
| สิทธิของเจ้าหนี้ตาม ป.พ.พ. ม.1300 (ฎีกา 674/2566)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ คดีนี้เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทการบังคับคดีในที่ดินโฉนดหนึ่ง ซึ่งคู่ความหลายฝ่ายอ้างสิทธิ์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคนละคดี ผู้ร้องอ้างสิทธิว่าเป็นเจ้าหนี้ที่มีสิทธิบังคับให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ตนตามคำพิพากษา แต่ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์เห็นว่าการโอนตกเป็นพ้นวิสัย จึงจำกัดสิทธิผู้ร้องให้เพียงรับคืนมัดจำและค่าเสียหาย พร้อมดอกเบี้ย ภายหลังมีคำพิพากษาอีกคดีหนึ่งกำหนดให้ชำระหนี้แก่บุคคลอื่นที่เกี่ยวกับที่ดินเดียวกัน ทำให้เกิดปัญหาว่าคำพิพากษาของศาลต่างชั้นขัดกันหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการบังคับหนี้ในสองคดีสามารถแยกออกจากกันได้ จึงไม่เป็นคำพิพากษาขัดกันตามกฎหมาย อีกทั้งย้ำว่าผู้ร้องแม้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา แต่เมื่อศาลมีคำสั่งถึงที่สุดว่าการโอนกรรมสิทธิ์ตกเป็นพ้นวิสัยแล้ว ผู้ร้องต้องผูกพัน ไม่อาจเรียกสิทธิในที่ดินได้อีก หลักที่สำคัญในคดีนี้คือการตีความมาตรา 1300 ที่รับรองสิทธิของเจ้าหนี้ในฐานะทรัพยสิทธิยกยันบุคคลทั่วไปได้ แต่ต้องปฏิบัติตามข้อจำกัดของมาตรา 145 และ 146 ว่าด้วยการพ้นวิสัยและการขัดกันของคำพิพากษา (อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับเต็ม) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 674/2566 ประเด็นสำคัญที่สุดที่ศาลใช้กฎหมายมาอธิบายและชี้ขาดคดีนี้ มี 3 มาตรา หลักที่เป็นแก่นของคดี ได้แก่ • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 – ว่าด้วย ทรัพยสิทธิอันใช้ยันบุคคลทั่วไปได้ • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 – กรณีการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 146 – การขัดกันของคำพิพากษาศาลต่างชั้นที่เกี่ยวกับหนี้ซึ่งแบ่งแยกไม่ได้
Key Words สำคัญ 5 ประเด็น 1. ทรัพยสิทธิ (ป.พ.พ. ม.1300) o ผู้ร้องมีสิทธิในฐานะเจ้าหนี้ที่ได้รับการรับรองตามคำพิพากษา สิทธินี้เป็น ทรัพยสิทธิ ที่สามารถยกขึ้นยันได้ต่อทุกคน ไม่เว้นแม้แต่โจทก์หรือจำเลยในคดีใหม่ o ศาลจึงรับรองสิทธิของผู้ร้องว่ามีฐานะเหนือบุคคลภายนอก 2. พ้นวิสัย (ป.วิ.พ. ม.145) o การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยแล้วตามคำสั่งศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ o เมื่อคดีถึงที่สุด ผู้ร้องต้องยอมรับผล ไม่สามารถเรียกให้โอนที่ดินได้อีก 3. คำพิพากษาขัดกัน (ป.วิ.พ. ม.146) o โจทก์อ้างว่าคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4566/2562 ขัดกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ 4617–4618/2560 o ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การบังคับหนี้สามารถแยกออกจากกันได้ ไม่ใช่หนี้ที่แบ่งแยกไม่ได้ จึงไม่เป็นคำพิพากษาขัดกันตามมาตรา 146 4. สิทธิของเจ้าหนี้ o ศาลชี้ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18548/2557 มีสิทธิที่จะบังคับคดีในฐานะผู้มีสิทธิมาก่อนบุคคลอื่น o หลักการนี้สะท้อนถึงการคุ้มครองเจ้าหนี้ในทางแพ่ง 5. หลักความสุจริตในการบังคับคดี o ศาลสังเกตว่าโจทก์พยายามยึดที่ดินทั้งที่หนี้สามารถชำระในรูปแบบอื่นได้ และราคาที่ดินสูงกว่าหนี้มาก o การใช้สิทธิของโจทก์จึงถูกตั้งข้อสงสัยเรื่อง “สุจริตหรือไม่” และศาลให้ความสำคัญกับการใช้สิทธิอย่างสุจริตตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
