
| การหย่าโดยสมยอมเพื่อฉ้อโกงเจ้าหนี้ วิเคราะห์กฎหมายครอบครัวและสิทธิของเจ้าหนี้
บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับกรณีการหย่าและการทำข้อตกลงแบ่งสินสมรสโดยสมยอม เพื่อฉ้อโกงเจ้าหนี้ ศาลวินิจฉัยว่าเป็นการแสดงเจตนาลวง ไม่ผูกพันบุคคลภายนอก ทรัพย์สินยังถือเป็นสินสมรส เจ้าหนี้จึงมีสิทธิบังคับคดีได้
ข้อเท็จจริงของคดี ผู้ร้องและจำเลยเป็นสามีภรรยากัน ได้ทำข้อตกลงหย่าและแบ่งสินสมรส โดยตกลงให้จำเลยรับเงินสด 700,000 บาท และทรัพย์สินอื่นทั้งหมดตกเป็นของผู้ร้อง ต่อมาได้จดทะเบียนหย่ากันอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม หลังหย่า ทั้งสองยังคงอยู่กินร่วมกันในบ้านของผู้ร้องและทำมาหากินร่วมกันตามปกติ จนกระทั่งจำเลยหลบหนีเจ้าหนี้ใน พ.ศ. 2518 โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยได้ยึดทรัพย์สินดังกล่าวเพื่อบังคับคดี ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขัดทรัพย์ อ้างว่าทรัพย์สินเป็นของตนแต่เพียงผู้เดียวตามข้อตกลงหย่า
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า 1.การหย่าและข้อตกลงแบ่งสินสมรสดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนโจทก์ฟ้องคดี 2.หลังหย่า ทั้งสองยังใช้ชีวิตร่วมกันฉันสามีภรรยา จึงไม่น่าเชื่อว่ามีการหย่าขาดจริง 3.การจดทะเบียนหย่าและทำข้อตกลงแบ่งทรัพย์ เป็นการแสดงเจตนาลวงและสมยอมกันเพื่อฉ้อโกงเจ้าหนี้ 4.การกระทำดังกล่าวไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก 5.ทรัพย์สินยังถือเป็นสินสมรส มีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอปล่อยทรัพย์จากการยึด ศาลพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้ยกคำร้องขัดทรัพย์
วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 1. การหย่าโดยสมยอมกับบุคคลภายนอก แม้สามีภรรยาจะสามารถทำข้อตกลงหย่าและแบ่งสินสมรสได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1514, 1533 แต่หากการหย่านั้นเป็นเพียงฉากบังหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงการชำระหนี้ ถือเป็นการแสดงเจตนาลวงตามมาตรา 155 และมาตรา 6 ซึ่งไม่ผูกพันบุคคลภายนอก 2. เจตนาลวงและฉ้อโกงเจ้าหนี้ การสมคบกันระหว่างคู่สมรสเพื่อแบ่งทรัพย์สินโดยไม่สุจริต อาจเข้าข่ายการฉ้อโกงเจ้าหนี้ตามมาตรา 237 ทำให้เจ้าหนี้มีสิทธิฟ้องเพิกถอนการโอนหรือข้อตกลงดังกล่าว 3. สถานะของทรัพย์สิน เมื่อศาลเห็นว่าการหย่าและข้อตกลงเป็นโมฆะต่อบุคคลภายนอก ทรัพย์สินจึงยังคงเป็นสินสมรสตามมาตรา 1474 และเจ้าหนี้สามารถยึดเพื่อชำระหนี้ได้
ข้อคิดทางกฎหมาย •ข้อตกลงหย่าหรือโอนทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา หากทำโดยมีเจตนาหลอกลวงหรือฉ้อโกงเจ้าหนี้ อาจไม่ผูกพันบุคคลภายนอก •เจ้าหนี้มีสิทธิพิสูจน์ให้ศาลเพิกถอนข้อตกลงดังกล่าว และบังคับคดีได้แม้มีการโอนกรรมสิทธิ์แล้ว •การทำธุรกรรมในครอบครัวที่มีเจ้าหนี้อยู่ในภาพ ต้องระมัดระวังเรื่องการสุจริต
IRAC วิเคราะห์ Issue (ประเด็นปัญหา) การหย่าและทำข้อตกลงแบ่งสินสมรสโดยสมยอมเพื่อฉ้อโกงเจ้าหนี้ มีผลผูกพันต่อบุคคลภายนอกหรือไม่ Rule (กฎหมายที่ใช้บังคับ) •ป.พ.พ. มาตรา 6 วรรคสอง (ห้ามใช้สิทธิเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น) •มาตรา 155 (การแสดงเจตนาลวง) •มาตรา 237 (สิทธิของเจ้าหนี้ในการเพิกถอนการกระทำที่ฉ้อโกง) •มาตรา 1474, 1533 (สินสมรสและการแบ่งทรัพย์สินเมื่อหย่า) Application (การวินิจฉัย) •ข้อตกลงหย่าและแบ่งทรัพย์สินทำขึ้นก่อนเจ้าหนี้ฟ้องคดี และทั้งคู่ยังคงอยู่กินด้วยกัน จึงเป็นข้อบ่งชี้ว่ามีการแสดงเจตนาลวง •การกระทำดังกล่าวมีเจตนาหลีกเลี่ยงการชำระหนี้ จึงเข้าข่ายฉ้อโกงเจ้าหนี้ •ศาลเห็นว่าการโอนหรือแบ่งทรัพย์สินนั้นเป็นโมฆะต่อบุคคลภายนอก ทำให้เจ้าหนี้มีสิทธิบังคับคดีต่อสินสมรสดังกล่าวได้ Conclusion (ข้อสรุป) การหย่าและแบ่งสินสมรสโดยสมยอมเพื่อฉ้อโกงเจ้าหนี้ ไม่ผูกพันบุคคลภายนอก ทรัพย์สินยังเป็นสินสมรส และเจ้าหนี้มีสิทธิบังคับคดีได้
สรุปภาษาอังกฤษ The Supreme Court Decision No. 3698/2524 ruled that a divorce and property division agreement made by mutual consent between a husband and wife, intended to defraud creditors, constitutes a sham transaction. Such an act does not bind third parties, and the property remains marital property subject to enforcement by creditors.
