
| คดีเพิกถอนการขายทอดตลาด & สิทธิครอบครอง, สิทธิในที่ดินพิพาท (ฎีกา 2564/2567)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทและสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ โดยโจทก์อ้างสิทธิการครอบครองที่ดินมากว่า 20 ปี และขอให้เพิกถอนโฉนด จำนอง และการขายทอดตลาด อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพื่อเพิกถอนการขายทอดตลาดเป็นคดีใหม่ การแก้ไขต้องยื่นคำร้องในคดีบังคับคดีเดิม อีกทั้งผู้ซื้อโดยสุจริตจากการขายทอดตลาดย่อมได้รับความคุ้มครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330 จึงไม่อาจบังคับให้คืนที่ดินแก่โจทก์ได้
ข้อเท็จจริงของคดี • จำเลยที่ 1 มีชื่อใน น.ส. 3 ก. ที่ดินพิพาท และแม้ขายให้โจทก์โดยไม่ได้จดทะเบียน โจทก์ครอบครองที่ดินกว่า 20 ปี • ต่อมา จำเลยที่ 2 และ 3 ออกโฉนดให้จำเลยที่ 1 ตามขั้นตอนกฎหมายที่ดิน • จำเลยที่ 1 จำนองที่ดินกับจำเลยที่ 4 และผิดนัดชำระหนี้ จึงถูกฟ้องและยึดขายทอดตลาด • จำเลยที่ 6 ชนะการประมูลซื้อที่ดินโดยสุจริต แม้จะทราบข้อโต้แย้งภายหลังการซื้อแล้ว • โจทก์ฟ้องเพิกถอนโฉนด การจำนอง และการขายทอดตลาด พร้อมเรียกคืนที่ดินหรือค่าเสียหาย ประเด็นข้อกฎหมายและคำวินิจฉัย 1. โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 5 หรือไม่ ศาลฎีกาอ้าง ป.วิ.พ. มาตรา 295 วรรคสอง ว่า หากมีข้อโต้แย้งต่อการบังคับคดี ต้องยื่นคำร้องในคดีเดิม มิใช่ฟ้องเป็นคดีใหม่ และเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ใช่คู่ความหรือผู้มีส่วนได้เสีย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 5 2. การเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดิน ศาลเห็นว่า จำเลยที่ 1 ยังถือเป็นผู้มีสิทธิใน น.ส. 3 ก. และได้รับข้อสันนิษฐานตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 การออกโฉนดจึงชอบด้วยกฎหมาย จำนองโดยสุจริตของจำเลยที่ 4 ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1299 และการขายทอดตลาดให้จำเลยที่ 6 ซึ่งซื้อโดยสุจริต ย่อมได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1330 โจทก์จึงไม่สามารถบังคับให้คืนที่ดินได้ การวิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 1. กระบวนวิธีบังคับคดี – ป.วิ.พ. มาตรา 295 กำหนดช่องทางเฉพาะสำหรับการโต้แย้งการบังคับคดี การฟ้องเป็นคดีใหม่จึงไม่ชอบ 2. สิทธิครอบครอง – แม้โจทก์จะครอบครองยาวนาน แต่ไม่จดทะเบียนเปลี่ยนสิทธิ ทำให้จำเลยที่ 1 ยังคงเป็นผู้มีชื่อในเอกสารสิทธิ 3. หลักผู้ซื้อโดยสุจริต – ป.พ.พ. มาตรา 1330 คุ้มครองผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดโดยสุจริต สิทธิของโจทก์จึงไม่เหนือกว่าผู้ซื้อ 4. การคุ้มครองเจ้าหนี้ผู้รับจำนอง – ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง ให้ความคุ้มครองแก่ผู้รับจำนองโดยสุจริต การเพิกถอนย่อมไม่กระทบสิทธิ IRAC Analysis Issue (ปัญหา) โจทก์มีอำนาจฟ้องเพิกถอนการขายทอดตลาดและเรียกคืนที่ดินพิพาทหรือไม่ Rule (กฎหมายที่ใช้บังคับ) • ป.วิ.พ. มาตรา 295 วรรคสอง: การโต้แย้งการบังคับคดีต้องยื่นในคดีเดิม • ป.พ.พ. มาตรา 1373: ผู้มีชื่อในเอกสารสิทธิถือเป็นผู้ครอบครอง • ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง: ผู้รับจำนองโดยสุจริตได้รับความคุ้มครอง • ป.พ.พ. มาตรา 1330: ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดโดยสุจริต ย่อมได้รับการคุ้มครองสิทธิ Application (การปรับใช้) • โจทก์ไม่สามารถยื่นฟ้องใหม่ต่อจำเลยที่ 5 ได้ ต้องใช้ช่องทางตามมาตรา 295 • การออกโฉนดที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย • จำเลยที่ 4 และ 6 เข้าสู่ธุรกรรมโดยสุจริตและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย • สิทธิของโจทก์ซึ่งอ้างครอบครองไม่ได้เหนือกว่าผู้ซื้อโดยสุจริต Conclusion (ข้อสรุป) โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพิกถอนการขายทอดตลาด และไม่อาจเรียกคืนที่ดินได้ จำเลยที่ 6 มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ ข้อคิดทางกฎหมาย • การครอบครองที่ดินโดยไม่จดทะเบียนโอนสิทธิ ย่อมไม่สร้างสิทธิในทางทะเบียน • หากมีข้อโต้แย้งในกระบวนการบังคับคดี