
| คดีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ & ค่าเสียหายสิ่งแวดล้อม (ฎีกา 6009/2567)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับคดีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติและการเรียกค่าเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติ โดยจำเลยให้การรับสารภาพทั้งคดีอาญาและแพ่ง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยยอมรับค่าเสียหายแล้ว ศาลไม่มีอำนาจหยิบยกเรื่องดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยใหม่ ทั้งยังเห็นควรลดโทษจำคุกเป็นการรอการลงโทษ พร้อมปรับเงินและกำหนดเงื่อนไขคุมความประพฤติ เพื่อเน้นการฟื้นฟูและแก้ไขพฤติกรรมของจำเลยแทนการลงโทษจำคุกโดยตรง ข้อเท็จจริงโดยสรุป • โจทก์ (กรมป่าไม้) ฟ้องจำเลยว่าบุกรุกครอบครองป่าสงวนแห่งชาติ สร้างสิ่งปลูกสร้างและเลี้ยงวัวในพื้นที่หวงห้าม • อ้างความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 และ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 พร้อมเรียกค่าเสียหาย 552,436.80 บาท และดอกเบี้ย • จำเลย รับสารภาพทั้งคดีอาญาและแพ่ง • ศาลชั้นต้น พิพากษาจำคุก 1 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือ 6 เดือน พร้อมชำระค่าเสียหายและดอกเบี้ย • ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาจำคุก 9 เดือน ลดเหลือ 4 เดือน 15 วัน พร้อมปรับดอกเบี้ย 2 ช่วง (7.5% และ 5%) • จำเลยฎีกา ขอรอการลงโทษ ประเด็นสำคัญที่สุดของคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6009/2567 ใช้กฎหมายหลักในการวินิจฉัยดังต่อไปนี้ 1. พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 และ มาตรา 31 วรรคหนึ่ง กำหนดความผิดฐานยึดถือ ครอบครอง หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นถึงสองแสนบาท ประเด็นสำคัญ: ศาลฎีกาใช้บทกฎหมายนี้เป็นฐานลงโทษหลัก และพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยแม้ผิด แต่มีลักษณะเพื่อดำรงชีพไม่ร้ายแรง 2. พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54 และมาตรา 72 ตรี เป็นบทกฎหมายเกี่ยวกับการกระทำอันเป็นการทำลายป่าและทรัพยากรไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต ประเด็นสำคัญ: ศาลใช้เพื่อประกอบพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยเข้าข่ายความผิดหลายบท แต่ต้องลงโทษตามบทที่มีโทษหนักที่สุด 3. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้ศาลลดโทษได้ไม่เกินกึ่งหนึ่ง เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ประเด็นสำคัญ: ศาลลดโทษจำคุกครึ่งหนึ่ง เพราะจำเลยให้การรับสารภาพตั้งแต่ต้น แสดงความสำนึกผิด 4. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ให้ศาลรอการลงโทษและคุมความประพฤติได้ หากเห็นว่าจำเลยอยู่ในวิสัยที่จะแก้ไขฟื้นฟูได้ ประเด็นสำคัญ: ศาลฎีกาใช้มาตรานี้ให้รอการลงโทษจำคุก 2 ปี คุมความประพฤติ 1 ปี และให้ทำกิจกรรมบริการสังคมด้านสิ่งแวดล้อม 30 ชั่วโมง 5. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 วรรคสอง ให้อำนาจกระทรวงการคลังออกพระราชกฤษฎีกากำหนดอัตราดอกเบี้ยใหม่ได้ ประเด็นสำคัญ: ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คิดดอกเบี้ยค่าเสียหายไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี และให้ปรับตามอัตราที่กระทรวงการคลังกำหนดเมื่อมีประกาศ สรุปคีย์เวิร์ดหลัก 5 ประเด็นที่เป็นแก่นของคดีนี้ 1. บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ 2. รอการลงโทษและคุมความประพฤติ 3. ค่าเสียหายทรัพยากรธรรมชาติ 4. ดอกเบี้ยค่าเสียหายตามมาตรา 7 วรรคสอง ป.พ.พ. 5. ศาลฎีกาไม่มีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงซ้ำในส่วนที่จำเลยยอมรับแล้ว
ประเด็นทั้งหมดสะท้อนแนวทางศาลฎีกาในการใช้ดุลพินิจอย่างสมดุลระหว่างการลงโทษเพื่อคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติ กับการให้โอกาสจำเลยที่กระทำโดยไม่ร้ายแรงได้กลับตัวเป็นพลเมืองดีภายใต้กรอบกฎหมาย. คำวินิจฉัยของศาลฎีกา 1. เรื่องโทษจำคุก o โทษที่ศาลอุทธรณ์กำหนด 9 เดือน ต่ำกว่ากฎหมายกำหนด (1–10 ปี) แต่ศาลฎีกาไม่อาจเพิ่มโทษเพราะโจทก์ไม่ได้ฎีกา o พิจารณาพฤติการณ์แล้ว การกระทำไม่ร้ายแรง เป็นการทำเกษตรเพื่อดำรงชีพ จำเลยสำนึกผิดและไม่เคยมีประวัติอาชญากรรม o เห็นควร รอการลงโทษ 2 ปี พร้อมคุมความประพฤติและบริการสังคม 2. เรื่องค่าเสียหายแพ่ง o เมื่อจำเลยรับค่าเสียหายตามฟ้องแล้ว ศาลไม่มีอำนาจลดหรือแก้ไข ถือเป็นข้อเท็จจริงที่ยุติ o ดอกเบี้ยต้องปรับให้สอดคล้องกับการแก้ไขอัตราตาม ป.พ.พ. มาตรา 7 3. เรื่องสินบนนำจับ o เนื่องจากศาลลงโทษตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ ไม่ใช่ พ.ร.บ.