของพนักงานสอบสวน(ฎีกาที่ 8082/2567)
อำนาจฟ้องในคดีอาญาเมื่อสอบสวนโดยตำรวจผิดพื้นที่: วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 345/2568
การถอนฟ้องคดีอาญาแผ่นดิน, ความผิดฐานฟ้องเท็จ, มูลหนี้ขัดต่อความสงบเรียบร้อย
โจทก์ร่วมในคดีอาญา, การใช้สิทธิผู้เสียหายแทนโจทก์ร่วมเดิม, การสืบสิทธิในคดีอาญา,
แก้ไขฟ้องคดีอาญา ป.วิ.อ. มาตรา 163, อำนาจพนักงานอัยการในคดีทุจริต, บทบาทอัยการสูงสุดตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการ(ฎีกา5234/2566) article
ศาลลงโทษปรับต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด, อุทธรณ์คำพิพากษา, ขอให้เพิ่มโทษ,
อำนาจฟ้อง, คู่ความในคดี, ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย,
การพิจารณาคดีไต่สวนมูลฟ้อง, คำสั่งศาลที่เด็ดขาด,
ถ้อยคำรับสารภาพว่าตนได้กระทำความผิดห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน
อำนาจพนักงานสอบสวน & ฎีกาต้องห้ามข้อเท็จจริงคดีอาวุธปืน (ฎีกา 1016/2567)
บันดาลโทสะลดโทษคดีทำร้ายร่างกาย & อำนาจศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัย (ฎีกา 1109/2567)
ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอค่าสินไหมทดแทนตาม มาตรา 44/1
ฎีกาขอให้ลดมาตราส่วนโทษเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม
แก้ไขโทษของความผิดถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อยห้ามฎีกา
ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
อำนาจสอบสวนของกองปราบปราม
คำให้การชั้นสอบสวนแทนการสืบพยานในชั้นพิจารณา
ลดมาตราส่วนโทษในความผิดต้องห้ามฎีกา
ฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิด
คำรับสารภาพมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน
อำนาจฟ้องในข้อหาความผิดตามมาตรา 157
พยานหลักฐานชนิดที่เกิดขึ้นโดยไม่ชอบ
การกระทำหลายอย่างแต่ละอย่างเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง
ฟ้องร้องคดีในลักษณะสมยอมสิทธินำคดีอาญามาฟ้องไม่ระงับ
ผู้เสียหายไม่มาเบิกความเป็นพยานในศาล
ผู้แทนโดยชอบธรรมมีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้เสียหาย(บุตร)
ความรับผิดในทางแพ่ง-ผู้เสียหายโดยนิตินัย
การบรรยายฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิด
กรณีไม่ปรากฏลายมือชื่อผู้เรียง-พิมพ์คำฟ้องโจทก์
คดีราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญายื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายค้นได้
ศาลชั้นต้นยกอายุความมายกคำร้อง ม.44/1 ไม่ชอบ
ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา | เรียกค่าเสียหาย
นายแพทย์กระทำอนาจารคนไข้อายุกว่า 15 ปี จำคุก 3 ปี ปรับ 20,000 บาท
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลกำหนดโทษใหม่แทนการยื่นอุทธรณ์
ผู้ต้องหายื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายจับ ยกคำร้อง ผู้ต้องหาอุทธรณ์
โจทก์ขอให้ลงโทษตามกฎหมายเดิมซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว
หลอกลวงผู้เสียหายให้ขายดาวน์รถยนต์
ผู้เช่าซื้อมีอำนาจแจ้งความดำเนินคดีฐานยักยอกได้
ไม่มีเจตนาเล่นการพนันด้วยจึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย
บุคคลล้มละลายมีอำนาจฟ้องคดีอาญา
พนักงานสอบสวนมิได้ขอฝากขังต่อศาลภายในกำหนด
ไม่ได้บรรยายฟ้องว่ากระทำโดยพลาด
ฟ้องคดีสมยอมสิทธิฟ้องคดีอาญาไม่ระงับ
ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
แก้ไขคำพิพากษาที่อ่านแล้ว
จำคุกไม่เกิน5ปีห้ามคู่ความฎีกาข้อเท็จจริง
ความผิดตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์
จำเลยให้การรับสารภาพแต่ศาลอุทธรณ์ศาลฎีกายกฟ้อง
ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาห้ามอุทธรณ์
การกระทำอันเป็นความผิดรวมอยู่ในฟ้อง
ฟ้องที่บรรยายไม่ครบองค์ประกอบของความผิด
พิพากษาถึงข้อเท็จจริงที่มิได้กล่าวในฟ้อง
เพื่อการอนาจารเป็นเจตนาพิเศษ | การบรรยายฟ้อง
ของกลางที่พนักงานสอบสวนยึดไว้ | คดีถึงที่สุด
ไม่สามารถนำผู้เสียหายมาเบิกความต่อศาล
ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่า
คำสั่งเกี่ยวกับการปล่อยตัวชั่วคราวห้ามอุทธรณ์
มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา
อำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่มิได้อุทธรณ์-ฎีกา
ฎีกาไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์-ฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ฟ้องที่ขาดข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด
สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป
คดีขาดอายุความจึงชอบที่ศาลจะยกฟ้อง
คดีถึงที่สุดเมื่อครบกำหนดยื่นฎีกา
การพิจารณาคดีลับหลังจำเลย
ต้องห้ามฎีกาเพราะไม่ได้อุทธรณ์ไว้
ขออนุญาตฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
แก้ไขเล็กน้อย-จำคุกไม่เกินห้าปีห้ามฎีกา
กรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
เป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม
โจทก์ฟ้องผิดวันจำเลยหลงต่อสู้
โต้แย้งดุลพิจนิจในการรับฟังพยานหลักฐาน