
| ลูกจ้างลักทรัพย์นายจ้าง & การบรรเทาโทษ,มาตรา 335, มาตรา 352, (ฎีกา 5658/2567)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับความผิดฐานลูกจ้างร่วมกันลักทรัพย์นายจ้าง โดยจำเลยทั้งสองใช้ตำแหน่งหน้าที่และสิทธิในระบบขายสินค้าโอนทรัพย์ของนายจ้างไปขายต่ำกว่าราคาจริงเพื่อปกปิดความผิด ศาลฎีกาวินิจฉัยชัดว่าเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ มิใช่ยักยอกตามที่จำเลยฎีกา และแม้โทษจะร้ายแรง แต่ศาลเห็นควรบรรเทาโทษลงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 สรุปข้อเท็จจริง • จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานขาย และจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการของบริษัทโจทก์ • จำเลยที่ 2 ใช้สิทธิพิเศษในระบบโอนสิทธิการเข้าถึงโปรแกรมไปยังคลังสินค้าบริษัทอื่น • จำเลยทั้งสองร่วมกันนำบัตรเติมเงินและโทรศัพท์มือถือของโจทก์ไปขายต่ำกว่าราคาจริง โดยเปิดบิลปลอมเพื่อตัดของออกจากระบบ • ความเสียหายรวม 2,360,630 บาท โดยจำเลยคืนเงินเพียง 150,000 บาท ประเด็นกฎหมายสำคัญของคดีนี้เกี่ยวข้องกับการแยกแยะว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็น “ลักทรัพย์” (มาตรา 334, 335) หรือเป็น “ยักยอกทรัพย์” (มาตรา 352) โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยมีเพียงสิทธิยึดถือแทนนายจ้าง ไม่ใช่ผู้ครอบครองทรัพย์ตามกฎหมาย จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ที่เป็นทรัพย์ของนายจ้าง ไม่ใช่ยักยอก มาตรากฎหมายสำคัญที่ใช้วินิจฉัยในคดีนี้ 1. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) (11) วรรคสอง ใช้กำหนดฐานความผิด “ลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้าง” และลักษณะพิเศษที่ทำให้โทษหนักขึ้น 2. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 กำหนดความผิดฐานลักทรัพย์โดยทั่วไป ซึ่งเป็นพื้นฐานก่อนพิจารณาเหตุเพิ่มโทษในมาตรา 335 3. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคหนึ่ง นำมาใช้เพื่อวินิจฉัยว่าเข้าข่าย “ยักยอก” หรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ไม่เข้า เนื่องจากจำเลยไม่ได้มีฐานะเป็นผู้ครอบครองทรัพย์ตามกฎหมาย 4. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ใช้กำหนดความผิดฐาน “ร่วมกันกระทำความผิด” 5. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ใช้ลดโทษกึ่งหนึ่งเมื่อจำเลยรับสารภาพ 6. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง เกี่ยวกับข้อจำกัดของฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ศาลฎีกายังมีอำนาจพิจารณาความเหมาะสมของโทษเมื่อรับวินิจฉัยฎีกาในข้อกฎหมายแล้ว คีย์เวิร์ดหลักของคดีนี้พร้อมขยายความสั้น ๆ 1. “สิทธิยึดถือแทนครอบครอง” จำเลยมีเพียงสิทธิดูแลรักษาทรัพย์ในฐานะลูกจ้าง ไม่ใช่ผู้ครอบครองตามกฎหมาย ดังนั้นจึงไม่ใช่กรณียักยอก แต่เป็นลักทรัพย์จากนายจ้าง 2. “ลักทรัพย์นายจ้าง” การนำสินค้าออกจากระบบ โอนสินค้าไปยังคลังอื่น และขายต่ำกว่าราคาจริงโดยทุจริต ถือเป็นการลักทรัพย์ในความครอบครองของนายจ้างตามมาตรา 335 วรรคสอง 3. “ไม่ใช่ยักยอก” ศาลย้ำว่าความผิดฐานยักยอกต้องเป็นกรณีผู้กระทำมีสถานะ “ผู้ครอบครองทรัพย์” แต่จำเลยมีเพียงสิทธิยึดถือชั่วคราว จึงไม่เข้าองค์ประกอบความผิดยักยอก 4. “ร่วมกันกระทำความผิดโดยใช้ระบบโปรแกรม” การใช้สิทธิพิเศษของผู้จัดการในการแก้ไขสิทธิผู้ใช้ระบบเพื่อโอนสินค้าออกจากคลัง เป็นพฤติการณ์ร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้เทคนิคปกปิดร่องรอย 5. “ศาลฎีกาปรับโทษเบาลง” แม้เป็นคดีร้ายแรง แต่จำเลยคืนเงินบางส่วนและรับสารภาพ ศาลฎีกาจึงปรับโทษจากจำคุก 4 ปี 12 เดือน เหลือ 2 ปี 12 เดือน โดยใช้ดุลพินิจลดโทษตามมาตรา 78 คำวินิจฉัยของศาล • ศาลชั้นต้น: ลงโทษตามมาตรา 335 (7) (11) จำคุกคนละ 10 ปี ลดโทษครึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 เหลือ 4 ปี 12 เดือน • ศาลอุทธรณ์ภาค 4: พิพากษายืน • ศาลฎีกา: วินิจฉัยว่า การกระทำเป็นการลักทรัพย์ มิใช่ยักยอก เพราะลูกจ้างมีสิทธิเพียงยึดถือแทนนายจ้าง สิทธิครอบครองยังคงอยู่ที่นายจ้าง • ศาลฎีกาพิพากษาแก้ ลดโทษจำคุกเหลือคนละ 2 ปี 12 เดือน การวิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 1. ความแตกต่างระหว่างลักทรัพย์กับยักยอก o ลักทรัพย์ (มาตรา 335): ผู้กระทำไม่มีสิทธิครอบครอง เป็นเพียงผู้ถือแทนเจ้าของ o ยักยอก (มาตรา 352): ผู้กระทำมีสิทธิครอบครองแล้วเบียดบังไป o ในคดีนี้ ลูกจ้างมีสิทธิแค่ถือครองแทน ไม่ใช่ครอบครองเอง → เป็นลักทรัพย์ 2. การบรรเทาโทษตามมาตรา 78 o จำเลยรับสารภาพและคืนเงินบางส่วน → ศาลลดโทษให้ครึ่งหนึ่ง 3. หลักการลงโทษหลายกรรม (มาตรา 91) o ศาลลงโทษทุกกรรมแยกกระทง → คงหลักการบทลงโทษหลายกรรม IRAC Analysis Issue (ประเด็น): การกระทำของลูกจ้างถือเป็น “ลักทรัพย์” หรือ “ยักยอก” ตามประมวลกฎหมายอาญา Rule (กฎหมาย): • มาตรา 335 วรรคสอง (ลักทรัพย์โดยลูกจ้าง) • มาตรา 352 (ยักยอก) • มาตรา 78 (บรรเทาโทษเมื่อรับสารภาพ) Application (การปรับใช้): จำเลยมีหน้าที่ดูแลทรัพย์แทนนายจ้าง ไม่ได้ครอบครองเอง การนำสินค้าไปขายต่ำกว่าราคาจริงและตัดออกจากระบบเป็นการลักทรัพย์ ไม่ใช่ยักยอก แม้ความเสียหายสูง แต่เมื่อจำเลยบรรเทาผลร้ายและรับสารภาพ ศาลลดโทษตามมาตรา 78 Conclusion (ข้อสรุป): ศาลฎีกาพิพากษาว่าเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 335 และลดโทษเหลือจำคุกคนละ 2 ปี 12 เดือน ข้อคิดทางกฎหมาย • ลูกจ้างที่ถือครองทรัพย์แทนนายจ้าง หากนำไปโดยทุจริต → เข้าข่ายลักทรัพย์ ไม่ใช่ยักยอก • ความแตกต่างของ “สิทธิครอบครอง” และ “สิทธิยึดถือแทน” มีผลโดยตรงต่อการกำหนดความผิด • ศาลสามารถลดโทษได้เมื่อจำเลยรับสารภาพและบรรเทาความเสียหาย แม้ค่าเสียหายจริงจะยังสูงก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5658/2567 จำเลยทั้งสองเป็นลูกจ้างของโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 