สรุปแล้ว คดีนี้ชี้ให้เห็นถึง ความสมดุลระหว่างสิทธิของเจ้าหนี้ (มาตรา 1300) กับข้อจำกัดด้านการบังคับคดี (มาตรา 145–146) และยังสะท้อนให้เห็นถึงหลักการสำคัญเรื่อง การใช้สิทธิโดยสุจริต ของคู่ความในกระบวนการยุติธรรม หลักกฎหมาย 1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 – ทรัพยสิทธิอันใช้ยันบุคคลทั่วไปได้ หลักการ: มาตรา 1300 บัญญัติว่า “ทรัพยสิทธิย่อมใช้ยันบุคคลภายนอกได้” หมายความว่า เมื่อบุคคลใดมีสิทธิในทรัพย์ เช่น สิทธิครอบครอง สิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษาให้โอนกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิอื่นที่กฎหมายรับรองว่าเป็นทรัพยสิทธิ สิทธินั้นสามารถอ้างยันบุคคลทั่วไปได้ ไม่จำกัดเฉพาะคู่สัญญา ความสำคัญ: • เป็นหลักในการคุ้มครองผู้มีสิทธิในทรัพย์ให้เหนือกว่าบุคคลทั่วไป • เจ้าหนี้ที่ได้รับคำพิพากษาให้โอนกรรมสิทธิ์ย่อมมีสถานะเป็นผู้มีทรัพยสิทธิซึ่งสามารถยกขึ้นอ้างยันบุคคลอื่นได้ ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา: • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2371/2552: ศาลวินิจฉัยว่า สิทธิครอบครองที่ดินโดยมีเจตนาจะเป็นเจ้าของและปรากฏชัดเจน ถือเป็นสิทธิที่ใช้ยันบุคคลทั่วไปได้ แม้บุคคลอื่นจะเข้ามาอ้างสิทธิในที่ดินก็ไม่อาจลบล้างสิทธิครอบครองดังกล่าวได้
2. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 – การชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย หลักการ: มาตรา 145 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า หากการชำระหนี้ที่ศาลพิพากษาให้กระทำ “ตกเป็นพ้นวิสัย” (เช่น ไม่สามารถโอนทรัพย์ได้แล้ว) ศาลจะให้คู่ความดำเนินการตามลำดับถัดไปที่คำพิพากษากำหนด เช่น คืนเงินมัดจำหรือชดใช้ค่าเสียหายแทน ความสำคัญ: • เป็นการรับรองว่า หากวิธีการชำระหนี้ตามคำพิพากษาไม่อาจกระทำได้จริง ให้ถือว่าสิ้นสิทธิเฉพาะส่วนนั้น และดำเนินการตามทางเลือกอื่นที่กำหนดไว้ในคำพิพากษา • ป้องกันมิให้คู่ความบังคับคดีซ้ำในสิ่งที่ศาลตัดสินแล้วว่า “ทำไม่ได้” ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา: • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3942/2549: ศาลวินิจฉัยว่า เมื่อการบังคับคดีโดยการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตกเป็นพ้นวิสัยเพราะไม่สามารถโอนได้ คู่ความต้องดำเนินการตามคำพิพากษาในลำดับถัดไปคือการคืนเงินและชำระค่าเสียหายแทน
3. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 146 – การขัดกันของคำพิพากษาศาลต่างชั้น หลักการ: มาตรา 146 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า ถ้ามี “คำพิพากษาที่ถึงที่สุดของศาลต่างชั้น” เกี่ยวกับหนี้ที่ “แบ่งแยกจากกันไม่ได้” และผลของคำพิพากษาสองคดีขัดแย้งกัน ต้องถือตามคำพิพากษาของศาลชั้นสูงกว่า ความสำคัญ: • เป็นหลักป้องกันไม่ให้เกิดภาวะ “บังคับคดีไม่ได้” เพราะมีคำพิพากษาสองศาลที่สั่งให้ทำในสิ่งตรงข้ามกัน • ใช้ได้เฉพาะหนี้ที่ “แบ่งแยกไม่ได้” เช่น ที่ดินแปลงเดียวที่ไม่อาจแยกบังคับสองทางพร้อมกัน ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา: • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7396/2555: ศาลวินิจฉัยว่ากรณีที่มีคำพิพากษาสองศาลต่างชั้นเกี่ยวกับหนี้ซึ่งแบ่งแยกไม่ได้และมีผลขัดกัน ต้องถือตามคำพิพากษาของศาลชั้นสูงกว่า ตามมาตรา 146 ✅ สรุป: • มาตรา 1300 เน้นการคุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้ในฐานะทรัพยสิทธิ • มาตรา 145 กำหนดแนวทางเมื่อการชำระหนี้ตามคำพิพากษาตกเป็นพ้นวิสัย
• มาตรา 146 ใช้แก้ปัญหาคำพิพากษาขัดกันระหว่างศาลต่างชั้น กรณีหนี้ที่แบ่งแยกไม่ได้ |




.jpg)