
| การตีความกฎหมายอาญาเรื่องโทษจำคุก (ฎีกาที่ 4943/2567)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ คดีนี้เกี่ยวกับความผิดฐานพรากและโทรมเด็กหญิงอายุเพียง 11 ปี โดยจำเลยและพวกได้ร่วมกันกักขัง ข่มขืน และผลัดเปลี่ยนกันกระทำชำเรา ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษหนักถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิต และกำหนดโทษจำคุกจำเลยที่ 1 หลายกรรมรวมกันกว่า 37 ปี 4 เดือน พร้อมชดใช้ค่าสินไหมให้ผู้เสียหาย ต่อมา ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่ปัญหาสำคัญเกิดขึ้นเมื่อการนับโทษในหลายคดีรวมกันเกินกว่า 50 ปี ทั้งที่กฎหมายอาญากำหนดชัดว่าโทษจำคุกเมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 50 ปี เว้นแต่ลงโทษตลอดชีวิต ศาลฎีกาจึงแก้ไขคำพิพากษา แม้ไม่มีคู่ความยกขึ้นอ้าง เพราะเป็นเรื่องความสงบเรียบร้อยของประชาชน โดยอาศัยมาตรา 195 และมาตรา 225 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ยืนยันหลักการจำกัดโทษสูงสุดไว้ที่ 50 ปี สะท้อนให้เห็นว่าแม้จะเป็นความผิดร้ายแรงเพียงใด ศาลก็ต้องยึดถือหลักการตีความกฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลและรักษาหลักนิติธรรม(อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับเต็ม)
📌 กฎหมายมาตราหลักที่ใช้ • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) เป็นหัวใจสำคัญของคดีนี้ ใช้อธิบายการนับโทษจำคุกหลายกรรมรวมกัน ต้องไม่เกิน 50 ปี เว้นแต่กรณีศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิต • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง และมาตรา 225 ให้อำนาจศาลฎีกาหยิบยกข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยขึ้นวินิจฉัยเองได้ แม้คู่ความไม่ได้อ้าง
🔑 Keywords สำคัญ (5 ข้อความ) 1. คดีโทรมเด็กหญิง (Gang Rape of Minor) – แก่นของคดีคือการกระทำร้ายแรงต่อเด็กหญิงอายุเพียง 11 ปี ทั้งการกักขัง พรากผู้เยาว์ และผลัดเปลี่ยนกันข่มขืน – ศาลชั้นต้นลงโทษสูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิต 2. การนับโทษจำคุกหลายกรรม (Consecutive Sentences) – ประเด็นสำคัญคือเมื่อนับโทษจากหลายคดีรวมกันเกิน 50 ปี ซึ่งขัดต่อมาตรา 91(3) – ศาลฎีกาจึงแก้ไขให้โทษรวมต้องไม่เกิน 50 ปี 3. ความสงบเรียบร้อยของประชาชน (Public Order Principle) – แม้คู่ความไม่ยกข้อกฎหมายนี้ขึ้น ศาลฎีกาก็สามารถวินิจฉัยเองได้ – เพราะเป็นหลักที่เกี่ยวพันกับความสงบเรียบร้อยและนิติรัฐ 4. สิทธิและความเป็นธรรมในการลงโทษ (Fair Sentencing) – แม้ความผิดร้ายแรง แต่กฎหมายต้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน – ไม่ให้โทษจำคุกเกินขอบเขตที่กฎหมายกำหนด 5. แนวทางตีความกฎหมายอาญา (Interpretation of Penal Code) – ศาลยืนยันหลักการตีความมาตรา 91(3) อย่างเคร่งครัด – สะท้อนเจตนารมณ์ของกฎหมายในการจำกัดโทษสูงสุด
👉 กล่าวโดยสรุป คดีนี้ แก่นหลักอยู่ที่การตีความและบังคับใช้มาตรา 91(3) ของประมวลกฎหมายอาญา เกี่ยวกับการนับโทษจำคุกหลายกรรม รวมทั้งหลักความสงบเรียบร้อยที่ศาลหยิบยกขึ้นเอง เพื่อให้การลงโทษเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
⚖️ หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 1. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) • เนื้อหาสำคัญ: กำหนดหลักเกณฑ์การนับโทษจำคุกในกรณีที่บุคคลหนึ่งกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน • เมื่อศาลพิพากษาลงโทษหลายกรรมรวมกันแล้ว โทษจำคุกทั้งหมดต้องไม่เกิน 50 ปี เว้นแต่ศาลพิพากษาลงโทษ จำคุกตลอดชีวิต • จุดมุ่งหมายของกฎหมาย: เพื่อ จำกัดโทษสูงสุด ไม่ให้เกินกว่าเจตนารมณ์ของกฎหมาย แม้จำเลยจะกระทำความผิดร้ายแรงหลายครั้ง แต่ก็ต้องมีขอบเขตจำกัดของการลงโทษ ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1163/2559 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการนับโทษจำคุกหลายกรรมที่เกิดขึ้นในเหตุเดียวกันต้องนำโทษแต่ละกรรมมารวม แต่เมื่อรวมแล้วเกิน 50 ปี ศาลต้องจำกัดโทษสูงสุดไม่เกิน 50 ปี ตามมาตรา 91 (3)
2. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง และมาตรา 225 • มาตรา 195 วรรคสอง: บัญญัติว่า หากมีปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ แม้คู่ความไม่ได้อ้างในชั้นพิจารณา • มาตรา 225: ให้อำนาจศาลฎีกาในการพิจารณาและแก้ไขคำพิพากษา หากพบว่าคำพิพากษาของศาลล่างไม่ถูกต้องตามกฎหมายในส่วนที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อย ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8084/2558 ศาลฎีกายกปัญหาข้อกฎหมายเรื่องการนับโทษจำคุกขึ้นวินิจฉัยเอง โดยเห็นว่าแม้คู่ความมิได้อุทธรณ์หรือฎีกาในประเด็นดังกล่าว แต่เมื่อเกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้เป็นไปตามกฎหมาย
📌 สรุปเชื่อมโยง • คดีนี้อาศัย มาตรา 91 (3) ป.อ. เป็นแกนหลักในการตีความและแก้ไขโทษจำคุกที่รวมกันแล้วเกิน 50 ปี • และใช้ มาตรา 195 วรรคสอง และมาตรา 225 ป.วิ.อ. ยืนยันว่าศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อยขึ้นวินิจฉัยเองได้ แม้คู่ความไม่ได้อ้าง • หลักการเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการลงโทษต้องสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย และศาลสูงสุดมีหน้าที่รักษาความถูกต้องของคำพิพากษาเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและความสงบเรียบร้อยของสังคม |