มีตำแหน่งเป็นพนักงานขาย ส่วนจำเลยที่ 2 มีตำแหน่งเป็นผู้จัดการ จำเลยที่ 2 มีสิทธิพิเศษสามารถเข้าสู่ระบบของทุกแผนก รวมทั้งสามารถโอนสิทธิในการเข้าสู่ระบบโปรแกรมของพนักงานคนอื่นไปยังแผนกอื่นหรือไปยังคลังสินค้าอื่น ๆ ได้ จำเลยทั้งสองซึ่งมีหน้าที่จัดการดูแลและจัดการขายสินค้าของโจทก์ร่วมกันโอนสินค้าจากคลังสินค้าของโจทก์ผ่านระบบโปรแกรมที่ควบคุมการเบิกจ่ายสินค้าไปไว้ในคลังสินค้าของบริษัท ธ. และให้จำเลยที่ 1 ตัดขายสินค้าที่ถูกลักไปให้หายออกจากระบบของโจทก์ จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิเพียงยึดถือดูแลไว้แทนนายจ้างชั่วเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น สิทธิครอบครองยังคงอยู่ที่โจทก์ การที่จำเลยทั้งสองเอาสินค้าของโจทก์ไปขายต่ำกว่าราคาที่แท้จริงโดยทุจริต จึงเป็นการร่วมกันลักทรัพย์ของโจทก์ที่เป็นนายจ้าง หาใช่กรณีที่จำเลยทั้งสองได้รับมอบหมายจากโจทก์ให้เป็นผู้ครอบครองสินค้าของโจทก์ แล้วเบียดบังเอาเงินที่ขายสินค้าของโจทก์ไปโดยทุจริต อันเป็นความผิดฐานร่วมกันยักยอกตาม ป.อ. มาตรา 352 วรรคหนึ่ง ไม่ แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ขอให้ลงโทษสถานเบาเนื่องจากต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่เมื่อศาลฎีการับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยทั้งสองในปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณาว่าศาลอุทธรณ์ภาค 4 ลงโทษจำเลยทั้งสองเหมาะสมหรือไม่ เพียงใด และเห็นสมควรลงโทษจำเลยทั้งสองเบาลงได้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 334, 335 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับรับฟ้อง จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) (11) (ที่ถูก วรรคสองด้วย) ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุกคนละ 10 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยทั้งสองกระทงละ 2 ปี 6 เดือน รวม 2 กระทง เป็นจำคุกคนละ 4 ปี 12 เดือน คำขออื่นให้ยก จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยทั้งสองเฉพาะที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับมาว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดฐานร่วมกันยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 หรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาอ้างว่า พยานหลักฐานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องรับฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่ใช่การลักทรัพย์ แต่เป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ของโจทก์คือการยักยอกเงินที่ขายสินค้าของโจทก์ได้นั้น เห็นว่า ความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ต้องปรากฏว่าผู้กระทำความผิดเป็นผู้ครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย แล้วเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต สำหรับคดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความตามคำฟ้องและตามทางไต่สวนพยานโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองเป็นลูกจ้างของโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 มีตำแหน่งเป็นพนักงานขาย ส่วนจำเลยที่ 2 มีตำแหน่งเป็นผู้จัดการของโจทก์สาขา จังหวัดกาฬสินธุ์ ตามวันและเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ร่วมกับพนักงานอื่นของโจทก์เบิกสินค้าประเภทบัตรเติมเงินโทรศัพท์ และโทรศัพท์เคลื่อนที่หลายรุ่นหลายยี่ห้อหลายรายการของโจทก์จากคลังสินค้าหลักของโจทก์และรับสินค้าดังกล่าวมาเพื่อเสนอขายให้แก่ลูกค้าของโจทก์ โดยผ่านระบบโปรแกรมจีทีโมบาย (GT - Mobile) ซึ่งเป็นระบบควบคุมการเบิกจ่ายสินค้า การโอนสินค้าและจำหน่ายสินค้า ซึ่งพนักงานของโจทก์รวมทั้งจำเลยทั้งสองจะมีรหัสผ่านเป็นของตนเอง แต่จำเลยที่ 2 มีสิทธิพิเศษตำแหน่งผู้จัดการที่สามารถเข้าสู่ระบบของทุกแผนก รวมทั้งสามารถโอนสิทธิในการเข้าสู่ระบบโปรแกรมของพนักงานคนอื่นไปยังแผนกอื่นหรือไปยังคลังสินค้าอื่น ๆ ได้ แล้วจำเลยทั้งสองร่วมกันเอาทรัพย์ดังกล่าวของโจทก์ไป โดยจำเลยทั้งสองได้โอนสินค้าดังกล่าวทางระบบโปรแกรมจีทีโมบาย (GT - Mobile) จากคลังสินค้าของโจทก์ไปไว้ในคลังสินค้าของบริษัท ธ. ซึ่งไม่ใช้งานแล้ว จากนั้นจำเลยที่ 2 อาศัยสิทธิตำแหน่งผู้จัดการสาขาโยกย้ายแก้ไขสิทธิของจำเลยที่ 1 ไปยังคลังสินค้าของบริษัท ธ. ที่ได้รับโอนสินค้าไปเพื่อให้จำเลยที่ 1 เข้าไปรับโอนสินค้าของโจทก์ดังกล่าว และจำเลยที่ 1 ทำการเปิดบิลขายสินค้าของโจทก์ในนามบริษัท ธ. ในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่แท้จริงโดยใช้ชื่อร้าน ส. โดยไม่ได้มีการซื้อขายกันจริง เพื่อตัดขายสินค้าที่ถูกลักไปให้หายออกจากระบบและเพื่อปกปิดมิให้โจทก์ตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นการใช้กลวิธีในการลักสินค้าของโจทก์ให้เป็นผลสำเร็จแล้วทุจริตนำเงินค่าสินค้านั้นไป จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ ที่มีหน้าที่ในการจัดการดูแลสินค้าและจัดการขายสินค้าของโจทก์ จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิเพียงยึดถือดูแลไว้แทนนายจ้างชั่วเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น สิทธิครอบครองยังคงอยู่ที่โจทก์ การที่จำเลยทั้งสองเอาสินค้าของโจทก์ไปขายต่ำกว่าราคาที่แท้จริงโดยทุจริต จึงเป็นการร่วมกันลักทรัพย์ของโจทก์ที่เป็นนายจ้างแล้ว หาใช่กรณีที่จำเลยทั้งสองได้รับมอบหมายจากโจทก์ให้เป็นผู้ครอบครองสินค้าของโจทก์ แล้วเบียดบังเอาเงินที่ขายสินค้าของโจทก์ไปโดยทุจริต อันเป็นความผิดฐานร่วมกันยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคหนึ่ง ไม่ เมื่อจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตามฟ้อง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้างตามมาตรา 335 (7) (11) วรรคสอง ตามฟ้องแล้ว ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบานั้น แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองเนื่องจากเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ก็ตาม แต่เมื่อศาลฎีกาได้รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยทั้งสองข้ออื่นในปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณาด้วยว่าโทษที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ลงโทษแก่จำเลยทั้งสองเหมาะสมหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า แม้การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองเป็นเรื่องร้ายแรง เนื่องจากจำเลยทั้งสองเป็นลูกจ้างของโจทก์ซึ่งได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากโจทก์ให้ปฏิบัติหน้าที่ ร่วมกันลักทรัพย์ของโจทก์ที่เป็นนายจ้างคิดเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 2,360,630 บาท แต่จำเลยทั้งสองได้พยายามบรรเทาผลร้าย โดยจำเลยที่ 1 ชำระเงิน 130,000 บาท และจำเลยที่ 2 ชำระเงิน 20,000 บาท แก่โจทก์ รวมเป็นเงิน 150,000 บาท แม้เป็นจำนวนไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับความเสียหายที่โจทก์ได้รับก็ตาม แต่การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองทุกกระทงความผิด รวม 2 กระทง กระทงละ 5 ปี มานั้น หนักเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรลงโทษจำเลยทั้งสองให้เบาลงกว่านี้ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 3 ปี รวม 2 กระทง ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกกระทงละ 1 ปี 6 เดือน รวม 2 กระทง เป็นจำคุกคนละ 2 ปี 12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 แนวคำถาม - ธงคำตอบ ข้อ 1 ในกรณีที่ลูกจ้างของบริษัทเอกชนสองคน คือพนักงานขายและผู้จัดการสาขา มีหน้าที่จัดการดูแลและขายสินค้าของนายจ้าง โดยได้รับมอบสิทธิการใช้ระบบควบคุมการเบิกสินค้า การโอนสินค้า และการจำหน่ายสินค้า แต่ลูกจ้างทั้งสองร่วมกันใช้สิทธิในระบบดังกล่าวโอนสินค้าของบริษัทไปยังคลังสินค้าของบุคคลภายนอก แล้วแก้ไขสิทธิผู้ใช้งานระบบเพื่อให้ลูกจ้างคนหนึ่งสามารถเข้าไปตัดขายสินค้าในราคาต่ำกว่าจริงเพื่อทำให้สินค้า “หายไปจากระบบ” พร้อมกันนั้นยังนำเงินค่าสินค้าไปโดยมิได้นำส่งคืนแก่นายจ้าง การกระทำเช่นนี้ ลูกจ้างทั้งสองจะมีความผิดฐานใดระหว่าง “ลักทรัพย์นายจ้าง” กับ “ยักยอกทรัพย์นายจ้าง” และต้องใช้หลักกฎหมายมาตราใดในการวินิจฉัยให้ถูกต้อง ธงคำตอบ ความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ต้องอาศัยข้อเท็จจริงว่าผู้กระทำความผิดมีฐานะเป็น “ผู้ครอบครองทรัพย์ตามกฎหมาย” แล้วเบียดบังทรัพย์นั้นไปโดยทุจริต แต่ในคดีนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พนักงานขายและผู้จัดการสาขามีเพียงสิทธิ “ยึดถือทรัพย์แทนนายจ้าง” ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น สิทธิครอบครองยังคงอยู่กับนายจ้าง ไม่ได้โอนมาเป็นของพนักงานตามองค์ประกอบความผิดยักยอก เมื่อทั้งสองร่วมกันโอนสินค้าออกจากคลังของนายจ้างไปยังคลังที่มิใช่สถานที่ทางการค้าจริง