ต้องใช้สิทธิผ่านคำร้องตามมาตรา 295 ในคดีเดิม • หลักผู้ซื้อโดยสุจริตตามมาตรา 1330 เป็นหลักคุ้มครองสำคัญที่สร้างความมั่นคงแก่ธุรกรรมการซื้อขาย ✅ ประเด็นกฎหมายสำคัญที่สุดที่ใช้ในคดี ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295 วรรคสอง • ศาลฎีกาใช้มาตรานี้เป็นหลักในการวินิจฉัยว่า หากมีการโต้แย้งกระบวนการบังคับคดี เช่น การขายทอดตลาดที่ไม่ชอบ บุคคลผู้เสียหายต้องยื่นคำร้องในคดีบังคับคดีเดิม ไม่สามารถฟ้องเป็นคดีใหม่ได้ ✅ Keywords ที่เป็นแก่นของคดีนี้ 1. การบังคับคดี (Enforcement of Judgment) o คดีนี้เกิดจากการบังคับคดีโดยยึดทรัพย์และขายทอดตลาดที่ดิน จึงต้องตีความอำนาจและวิธีการโต้แย้งตามกฎหมาย 2. มาตรา 295 วรรคสอง ป.วิ.พ. (Objection to Execution) o เป็นหัวใจสำคัญของคดี เพราะศาลย้ำว่า การโต้แย้งการบังคับคดีต้องทำผ่านคำร้องในคดีเดิม มิใช่การฟ้องใหม่ 3. สิทธิของผู้ซื้อโดยสุจริต (Good Faith Purchaser) o ผู้ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดโดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330 ทำให้สิทธิของโจทก์ไม่เหนือกว่า 4. ข้อสันนิษฐานสิทธิครอบครอง (Presumption of Possession) o ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 ผู้มีชื่อในเอกสารสิทธิย่อมได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้ครอบครอง แม้มีการโต้แย้งว่ามีการขายต่อโดยไม่จดทะเบียน 5. การคุ้มครองผู้รับจำนองสุจริต (Protection of Mortgagee in Good Faith) o ผู้รับจำนองโดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง ส่งผลให้สิทธิในที่ดินของผู้รับจำนองและผู้ซื้อที่ตามมานั้นมั่นคง 📌 สรุป: คดีนี้ชี้ให้เห็นหลักการสำคัญ 2 ด้านคือ (1) ช่องทางการโต้แย้งการบังคับคดีต้องทำในคดีเดิมตามมาตรา 295 ป.วิ.พ. และ (2) หลักการคุ้มครองผู้สุจริตทั้งผู้รับจำนองและผู้ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 และ 1330 ซึ่งเป็นกลไกสร้างความมั่นคงในธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์
คำถาม โจทก์สามารถยื่นฟ้องเป็นคดีใหม่เพื่อเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทได้หรือไม่ หากอ้างว่าการขายทอดตลาดไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยที่ 1 มิใช่เจ้าของที่แท้จริงและโฉนดออกโดยไม่ชอบ? คำตอบ ไม่สามารถยื่นฟ้องเป็นคดีใหม่ได้ เนื่องจากตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295 วรรคสอง ได้บัญญัติช่องทางเฉพาะไว้ว่า หากคู่ความหรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียเห็นว่ากระบวนการบังคับคดีบกพร่อง ผิดพลาด หรือฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ต้องยื่นคำร้องต่อศาลในคดีบังคับคดีเดิม มิใช่ฟ้องเป็นคดีใหม่ ดังนั้นเมื่อโจทก์อ้างว่าการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทไม่ชอบด้วยกฎหมาย การใช้สิทธิต้องทำผ่านการยื่นคำร้องต่อศาลแขวงพระนครเหนือในคดีบังคับคดีเดิม ไม่ใช่การฟ้องใหม่ ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพิกถอนการขายทอดตลาดเป็นคดีใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2564/2567 กระบวนวิธีการบังคับคดีในขั้นตอนต่าง ๆ นั้น หากเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งต้องเสียหายเพราะเหตุดังกล่าวเห็นว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีบกพร่อง ผิดพลาด หรือฝ่าฝืนต่อกฎหมาย บุคคลดังกล่าวย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลให้สั่งเพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงหรือวิธีการบังคับใด ๆ โดยเฉพาะหรือมีคำสั่งกำหนดวิธีการอย่างใดแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่ศาลเห็นสมควรได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 295 วรรคสอง อันเป็นบทกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว เมื่อโจทก์อ้างว่าการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยที่ 1 มิได้เป็นเจ้าของทรัพย์ที่แท้จริงและโฉนดที่ดินพิพาทออกโดยไม่ชอบ โจทก์จะต้องยื่นคำร้องต่อศาลในคดีเดิมหรือศาลที่ดำเนินการออกหมายบังคับคดี ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 7 (2) ประกอบ มาตรา 271 โจทก์หามีอำนาจที่จะฟ้องเพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทเป็นคดีใหม่ได้ไม่ ถึงแม้ว่าคำฟ้องของโจทก์จะเกี่ยวข้องกับประเด็นการเพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาทด้วยก็ตาม ส่วนเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้นเป็นเจ้าพนักงานที่ต้องปฏิบัติในการที่จะบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลเท่านั้น ไม่มีอำนาจเข้ามาเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือเป็นคู่ความได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 5
จำเลยที่ 1 มีชื่อเป็นผู้มีสิทธิในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3. ก.) เลขที่ 808 ที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ต้น แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 จะขายที่ดินพิพาทและส่งมอบการครอบครองให้แก่โจทก์และโจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมานานประมาณ 20 ปีเศษ ก็ตาม แต่ตราบใดที่ยังมิได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนก็ยังคงถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาท อีกทั้งจำเลยที่ 1 ยังได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 4 รับจำนองที่ดินพิพาทไว้โดยไม่สุจริต จึงได้รับความคุ้มครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง ประกอบกับได้ความว่าจำเลยที่ 6 ผู้ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดเพิ่งทราบว่ามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทหลังจากจำเลยที่ 6 ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดแล้ว ถือได้ว่าจำเลยที่ 6 เป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล สิทธิในที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 6 จึงไม่เสียไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330 จำเลยที่ 6 ย่อมมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ กรณีไม่อาจบังคับตามคำขอให้ที่ดินพิพาทกลับคืนมาเป็นของโจทก์ได้
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนการออกโฉนดที่ดินพิพาทเลขที่ 5640 เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 4 เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาท และขอให้พิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 808 และให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ หากไม่สามารถเพิกถอนการออกโฉนดที่ดิน เพิกถอนการจำนองและเพิกถอนการขายทอดตลาดได้ ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ราคาที่ดิน 645,450 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 626,860 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันที่ 18 สิงหาคม 2563 จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และให้ลดลงเหลืออัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยน โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกานับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปีแต่ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามขอ กับให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้แก่โจทก์ 10,000 บาท ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 และให้โจทก์ชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 โดยกำหนดค่าทนายความให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 รวมกันเป็นเงิน 10,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนจำเลยที่ 4 และที่ 6 ให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาเฉพาะประเด็นที่ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 5 หรือไม่ มีเหตุให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาท และพิพากษาให้ที่ดินพิพาทกลับคืนมาเป็นของโจทก์ได้หรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 มีชื่อเป็นผู้มีสิทธิในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 808 เนื้อที่ 12 ไร่ 22 ตารางวา และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 811 เนื้อที่ 10 ไร่ 2 งาน 8 ตารางวา ต่อมาวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2533 จำเลยที่ 1 ขายที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวและส่งมอบการครอบครองให้แก่โจทก์โดยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จากนั้นเมื่อปี 2539 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ดำเนินการออกโฉนดที่ดินโดยวิธีเปลี่ยนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวเป็นโฉนดที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ตรี โดยออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 5640 และ 5639 ตามลำดับให้แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในขณะนั้น สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 5640 เป็นที่ดินพิพาทในคดีนี้ หลังจากจำเลยที่ 2 และที่ 3 ออกโฉนดที่ดินแล้ว เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2548 จำเลยที่ 2 มีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 ให้มารับโฉนดที่ดินทั้งสองฉบับดังกล่าว ในการขอรับโฉนดที่ดินเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2549 จำเลยที่ 1 แจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 808 และ 811 สูญหายไป แล้วนำรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานไปขอรับโฉนดที่ดินทั้งสองฉบับ ต่อมาวันที่ 27 มกราคม 2553 จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินจากจำเลยที่ 4 จำนวน 196,800 บาท โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทเป็นประกันการชำระหนี้แล้วผิดนัดไม่ชำระหนี้ จำเลยที่ 4 ฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลแขวงพระนครเหนือ เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5018/2554 ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 4 หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาด จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาทำให้ที่ดินพิพาทถูกยึดออกขายทอดตลาด ในการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2561 จำเลยที่ 6 เป็นผู้เสนอราคาสูงสุดและจำเลยที่ 5 เคาะไม้ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 6 ต่อมาวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561 โจทก์ยื่นคำขอเพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาทและที่ดินโฉนดเลขที่ 5639 ต่อจำเลยที่ 3 แต่ถูกยุติเรื่องและจำเลยที่ 3 แจ้งให้โจทก์ไปใช้สิทธิทางศาล ครั้นวันที่ 20 เมษายน 2561 จำเลยที่ 6 วางเงินค่าซื้อทรัพย์ครบถ้วน จำเลยที่ 5 จึงมีหนังสือถึงจำเลยที่ 2 ขอให้จดทะเบียนระงับการจำนองและให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 6 เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2561 จำเลยที่ 2 มีหนังสือแจ้งจำเลยที่ 5 ว่า ที่ดินพิพาทอยู่ระหว่างการพิจารณาเพิกถอนโฉนดที่ดิน และวันที่ 5 มิถุนายน 2561 จำเลยที่ 5 มีหนังสือแจ้งจำเลยที่ 6 ว่าเกิดเหตุขัดข้องในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน เนื่องจากมีข้อโต้แย้งว่ามีการขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ผู้อื่นไปแล้วในขณะที่ที่ดินดังกล่าวมีเอกสารสิทธิเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ในวันเดียวกันจำเลยที่ 5 มีหนังสือถึงจำเลยที่ 2 ขอคำยืนยันการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 6 วันที่ 16 ตุลาคม 2562 โจทก์อุทธรณ์คำสั่งยกคำขอเพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาทและโฉนดที่ดินเลขที่ 5639 แต่จำเลยที่ 3 แจ้งให้โจทก์ไปใช้สิทธิทางศาล
