ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




คดีเพิกถอนการขายทอดตลาด & สิทธิครอบครอง, สิทธิในที่ดินพิพาท (ฎีกา 2564/2567)

คำพิพากษาศาลฎีกา 2564/2567, คดีเพิกถอนการขายทอดตลาด, สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท, โฉนดที่ดินไม่ชอบด้วยกฎหมาย, การคุ้มครองผู้ซื้อโดยสุจริต, ป.พ.พ. มาตรา 1373 และมาตรา 1330, ป.วิ.พ. มาตรา 295, คดีบังคับคดีและสิทธิฟ้อง, การเพิกถอนโฉนดและการจดทะเบียนจำนอง, คดีอสังหาริมทรัพย์, แนวทางปฏิบัติทางกฎหมายที่ดิน, วิเคราะห์ฎีกาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน 

  ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทและสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ โดยโจทก์อ้างสิทธิการครอบครองที่ดินมากว่า 20 ปี และขอให้เพิกถอนโฉนด จำนอง และการขายทอดตลาด อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพื่อเพิกถอนการขายทอดตลาดเป็นคดีใหม่ การแก้ไขต้องยื่นคำร้องในคดีบังคับคดีเดิม อีกทั้งผู้ซื้อโดยสุจริตจากการขายทอดตลาดย่อมได้รับความคุ้มครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330 จึงไม่อาจบังคับให้คืนที่ดินแก่โจทก์ได้

 

 

ข้อเท็จจริงของคดี

จำเลยที่ 1 มีชื่อใน น.ส. 3 ก. ที่ดินพิพาท และแม้ขายให้โจทก์โดยไม่ได้จดทะเบียน โจทก์ครอบครองที่ดินกว่า 20 ปี

ต่อมา จำเลยที่ 2 และ 3 ออกโฉนดให้จำเลยที่ 1 ตามขั้นตอนกฎหมายที่ดิน

จำเลยที่ 1 จำนองที่ดินกับจำเลยที่ 4 และผิดนัดชำระหนี้ จึงถูกฟ้องและยึดขายทอดตลาด

จำเลยที่ 6 ชนะการประมูลซื้อที่ดินโดยสุจริต แม้จะทราบข้อโต้แย้งภายหลังการซื้อแล้ว

โจทก์ฟ้องเพิกถอนโฉนด การจำนอง และการขายทอดตลาด พร้อมเรียกคืนที่ดินหรือค่าเสียหาย

ประเด็นข้อกฎหมายและคำวินิจฉัย

1. โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 5 หรือไม่

ศาลฎีกาอ้าง ป.วิ.พ. มาตรา 295 วรรคสอง ว่า หากมีข้อโต้แย้งต่อการบังคับคดี ต้องยื่นคำร้องในคดีเดิม มิใช่ฟ้องเป็นคดีใหม่ และเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ใช่คู่ความหรือผู้มีส่วนได้เสีย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 5

2. การเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดิน

ศาลเห็นว่า จำเลยที่ 1 ยังถือเป็นผู้มีสิทธิใน น.ส. 3 ก. และได้รับข้อสันนิษฐานตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 การออกโฉนดจึงชอบด้วยกฎหมาย จำนองโดยสุจริตของจำเลยที่ 4 ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1299 และการขายทอดตลาดให้จำเลยที่ 6 ซึ่งซื้อโดยสุจริต ย่อมได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1330 โจทก์จึงไม่สามารถบังคับให้คืนที่ดินได้

การวิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย

1. กระบวนวิธีบังคับคดี – ป.วิ.พ. มาตรา 295 กำหนดช่องทางเฉพาะสำหรับการโต้แย้งการบังคับคดี การฟ้องเป็นคดีใหม่จึงไม่ชอบ

2. สิทธิครอบครอง – แม้โจทก์จะครอบครองยาวนาน แต่ไม่จดทะเบียนเปลี่ยนสิทธิ ทำให้จำเลยที่ 1 ยังคงเป็นผู้มีชื่อในเอกสารสิทธิ

3. หลักผู้ซื้อโดยสุจริต – ป.พ.พ. มาตรา 1330 คุ้มครองผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดโดยสุจริต สิทธิของโจทก์จึงไม่เหนือกว่าผู้ซื้อ

4. การคุ้มครองเจ้าหนี้ผู้รับจำนอง – ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง ให้ความคุ้มครองแก่ผู้รับจำนองโดยสุจริต การเพิกถอนย่อมไม่กระทบสิทธิ