แล้วตัดขายออกจากระบบเพื่อปกปิดร่องรอย จึงเป็นการ “ลักทรัพย์ของนายจ้าง” ตามมาตรา 335 (7) (11) วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 และไม่เป็นยักยอกตามมาตรา 352 การเปลี่ยนสถานะของทรัพย์ด้วยการใช้ระบบคอมพิวเตอร์จึงถือเป็นกลวิธีประกอบการลักทรัพย์ ไม่ใช่การกระทำในฐานะผู้ครอบครองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ข้อ 2 เมื่อลูกจ้างผู้จัดการสาขามีสิทธิพิเศษเหนือกว่าพนักงานทั่วไป เช่น สามารถเข้าระบบทุกแผนก แก้ไขสิทธิผู้ใช้ และโอนสินค้าได้หลายคลัง หากลูกจ้างผู้นี้ใช้ตำแหน่งหน้าที่และสิทธิพิเศษดังกล่าวในการอำนวยความสะดวกแก่การลักทรัพย์ของตนเองและพนักงานร่วม ทำให้เกิดการปกปิดการโอนและการตัดขายสินค้าได้จนสำเร็จ ผู้จัดการดังกล่าวจะมีความผิดเพิ่มขึ้นจากการเป็นเพียงผู้ลงมือร่วมลักทรัพย์หรือไม่ และการใช้ตำแหน่งหน้าที่ในลักษณะดังกล่าวมีผลต่อพฤติการณ์ที่ศาลใช้ประกอบการวินิจฉัยความผิดหรือโทษอย่างไร ธงคำตอบ การที่ผู้จัดการสาขามีสิทธิพิเศษในการเข้าระบบและแก้ไขข้อมูล มิได้ทำให้ฐานความผิดเพิ่มขึ้นเป็นความผิดอื่นนอกจาก “ร่วมกันลักทรัพย์” แต่มีผลต่อ “น้ำหนักพฤติการณ์” ที่ศาลใช้พิจารณาความร้ายแรงของการกระทำ เพราะการใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อเอื้อให้การลักทรัพย์เป็นผลสำเร็จสะท้อนถึงความไว้วางใจที่นายจ้างให้แก่ผู้จัดการ แล้วผู้จัดการกลับนำความไว้วางใจดังกล่าวไปใช้เพื่อกระทำผิด ศาลฎีกาจึงถือว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างโดยมีพฤติการณ์ทุจริตชัดเจน เป็นความผิดตามมาตรา 335 (7) (11) วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 โดยผู้จัดการใช้ตำแหน่งหน้าที่เป็นเครื่องมือในการปกปิดทรัพย์และทำลายระบบควบคุมของนายจ้าง พฤติการณ์นี้เป็นเหตุให้โทษหนักในชั้นต้น แม้ภายหลังศาลฎีกาจะปรับลดโทษเพราะจำเลยชดใช้บางส่วน แต่ก็ยังถือว่าเป็นการกระทำที่ร้ายแรงจากตำแหน่งหน้าที่ ข้อ 3 ในการพิจารณาคดีอาญา หากจำเลยอ้างว่าการกระทำของตนเป็นยักยอกมิใช่ลักทรัพย์ และอ้างพยานไต่สวนมูลฟ้องว่าทรัพย์สินที่นำออกจากระบบนั้นเป็นทรัพย์ที่ตนได้รับมอบหมายให้ครอบครองในฐานะพนักงานขาย จึงควรเป็นความผิดฐานยักยอกตามมาตรา 352 ศาลต้องใช้หลักเกณฑ์ใดในการวินิจฉัยว่า “ลูกจ้างเป็นเพียงผู้ยึดถือแทนครอบครอง” หรือ “ผู้ครอบครองทรัพย์ตามกฎหมาย” และเหตุใดพฤติการณ์ในคดีนี้จึงไม่เข้าลักษณะยักยอก ธงคำตอบ ศาลใช้หลักแยก “ผู้ครอบครองทรัพย์ตามกฎหมาย” ออกจาก “ผู้ยึดถือแทนครอบครอง” โดยพิจารณาจากว่าบุคคลนั้นมีอำนาจควบคุมทรัพย์ในฐานะใด มอบหมายสิทธิครอบครองหรือเพียงสิทธิถือแทน ในคดีนี้พนักงานขายและผู้จัดการมีหน้าที่เพียงเบิกสินค้าเพื่อขายให้ลูกค้าและดูแลสินค้า ไม่ได้มีสิทธิกำหนดกรรมสิทธิ์หรือผลประโยชน์ในสินค้า และไม่มีอำนาจการครอบครองตามกฎหมาย การมีรหัสผ่านเข้าใช้ระบบก็เป็นเพียงสิทธิในการปฏิบัติงาน ไม่ใช่สิทธิครอบครองทรัพย์ ดังนั้น