สรุปย่อฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การหย่าและแบ่งสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยเป็นการแสดงเจตนาลวงและสมยอมกันเพื่อฉ้อโกงเจ้าหนี้ แม้จดทะเบียนหย่าแล้ว ทั้งคู่ยังอยู่กินและทำมาหากินร่วมกันตามปกติ ทรัพย์สินที่ถูกยึดจึงยังเป็นสินสมรส ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอปล่อยจากการยึด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3698/2524 หนังสือข้อตกลงหย่าและการจดทะเบียนหย่า ผู้ร้องกับจำเลยแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้ระหว่างกันกระทำขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งเป็นการกระทำขึ้นโดยสมยอมจึงไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดจึงเป็นสินสมรสซึ่งผู้ร้องกับจำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันผู้ร้องไม่มีอำนาจมาร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
ผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่า ผู้ร้องกับจำเลยซึ่งเป็นสามีภรรยายกันได้ตกลงหย่าและแบ่งทรัพย์สินกัน โดยมีข้อตกลงว่าทรัพย์สินนอกจากเงินสด 700,000 บาท เป็นของผู้ร้อง โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของผู้ร้อง โจทก์ไม่มีสิทธิจะนำยึด ขอให้ศาลสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึด โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องกับจำเลยยังอยู่ร่วมหลับนอนทำมาหากินร่วมกันฉันสามีภรรยา ทะเบียนหย่าและข้อตกลงหย่าและแบ่งทรัพย์สิน ผู้ร้องและจำเลยได้สมคบกันทำขึ้นโดยสมยอมเพื่อฉ้อโกงโจทก์และเจ้าหนี้อื่น ขอให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ถอนการยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและเรือที่โจทก์นำยึด โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ผู้ร้องขัดทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดเป็นทรัพย์ที่ผู้ร้องได้มาในระหว่างที่ผู้ร้องกับจำเลยเป็นสามีภรรยากัน แต่ปรากฏว่าผู้ร้องกับจำเลยได้ตกลงทำหนังสือหย่าโดยความยินยอมกันไว้ ซึ่งผู้ร้องกับจำเลยตกลงหย่าขาดจากกันและแบ่งสินสมรสกันโดยฝ่ายจำเลยขอรับเงินสดเจ็ดแสนบาทซึ่งได้รับไปแล้วในวันทำสัญญา ส่วนทรัพย์สินอื่นทั้งอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ให้ตกเป็นของผู้ร้อง ต่อมาผู้ร้องและจำเลยได้จดทะเบียนหย่ากัน การทำหนังสือข้อตกลงหย่าและการจดทะเบียนหย่าเกิดขึ้นก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ หลังจากนั้นผู้ร้องกับจำเลยก็ยังอยู่กินร่วมบ้านกันที่บ้านผู้ร้องฉันสามีภรรยาและทำมาหากินร่วมกันตามปกติธรรมดาเสมือนหนึ่งมิได้มีการหย่าขาดจากกันตลอดมาจนกระทั่ง พ.ศ. 2518 จำเลยจึงได้หลบหนี้สินไปจากบ้านผู้ร้อง ดังนี้ เชื่อไม่ได้ว่าผู้ร้องกับจำเลยได้ตกลงหย่าและทำการแบ่งสินสมรสกันเสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อเป็นเช่นนี้การที่ผู้ร้องกับจำเลยได้จดทะเบียนหย่ากันตามเอกสารหมาย จ.7 โดยทั้งสองฝ่ายได้แจ้งให้เจ้าพนักงานบันทึกไว้ด้านหลังทะเบียนหย่าว่าได้ตกลงกันในเรื่องทรัพย์สินที่มีมาก่อนจดทะเบียนหย่าเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงฝ่าฝืนความจริง กรณีถือได้ว่าการที่ผู้ร้องกับจำเลยตกลงทำหนังสือข้อตกลงหย่าและจดทะเบียนหย่ากันเป็นการที่ผู้ร้องกับจำเลยแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้ระหว่างกันกระทำขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งเป็นการกระทำขึ้นโดยสมยอม จึงไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดจึงเป็นสินสมรสซึ่งผู้ร้องกับจำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันผู้ร้องไม่มีอำนาจร้องขอให้ปล่อยจากการยึด พิพากษายืน
|