IRAC Analysis

Issue (ปัญหา)

โจทก์มีอำนาจฟ้องเพิกถอนการขายทอดตลาดและเรียกคืนที่ดินพิพาทหรือไม่

Rule (กฎหมายที่ใช้บังคับ)

ป.วิ.พ. มาตรา 295 วรรคสอง: การโต้แย้งการบังคับคดีต้องยื่นในคดีเดิม

ป.พ.พ. มาตรา 1373: ผู้มีชื่อในเอกสารสิทธิถือเป็นผู้ครอบครอง

ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง: ผู้รับจำนองโดยสุจริตได้รับความคุ้มครอง

ป.พ.พ. มาตรา 1330: ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดโดยสุจริต ย่อมได้รับการคุ้มครองสิทธิ

Application (การปรับใช้)

โจทก์ไม่สามารถยื่นฟ้องใหม่ต่อจำเลยที่ 5 ได้ ต้องใช้ช่องทางตามมาตรา 295

การออกโฉนดที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย

จำเลยที่ 4 และ 6 เข้าสู่ธุรกรรมโดยสุจริตและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย

สิทธิของโจทก์ซึ่งอ้างครอบครองไม่ได้เหนือกว่าผู้ซื้อโดยสุจริต

Conclusion (ข้อสรุป)

โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพิกถอนการขายทอดตลาด และไม่อาจเรียกคืนที่ดินได้ จำเลยที่ 6 มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์

ข้อคิดทางกฎหมาย

การครอบครองที่ดินโดยไม่จดทะเบียนโอนสิทธิ ย่อมไม่สร้างสิทธิในทางทะเบียน

หากมีข้อโต้แย้งในกระบวนการบังคับคดี ต้องใช้สิทธิผ่านคำร้องตามมาตรา 295 ในคดีเดิม

หลักผู้ซื้อโดยสุจริตตามมาตรา 1330 เป็นหลักคุ้มครองสำคัญที่สร้างความมั่นคงแก่ธุรกรรมการซื้อขาย

✅ ประเด็นกฎหมายสำคัญที่สุดที่ใช้ในคดี

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295 วรรคสอง

ศาลฎีกาใช้มาตรานี้เป็นหลักในการวินิจฉัยว่า หากมีการโต้แย้งกระบวนการบังคับคดี เช่น การขายทอดตลาดที่ไม่ชอบ บุคคลผู้เสียหายต้องยื่นคำร้องในคดีบังคับคดีเดิม ไม่สามารถฟ้องเป็นคดีใหม่ได้

✅ Keywords ที่เป็นแก่นของคดีนี้ 

1. การบังคับคดี (Enforcement of Judgment)

o คดีนี้เกิดจากการบังคับคดีโดยยึดทรัพย์และขายทอดตลาดที่ดิน จึงต้องตีความอำนาจและวิธีการโต้แย้งตามกฎหมาย

2. มาตรา 295 วรรคสอง ป.วิ.พ. (Objection to Execution)

o เป็นหัวใจสำคัญของคดี เพราะศาลย้ำว่า การโต้แย้งการบังคับคดีต้องทำผ่านคำร้องในคดีเดิม มิใช่การฟ้องใหม่

3. สิทธิของผู้ซื้อโดยสุจริต (Good Faith Purchaser)

o ผู้ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดโดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330 ทำให้สิทธิของโจทก์ไม่เหนือกว่า

4. ข้อสันนิษฐานสิทธิครอบครอง (Presumption of Possession)

o ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 ผู้มีชื่อในเอกสารสิทธิย่อมได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้ครอบครอง แม้มีการโต้แย้งว่ามีการขายต่อโดยไม่จดทะเบียน

5. การคุ้มครองผู้รับจำนองสุจริต (Protection of Mortgagee in Good Faith)

o ผู้รับจำนองโดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง ส่งผลให้สิทธิในที่ดินของผู้รับจำนองและผู้ซื้อที่ตามมานั้นมั่นคง

📌 สรุป: คดีนี้ชี้ให้เห็นหลักการสำคัญ 2 ด้านคือ (1) ช่องทางการโต้แย้งการบังคับคดีต้องทำในคดีเดิมตามมาตรา 295 ป.วิ.พ. และ (2) หลักการคุ้มครองผู้สุจริตทั้งผู้รับจำนองและผู้ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 และ 1330 ซึ่งเป็นกลไกสร้างความมั่นคงในธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์


คำถาม

โจทก์สามารถยื่นฟ้องเป็นคดีใหม่เพื่อเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทได้หรือไม่ หากอ้างว่าการขายทอดตลาดไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยที่ 1 มิใช่เจ้าของที่แท้จริงและโฉนดออกโดยไม่ชอบ?