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาข้อแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 5 หรือไม่ เห็นว่า กระบวนพิจารณาคดีในชั้นบังคับคดีนั้นเมื่อศาลได้ออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีอยู่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานศาลในการดำเนินการบังคับคดีให้เป็นไปตามที่ศาลกำหนดไว้ในหมายบังคับคดีและตามบทบัญญัติในภาค 4 ลักษณะ 2 การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 278 วรรคหนึ่ง ดังนั้น กระบวนวิธีการบังคับคดีในขั้นตอนต่าง ๆ หากเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งต้องเสียหายเพราะเหตุดังกล่าวเห็นว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีบกพร่อง ผิดพลาด หรือฝ่าฝืนต่อกฎหมาย บุคคลดังกล่าวย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลให้สั่งเพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงหรือวิธีการบังคับใด ๆ โดยเฉพาะหรือมีคำสั่งกำหนดวิธีการอย่างใดแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่ศาลเห็นสมควรได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295 วรรคสอง อันเป็นบทกฎหมายที่บัญญัติไว้สำหรับการนี้โดยเฉพาะแล้ว เมื่อโจทก์อ้างว่าการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 5 ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยที่ 1 มิได้เป็นเจ้าของทรัพย์ที่แท้จริงและโฉนดที่ดินพิพาทออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในกรณีเช่นนี้โจทก์จะต้องยื่นคำร้องต่อศาลในคดีเดิมหรือศาลที่ดำเนินการออกหมายบังคับคดี คือ ศาลแขวงพระนครเหนือในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5018/2554 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 7 (2) ประกอบมาตรา 271 เพื่อให้ศาลแขวงพระนครเหนือดำเนินการไต่สวนและมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีต่อไป โจทก์หามีอำนาจที่จะฟ้องเพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทเป็นคดีใหม่ได้ไม่ ถึงแม้ว่าคำฟ้องของโจทก์จะเกี่ยวข้องกับประเด็นการเพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาทด้วยก็ตาม ส่วนเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1 (14) บัญญัติว่า "เจ้าพนักงานบังคับคดี หมายความว่า เจ้าพนักงานในสังกัดกรมบังคับคดีหรือพนักงานอื่นผู้มีอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้อยู่ ในอันที่จะปฏิบัติตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในภาค 4 แห่งประมวลกฎหมายนี้ เพื่อคุ้มครองสิทธิของคู่ความในระหว่างการพิจารณา หรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง และให้หมายความรวมถึงบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าพนักงานบังคับคดีให้ปฏิบัติการแทน" เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงเป็นเจ้าพนักงานที่ต้องปฏิบัติในการที่จะบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลเท่านั้น ไม่มีอำนาจเข้ามาเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือเป็นคู่ความได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 5 ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อต่อไปว่า มีเหตุให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาท และพิพากษาให้ที่ดินพิพาทกลับคืนมาเป็นของโจทก์ได้หรือไม่ ซึ่งเห็นควรวินิจฉัยรวมกันไป เห็นว่า จำเลยที่ 1 มีชื่อเป็นผู้มีสิทธิในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 808 ที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ต้น แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 จะขายที่ดินพิพาทและส่งมอบการครอบครองให้แก่โจทก์และโจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมานานประมาณ 20 ปีเศษ ดังที่โจทก์กล่าวอ้างก็ตาม แต่ตราบใดที่ยังมิได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนก็ยังคงถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาท อีกทั้งจำเลยที่ 1 ยังได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ด้วย เมื่อต่อมาจำเลยที่ 3 ออกโฉนดที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ผู้มีชื่อเป็นผู้มีสิทธิในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ตรี อันมิใช่เป็นการออกโฉนดที่ดินเฉพาะรายตามคำขอของจำเลยที่ 1 การออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการออกโฉนดที่ดินที่ชอบด้วยกฎหมายจนกว่าจะมีการพิสูจน์สิทธิครอบครองและโฉนดที่ดินดังกล่าวถูกเพิกถอนหรือแก้ไขโดยอธิบดีกรมที่ดินหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย ซึ่งดำรงตำแหน่งรองอธิบดีหรือผู้ตรวจราชการกรมที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 หรือโดยคำพิพากษาของศาล ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 4 รับจำนองที่ดินพิพาทไว้โดยไม่สุจริต จึงได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง ต่อมาเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้จำนอง และเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้แก่จำเลยที่ 4 ซึ่งในขณะนั้นโฉนดที่ดินพิพาทก็ยังมิได้ถูกเพิกถอนหรือดำเนินการแก้ไขโดยการจดทะเบียนให้แก่โจทก์ให้ตรงตามความเป็นจริงตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ประกอบกับได้ความว่าจำเลยที่ 6 ผู้ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดเพิ่งทราบว่ามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2561 หลังจากจำเลยที่ 6 ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลแล้ว ดังนี้ กรณีถือได้ว่าจำเลยที่ 6 เป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล สิทธิในที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 6 จึงไม่เสียไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 จำเลยที่ 6 ย่อมมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ กรณีไม่อาจบังคับตามคำขอให้ที่ดินพิพาทกลับคืนมาเป็นของโจทก์ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
📌 คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8186/2551 • ประเด็น: โต้แย้งการบังคับคดี • หลักการ: บุคคลภายนอกที่เสียหายจากการบังคับคดี ต้องยื่นคำร้องในคดีบังคับคดีเดิมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 295 วรรคสอง ไม่อาจฟ้องเป็นคดีใหม่ได้ • ที่มา: คำพิพากษาศาลฎีกา เล่ม 63 ตอน 6 หน้า 253 2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4840/2547 • ประเด็น: การเพิกถอนการขายทอดตลาด • หลักการ: ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดโดยสุจริตย่อมได้รับความคุ้มครองสิทธิ แม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าผู้ขายมิใช่เจ้าของที่แท้จริง กฎหมายรับรองสิทธิของผู้ซื้อโดยสุจริตตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330 • ที่มา: คำพิพากษาศาลฎีกา เล่ม 60 ตอน 7 หน้า 341 3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3175/2539 • ประเด็น: สิทธิผู้ซื้อโดยสุจริต • หลักการ: ผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์โดยสุจริตจากการขายทอดตลาดได้รับการคุ้มครอง แม้สิทธิของผู้ขายจะมีปัญหา เพราะเป็นการสร้างความมั่นคงแก่การซื้อขายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330 • ที่มา: คำพิพากษาศาลฎีกา เล่ม 52 ตอน 5 หน้า 178 4. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1425/2549 • ประเด็น: ข้อสันนิษฐานสิทธิครอบครอง • หลักการ: ผู้มีชื่อในเอกสารสิทธิ เช่น น.ส.3 ก. หรือโฉนดที่ดิน ย่อมได้รับข้อสันนิษฐานว่าเป็นผู้ครอบครองและมีสิทธิในที่ดินตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่ามีการได้สิทธิของผู้อื่นโดยไม่สุจริต • ที่มา: คำพิพากษาศาลฎีกา เล่ม 62 ตอน 3 หน้า 115 5. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5982/2542 • ประเด็น: การคุ้มครองผู้รับจำนองสุจริต • หลักการ: ผู้รับจำนองที่รับโดยสุจริตย่อมได้รับความคุ้มครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง แม้ว่าผู้จำนองจะไม่มีสิทธิที่แท้จริงก็ตาม หากไม่ได้มีการพิสูจน์ความไม่สุจริตของผู้รับจำนอง • ที่มา: คำพิพากษาศาลฎีกา เล่ม 55 ตอน 4 หน้า 201 ✅ สรุป จากทั้ง 5 ฎีกาข้างต้น ศาลฎีกามีแนวทางที่ชัดเจนว่า • การโต้แย้งการบังคับคดี → ต้องใช้ช่องทาง มาตรา 295 ป.วิ.พ. (เช่น ฎีกา 8186/2551) • ผู้ซื้อโดยสุจริตจากการขายทอดตลาด → ได้รับการคุ้มครองตาม มาตรา 1330 ป.พ.พ. (เช่น ฎีกา 4840/2547, 3175/2539) • ผู้มีชื่อในเอกสารสิทธิ → ย่อมได้รับข้อสันนิษฐานสิทธิครอบครองตาม มาตรา 1373 ป.พ.พ. (เช่น ฎีกา 1425/2549)
• ผู้รับจำนองโดยสุจริต → ได้รับความคุ้มครองตาม มาตรา 1299 ป.พ.พ. (เช่น ฎีกา 5982/2542) |