เมื่อจำเลยนำสินค้าไปขายและตัดออกจากระบบโดยทุจริต จึงเป็นการลักทรัพย์นายจ้าง มิใช่ยักยอก เพราะองค์ประกอบเรื่อง “ผู้ครอบครอง” ตามมาตรา 352 ไม่ปรากฏ ศาลฎีกาจึงตัดสินว่าการกระทำเข้ามาตรา 335 วรรคสอง และไม่เข้ามาตรา 352 แม้จำเลยจะอ้างว่ามีหน้าที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโดยตรงก็ตาม ข้อ 4 เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกกระทงละ 5 ปี โดยไม่รับฎีกาเรื่องโทษสถานเบาของจำเลยเนื่องจากเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง แต่เมื่อศาลฎีการับวินิจฉัยฎีกาในประเด็นข้อกฎหมายแล้ว ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาโทษสถานเบาด้วยหรือไม่ และการที่จำเลยคืนเงินบางส่วนแก่โจทก์มีผลอย่างไรต่อการลดโทษตามกฎหมาย ธงคำตอบ แม้เรื่องการลงโทษสถานเบาจะเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและต้องห้ามตามมาตรา 218 วรรคหนึ่ง แต่เมื่อศาลฎีการับวินิจฉัยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายแล้ว ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิจารณาความเหมาะสมของโทษด้วยตามหลักดุลพินิจ แม้ไม่ใช่ประเด็นที่ศาลชั้นต้นรับมา ดังนั้น ศาลฎีกาใช้ดุลพินิจพิจารณาว่าการลงโทษจำคุก 5 ปีต่อกระทงของศาลล่างนั้นหนักเกินไปเมื่อเทียบกับพฤติการณ์ แม้ความผิดร้ายแรง แต่จำเลยได้คืนเงินบางส่วนจำนวน 150,000 บาท และรับสารภาพ ศาลจึงลดโทษตามมาตรา 78 เหลือกระทงละ 1 ปี 6 เดือน รวม 2 กระทง เป็นจำคุกคนละ 2 ปี 12 เดือน การชดใช้ความเสียหายแม้เพียงบางส่วนจึงเป็นปัจจัยที่ศาลใช้ประกอบการลดโทษและสะท้อนถึงความพยายามบรรเทาผลร้ายตามกฎหมาย ข้อ 5 กรณีที่พนักงานร่วมกันใช้ระบบภายในของบริษัทในการลักสินค้า โดยโอนสินค้าออกจากคลังเดิม เปลี่ยนสิทธิการเข้าระบบ และทำบิลขายปลอมในราคาต่ำกว่าจริงเพื่อให้สินค้าหายจากระบบ การกระทำดังกล่าวจะถือว่าเป็นการใช้ “กลวิธีพิเศษในการลักทรัพย์” ซึ่งมีผลเพิ่มโทษตามกฎหมายหรือไม่ และการใช้ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อปกปิดการลักทรัพย์มีผลต่อการตีความฐานความผิดอย่างไร ธงคำตอบ การใช้ความสามารถเข้าถึงระบบพิเศษและทำบิลเท็จไม่ได้ทำให้ฐานความผิดเปลี่ยนไปหรือเพิ่มโทษตามบทบัญญัติที่สูงกว่ามาตรา 335 (7) (11) แต่เป็นพฤติการณ์ประกอบซึ่งแสดงถึงความซับซ้อนในการลักทรัพย์และความทุจริตอย่างเป็นระบบ ศาลถือว่าวิธีการดังกล่าวเป็นเพียงกลไกช่วยให้การลักทรัพย์สำเร็จสมบูรณ์ ไม่ใช่การกระทำที่ทำให้ฐานความผิดเปลี่ยนเป็นยักยอกหรือความผิดอื่น การใช้ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อปกปิดร่องรอยจึงยังอยู่ในกรอบความผิด “ลักทรัพย์นายจ้าง” ตามมาตรา 335 วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 การกระทำไม่ได้รับสิทธิครอบครองตามมาตรา 352 จึงไม่เข้ายักยอก การทำบิลปลอมและการโอนข้อมูลเป็นเพียงวิธีปิดบังที่เพิ่มน้ำหนักความร้ายแรง ซึ่งศาลพิจารณาในชั้นกำหนดโทษ แต่ไม่ทำให้เปลี่ยนองค์ประกอบความผิดเดิม |




.jpg)