คำตอบ

ไม่สามารถยื่นฟ้องเป็นคดีใหม่ได้ เนื่องจากตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295 วรรคสอง ได้บัญญัติช่องทางเฉพาะไว้ว่า หากคู่ความหรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียเห็นว่ากระบวนการบังคับคดีบกพร่อง ผิดพลาด หรือฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ต้องยื่นคำร้องต่อศาลในคดีบังคับคดีเดิม มิใช่ฟ้องเป็นคดีใหม่ ดังนั้นเมื่อโจทก์อ้างว่าการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทไม่ชอบด้วยกฎหมาย การใช้สิทธิต้องทำผ่านการยื่นคำร้องต่อศาลแขวงพระนครเหนือในคดีบังคับคดีเดิม ไม่ใช่การฟ้องใหม่ ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพิกถอนการขายทอดตลาดเป็นคดีใหม่ได้


1.	กระบวนวิธีบังคับคดี – ป.วิ.พ. มาตรา 295 กำหนดช่องทางเฉพาะสำหรับการโต้แย้งการบังคับคดี การฟ้องเป็นคดีใหม่จึงไม่ชอบ 2.	สิทธิครอบครอง – แม้โจทก์จะครอบครองยาวนาน แต่ไม่จดทะเบียนเปลี่ยนสิทธิ ทำให้จำเลยที่ 1 ยังคงเป็นผู้มีชื่อในเอกสารสิทธิ

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2564/2567

กระบวนวิธีการบังคับคดีในขั้นตอนต่าง ๆ นั้น หากเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งต้องเสียหายเพราะเหตุดังกล่าวเห็นว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีบกพร่อง ผิดพลาด หรือฝ่าฝืนต่อกฎหมาย บุคคลดังกล่าวย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลให้สั่งเพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงหรือวิธีการบังคับใด ๆ โดยเฉพาะหรือมีคำสั่งกำหนดวิธีการอย่างใดแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่ศาลเห็นสมควรได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 295 วรรคสอง อันเป็นบทกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว เมื่อโจทก์อ้างว่าการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยที่ 1 มิได้เป็นเจ้าของทรัพย์ที่แท้จริงและโฉนดที่ดินพิพาทออกโดยไม่ชอบ โจทก์จะต้องยื่นคำร้องต่อศาลในคดีเดิมหรือศาลที่ดำเนินการออกหมายบังคับคดี ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 7 (2) ประกอบ มาตรา 271 โจทก์หามีอำนาจที่จะฟ้องเพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทเป็นคดีใหม่ได้ไม่ ถึงแม้ว่าคำฟ้องของโจทก์จะเกี่ยวข้องกับประเด็นการเพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาทด้วยก็ตาม ส่วนเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้นเป็นเจ้าพนักงานที่ต้องปฏิบัติในการที่จะบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลเท่านั้น ไม่มีอำนาจเข้ามาเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือเป็นคู่ความได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 5


จำเลยที่ 1 มีชื่อเป็นผู้มีสิทธิในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3. ก.) เลขที่ 808 ที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ต้น แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 จะขายที่ดินพิพาทและส่งมอบการครอบครองให้แก่โจทก์และโจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมานานประมาณ 20 ปีเศษ ก็ตาม แต่ตราบใดที่ยังมิได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนก็ยังคงถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาท อีกทั้งจำเลยที่ 1 ยังได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 4 รับจำนองที่ดินพิพาทไว้โดยไม่สุจริต จึงได้รับความคุ้มครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง ประกอบกับได้ความว่าจำเลยที่ 6 ผู้ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดเพิ่งทราบว่ามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทหลังจากจำเลยที่ 6 ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดแล้ว ถือได้ว่าจำเลยที่ 6 เป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล สิทธิในที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 6 จึงไม่เสียไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330 จำเลยที่ 6 ย่อมมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ กรณีไม่อาจบังคับตามคำขอให้ที่ดินพิพาทกลับคืนมาเป็นของโจทก์ได้


โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนการออกโฉนดที่ดินพิพาทเลขที่ 5640 เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 4 เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาท และขอให้พิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 808 และให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ หากไม่สามารถเพิกถอนการออกโฉนดที่ดิน เพิกถอนการจำนองและเพิกถอนการขายทอดตลาดได้ ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ราคาที่ดิน 645,450 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ให้การขอให้ยกฟ้อง


ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 626,860 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันที่ 18 สิงหาคม 2563 จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และให้ลดลงเหลืออัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยน โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกานับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปีแต่ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามขอ กับให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้แก่โจทก์ 10,000 บาท ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 และให้โจทก์ชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 โดยกำหนดค่าทนายความให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 รวมกันเป็นเงิน 10,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนจำเลยที่ 4 และที่ 6 ให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาเฉพาะประเด็นที่ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 5 หรือไม่ มีเหตุให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาท และพิพากษาให้ที่ดินพิพาทกลับคืนมาเป็นของโจทก์ได้หรือไม่


ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 มีชื่อเป็นผู้มีสิทธิในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 808 เนื้อที่ 12 ไร่ 22 ตารางวา และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 811 เนื้อที่ 10 ไร่ 2 งาน 8 ตารางวา ต่อมาวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2533 จำเลยที่ 1 ขายที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวและส่งมอบการครอบครองให้แก่โจทก์โดยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จากนั้นเมื่อปี 2539 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ดำเนินการออกโฉนดที่ดินโดยวิธีเปลี่ยนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวเป็นโฉนดที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ตรี โดยออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 5640 และ 5639 ตามลำดับให้แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในขณะนั้น สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 5640 เป็นที่ดินพิพาทในคดีนี้ หลังจากจำเลยที่ 2 และที่ 3 ออกโฉนดที่ดินแล้ว เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2548 จำเลยที่ 2 มีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 ให้มารับโฉนดที่ดินทั้งสองฉบับดังกล่าว ในการขอรับโฉนดที่ดินเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2549 จำเลยที่ 1 แจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 808 และ 811 สูญหายไป แล้วนำรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานไปขอรับโฉนดที่ดินทั้งสองฉบับ ต่อมาวันที่ 27 มกราคม 2553 จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินจากจำเลยที่ 4 จำนวน 196,800 บาท โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทเป็นประกันการชำระหนี้แล้วผิดนัดไม่ชำระหนี้ จำเลยที่ 4 ฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลแขวงพระนครเหนือ เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5018/2554 ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 4 หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาด จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาทำให้ที่ดินพิพาทถูกยึดออกขายทอดตลาด ในการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2561 จำเลยที่ 6 เป็นผู้เสนอราคาสูงสุดและจำเลยที่ 5 เคาะไม้ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 6 ต่อมาวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561 โจทก์ยื่นคำขอเพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาทและที่ดินโฉนดเลขที่ 5639 ต่อจำเลยที่ 3 แต่ถูกยุติเรื่องและจำเลยที่ 3 แจ้งให้โจทก์ไปใช้สิทธิทางศาล ครั้นวันที่ 20 เมษายน 2561 จำเลยที่ 6 วางเงินค่าซื้อทรัพย์ครบถ้วน จำเลยที่ 5 จึงมีหนังสือถึงจำเลยที่ 2 ขอให้จดทะเบียนระงับการจำนองและให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 6 เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2561 จำเลยที่ 2 มีหนังสือแจ้งจำเลยที่ 5 ว่า ที่ดินพิพาทอยู่ระหว่างการพิจารณาเพิกถอนโฉนดที่ดิน และวันที่ 5 มิถุนายน 2561 จำเลยที่ 5 มีหนังสือแจ้งจำเลยที่ 6 ว่าเกิดเหตุขัดข้องในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน เนื่องจากมีข้อโต้แย้งว่ามีการขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ผู้อื่นไปแล้วในขณะที่ที่ดินดังกล่าวมีเอกสารสิทธิเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ในวันเดียวกันจำเลยที่ 5 มีหนังสือถึงจำเลยที่ 2 ขอคำยืนยันการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 6 วันที่ 16 ตุลาคม 2562 โจทก์อุทธรณ์คำสั่งยกคำขอเพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาทและโฉนดที่ดินเลขที่ 5639 แต่จำเลยที่ 3 แจ้งให้โจทก์ไปใช้สิทธิทางศาล


คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาข้อแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 5 หรือไม่ เห็นว่า กระบวนพิจารณาคดีในชั้นบังคับคดีนั้นเมื่อศาลได้ออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีอยู่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานศาลในการดำเนินการบังคับคดีให้เป็นไปตามที่ศาลกำหนดไว้ในหมายบังคับคดีและตามบทบัญญัติในภาค 4 ลักษณะ 2 การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 278 วรรคหนึ่ง ดังนั้น กระบวนวิธีการบังคับคดีในขั้นตอนต่าง ๆ หากเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งต้องเสียหายเพราะเหตุดังกล่าวเห็นว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีบกพร่อง ผิดพลาด หรือฝ่าฝืนต่อกฎหมาย บุคคลดังกล่าวย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลให้สั่งเพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงหรือวิธีการบังคับใด ๆ โดยเฉพาะหรือมีคำสั่งกำหนดวิธีการอย่างใดแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่ศาลเห็นสมควรได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295 วรรคสอง อันเป็นบทกฎหมายที่บัญญัติไว้สำหรับการนี้โดยเฉพาะแล้ว เมื่อโจทก์อ้างว่าการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 5 ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยที่ 1 มิได้เป็นเจ้าของทรัพย์ที่แท้จริงและโฉนดที่ดินพิพาทออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในกรณีเช่นนี้โจทก์จะต้องยื่นคำร้องต่อศาลในคดีเดิมหรือศาลที่ดำเนินการออกหมายบังคับคดี คือ ศาลแขวงพระนครเหนือในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5018/2554 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 7 (2) ประกอบมาตรา 271 เพื่อให้ศาลแขวงพระนครเหนือดำเนินการไต่สวนและมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีต่อไป โจทก์หามีอำนาจที่จะฟ้องเพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทเป็นคดีใหม่ได้ไม่ ถึงแม้ว่าคำฟ้องของโจทก์จะเกี่ยวข้องกับประเด็นการเพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาทด้วยก็ตาม ส่วนเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1 (14) บัญญัติว่า "เจ้าพนักงานบังคับคดี หมายความว่า เจ้าพนักงานในสังกัดกรมบังคับคดีหรือพนักงานอื่นผู้มีอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้อยู่ ในอันที่จะปฏิบัติตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในภาค 4 แห่งประมวลกฎหมายนี้ เพื่อคุ้มครองสิทธิของคู่ความในระหว่างการพิจารณา หรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง และให้หมายความรวมถึงบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าพนักงานบังคับคดีให้ปฏิบัติการแทน" เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงเป็นเจ้าพนักงานที่ต้องปฏิบัติในการที่จะบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลเท่านั้น ไม่มีอำนาจเข้ามาเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือเป็นคู่ความได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 5 ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น


มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อต่อไปว่า มีเหตุให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาท และพิพากษาให้ที่ดินพิพาทกลับคืนมาเป็นของโจทก์ได้หรือไม่ ซึ่งเห็นควรวินิจฉัยรวมกันไป เห็นว่า จำเลยที่ 1 มีชื่อเป็นผู้มีสิทธิในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 808 ที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ต้น แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 จะขายที่ดินพิพาทและส่งมอบการครอบครองให้แก่โจทก์และโจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมานานประมาณ 20 ปีเศษ ดังที่โจทก์กล่าวอ้างก็ตาม แต่ตราบใดที่ยังมิได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนก็ยังคงถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาท อีกทั้งจำเลยที่ 1 ยังได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ด้วย เมื่อต่อมาจำเลยที่ 3 ออกโฉนดที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ผู้มีชื่อเป็นผู้มีสิทธิในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ตรี อันมิใช่เป็นการออกโฉนดที่ดินเฉพาะรายตามคำขอของจำเลยที่ 1 การออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการออกโฉนดที่ดินที่ชอบด้วยกฎหมายจนกว่าจะมีการพิสูจน์สิทธิครอบครองและโฉนดที่ดินดังกล่าวถูกเพิกถอนหรือแก้ไขโดยอธิบดีกรมที่ดินหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย ซึ่งดำรงตำแหน่งรองอธิบดีหรือผู้ตรวจราชการกรมที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 หรือโดยคำพิพากษาของศาล ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 4 รับจำนองที่ดินพิพาทไว้โดยไม่สุจริต จึงได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง ต่อมาเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้จำนอง และเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้แก่จำเลยที่ 4 ซึ่งในขณะนั้นโฉนดที่ดินพิพาทก็ยังมิได้ถูกเพิกถอนหรือดำเนินการแก้ไขโดยการจดทะเบียนให้แก่โจทก์ให้ตรงตามความเป็นจริงตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ประกอบกับได้ความว่าจำเลยที่ 6 ผู้ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดเพิ่งทราบว่ามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2561 หลังจากจำเลยที่ 6 ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลแล้ว ดังนี้ กรณีถือได้ว่าจำเลยที่ 6 เป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล สิทธิในที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 6 จึงไม่เสียไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 จำเลยที่ 6 ย่อมมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ กรณีไม่อาจบังคับตามคำขอให้ที่ดินพิพาทกลับคืนมาเป็นของโจทก์ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ


📌 คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8186/2551

ประเด็น: โต้แย้งการบังคับคดี

หลักการ: บุคคลภายนอกที่เสียหายจากการบังคับคดี ต้องยื่นคำร้องในคดีบังคับคดีเดิมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 295 วรรคสอง ไม่อาจฟ้องเป็นคดีใหม่ได้

ที่มา: คำพิพากษาศาลฎีกา เล่ม 63 ตอน 6 หน้า 253

2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4840/2547

ประเด็น: การเพิกถอนการขายทอดตลาด

หลักการ: ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดโดยสุจริตย่อมได้รับความคุ้มครองสิทธิ แม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าผู้ขายมิใช่เจ้าของที่แท้จริง กฎหมายรับรองสิทธิของผู้ซื้อโดยสุจริตตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330

ที่มา: คำพิพากษาศาลฎีกา เล่ม 60 ตอน 7 หน้า 341

3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3175/2539

ประเด็น: สิทธิผู้ซื้อโดยสุจริต

หลักการ: ผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์โดยสุจริตจากการขายทอดตลาดได้รับการคุ้มครอง แม้สิทธิของผู้ขายจะมีปัญหา เพราะเป็นการสร้างความมั่นคงแก่การซื้อขายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330

ที่มา: คำพิพากษาศาลฎีกา เล่ม 52 ตอน 5 หน้า 178

4. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1425/2549

ประเด็น: ข้อสันนิษฐานสิทธิครอบครอง

หลักการ: ผู้มีชื่อในเอกสารสิทธิ เช่น น.ส.3 ก. หรือโฉนดที่ดิน ย่อมได้รับข้อสันนิษฐานว่าเป็นผู้ครอบครองและมีสิทธิในที่ดินตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่ามีการได้สิทธิของผู้อื่นโดยไม่สุจริต

ที่มา: คำพิพากษาศาลฎีกา เล่ม 62 ตอน 3 หน้า 115

5. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5982/2542

ประเด็น: การคุ้มครองผู้รับจำนองสุจริต

หลักการ: ผู้รับจำนองที่รับโดยสุจริตย่อมได้รับความคุ้มครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง แม้ว่าผู้จำนองจะไม่มีสิทธิที่แท้จริงก็ตาม หากไม่ได้มีการพิสูจน์ความไม่สุจริตของผู้รับจำนอง

ที่มา: คำพิพากษาศาลฎีกา เล่ม 55 ตอน 4 หน้า 201

✅ สรุป

จากทั้ง 5 ฎีกาข้างต้น ศาลฎีกามีแนวทางที่ชัดเจนว่า

การโต้แย้งการบังคับคดี → ต้องใช้ช่องทาง มาตรา 295 ป.วิ.พ. (เช่น ฎีกา 8186/2551)

ผู้ซื้อโดยสุจริตจากการขายทอดตลาด → ได้รับการคุ้มครองตาม มาตรา 1330 ป.พ.พ. (เช่น ฎีกา 4840/2547, 3175/2539)

ผู้มีชื่อในเอกสารสิทธิ → ย่อมได้รับข้อสันนิษฐานสิทธิครอบครองตาม มาตรา 1373 ป.พ.พ. (เช่น ฎีกา 1425/2549)

 

ผู้รับจำนองโดยสุจริต → ได้รับความคุ้มครองตาม มาตรา 1299 ป.พ.พ. (เช่น ฎีกา 5982/2542)




การบังคับคดีตามคำพิพากษา

คดีซื้อขายที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 และการบังคับคดี (ฎีกา 1279/2568)
เพิกถอนขายทอดตลาด & ไม่รับฎีกา, วางเงินประกัน, (ฎีกา ครพ.1072/2567)
สิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่าไม่มีเอกสารสิทธิไม่อยู่ในบังคับคดี ม.301(5) ป.วิ.พ. (ฎีกา 900/2568)
สิทธิของเจ้าหนี้ & การขัดกันของคำพิพากษา, บังคับคดี, ทรัพยสิทธิ, (ฎีกา 674/2566)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5357/2567: การตีความสถานะ “บริวารของจำเลย” และอำนาจพิเศษในการครอบครอง article
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5437/2567: สิทธิหักส่วนได้ใช้แทนของเจ้าหนี้ผู้รับจำนอง และการเพิกถอนการขายทอด
บทบาทและอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดี และกระบวนการบังคับคดีตามกฎหมายไทย
คำพิพากษาศาลฎีกา 367/2568: บ้านบนที่ดินรกร้าง ยึดขายชำระหนี้ได้หรือไม่?
สินส่วนตัว vs สินสมรส & บังคับคดี, ยึดทรัพย์, การปล่อยทรัพย์, (ฎีกา 372/2567)
จดทะเบียนหย่าหลีกเลี่ยงบังคับคดี โมฆะกรรมเจ้าหนี้ไม่อาจฟ้อง (ฎีกา 1241/2567)
จำเลยมีสิทธิรับมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง, โจทก์มีสิทธิยึดชำระหนี้ได้แม้ยังเป็นชื่อผู้จัดการมรดก, การยึดทรัพย์มรดก, การบังคับคดี
การขายทอดตลาดที่ดิน, การประมูลซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาด, ความไม่สุจริตในการประมูลซื้อที่ดิน, การขับไล่ผู้คัดค้านออกจากที่ดิน,
เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดิน, อำนาจฟ้อง, การฟ้องร้องละเมิดเจ้าพนักงานบังคับคดี, คดีการขายทอดตลาดในราคาต่ำกว่าปกติ
ลำดับการนับโทษคดีอาญา, การนับโทษจำคุกต่อเนื่อง, การแก้ไขหมายจำคุก,
คำร้องงดการบังคับคดี, การเพิกถอนการบังคับคดี, การขายทอดตลาดทรัพย์สิน
ทรัพย์สินของแผ่นดิน, เงินอุดหนุนจากรัฐและการยกเว้นการอายัด, หน่วยงานของรัฐกับการบังคับคดี
ผู้รับจำนองมีสิทธิบังคับจำนองแม้หนี้ประธานขาดอายุความแล้วแต่ต้องบังคับคดีภายในสิบปี
ยึดทรัพย์แล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย, ค่าธรรมเนียมการยึดหรือการบังคับคดี, อำนาจเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นให้รื้อถอนอาคาร
คำขอไต่สวนทรัพย์สินของลูกหนี้, บังคับคดีลูกหนี้ตามคำพิพากษา, การยึดทรัพย์สินลูกหนี้
ขอให้เพิกถอนการบังคับคดี, ชำระหนี้ตามคำพิพากษาครบถ้วนแล้ว
โจทก์ขอบังคับคดีค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรในจำนวนที่มากกว่าเงินเหลือจากหักค่าใช้จ่าย
ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความโจทก์ออกหมายบังคับคดีได้
ขายทอดตลาดทรัพย์สินซึ่งจำนอง
สิทธิร้องขอให้ปล่อยที่ดินที่โจทก์นำยึด(ร้องขัดทรัพย์)
ขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าซื้อทรัพย์ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี
ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาด | ฟ้องขับไล่
เขตอำนาจศาลเรื่องคำร้องขัดทรัพย์
สิทธิขอกันส่วนที่ดินก่อนขายทอดตลาด เจ้าของรวม ขอให้ปล่อยทรัพย์
หากผู้กู้นำทรัพย์สินมาตีใช้หนี้แก่ผู้ให้กู้ในราคาท้องตลาดหนี้ระงับ
ขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ระงับการมีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับสามี
การบังคับคดีอายัดเงินค่าหุ้นของสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ฯ
เงินเดือนข้าราชการไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีหรืออายัดไม่ได้จริงหรือไม่?
ขอให้เพิกถอนการฉ้อฉล ขอออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์
อายัดเงินที่บุคคลภายนอกจะต้องชำระให้แก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้มีอำนาจขอให้บังคับคดีคือเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
อายัดเงินฝากในบัญชีของจำเลย
บังคับจำนองเมื่อพ้น 10 ปีนับแต่มีคำพิพากษา