ป่าไม้ จึงไม่อาจสั่งให้จ่ายเงินสินบนนำจับได้ วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย • การรับสารภาพในคดีแพ่ง มีผลให้ข้อเท็จจริงเรื่องค่าเสียหายยุติ ศาลไม่สามารถหยิบยกขึ้นวินิจฉัยใหม่ ถือเป็นการลดภาระการสืบพยานและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินคดี • มาตรา 212 และ 225 ป.วิ.อาญา ห้ามศาลเพิ่มโทษจำเลยในชั้นฎีกา หากฝ่ายโจทก์ไม่ฎีกา แม้โทษที่กำหนดต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด • มาตรา 78 ป.อาญา การสารภาพเป็นเหตุบรรเทาโทษ ศาลใช้หลักนี้ลดโทษทั้งจำคุกและปรับ • มาตรา 56 ป.อาญา การรอการลงโทษพร้อมบริการสังคม แสดงถึงแนวโน้มของศาลในการใช้มาตรการฟื้นฟูแทนการลงโทษอย่างเดียว IRAC Analysis Issue (ประเด็น): ศาลฎีกามีอำนาจลดค่าเสียหายที่จำเลยรับสารภาพแล้วหรือไม่ และควรลงโทษจำคุกสถานเบาหรือรอการลงโทษได้หรือไม่ Rule (กฎหมาย): • พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ มาตรา 14, 31 • ป.อาญา มาตรา 78, 90, 212, 225, 56 • ป.พ.พ. มาตรา 7 Application (การปรับใช้): • จำเลยรับค่าเสียหายแล้ว ศาลต้องถือเป็นข้อเท็จจริงยุติ ไม่อาจแก้ไข • ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษต่ำกว่ากฎหมาย แต่ศาลฎีกาไม่อาจเพิ่มโทษ เพราะห้ามมิให้เพิ่มโทษหากโจทก์ไม่ฎีกา • พิจารณาพฤติการณ์แล้วเห็นควรปรับเป็นการรอการลงโทษ พร้อมกำหนดเงื่อนไขแทนการจำคุก Conclusion (ข้อสรุป): ศาลฎีกาพิพากษาให้รอการลงโทษจำคุก 2 ปี ปรับ 20,000 บาท พร้อมคุมความประพฤติและทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ และยืนยันค่าเสียหายตามที่จำเลยรับสารภาพแล้ว ข้อคิดทางกฎหมาย คดีนี้สะท้อนว่า ศาลฎีกาให้ความสำคัญกับการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิดที่มีพฤติการณ์ไม่ร้ายแรงมากกว่าการลงโทษจำคุกโดยตรง อีกทั้งยังตอกย้ำหลักว่าการยอมรับค่าเสียหายในคดีแพ่งเป็นการยุติข้อเท็จจริง ศาลไม่อาจแก้ไขได้ ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญในการดำเนินคดีสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวพันทั้งแพ่งและอาญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6009/2567 เมื่อจำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งโดยยอมรับค่าเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลายเป็นจำนวนเงินตามฟ้อง ข้อเท็จจริงย่อมรับฟังเป็นยุติตามที่จำเลยให้การไว้ จึงไม่มีประเด็นที่คู่ความต้องนำสืบและศาลชั้นต้นต้องวินิจฉัยว่าค่าเสียหายมีเพียงใดอีก ทั้งมิใช่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแต่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาจึงไม่มีอำนาจหยิบยกเรื่องค่าเสียหายขึ้นวินิจฉัยเองได้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 4, 6, 8, 9, 14, 26/4, 26/5, 31 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4, 54, 55, 72 ตรี, 74 จัตวา จ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับตามกฎหมาย ให้จำเลยพร้อมบริวารออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดตามฟ้องออกไป กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 552,436.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่กรมป่าไม้ จำเลยให้การรับสารภาพทั้งคดีส่วนอาญาและคดีส่วนแพ่ง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54 (ที่ถูกต้องระบุ วรรคหนึ่ง), 72 ตรี วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 31 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน ให้จำเลยพร้อมบริวารออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุ และให้จำเลย รื้อถอนเสาปูนพร้อมรั้วลวดหนาม ห้างเพิงพัก คอกเลี้ยงวัวออกจากป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุ ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 552,436.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่กรมป่าไม้ ส่วนที่โจทก์ขอให้สั่งจ่ายเงินสินบนนำจับนั้น เนื่องจากศาลไม่ได้ลงโทษปรับ จึงให้ยกคำขอส่วนนี้ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แผนกคดีสิ่งแวดล้อมพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 9 เดือน เมื่อลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 4 เดือน 15 วัน ให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 552,436.80 บาท นับแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่กรมป่าไม้ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในศาลชั้นต้นให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า มีเหตุสมควรลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานยึดถือครอบครองทำประโยชน์ หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ลงโทษจำคุกจำเลยเพียง 9 เดือน ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะเป็นการวางโทษที่ต่ำกว่ากฎหมาย แต่เมื่อโจทก์มิได้ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขโทษให้ถูกต้องได้เพราะจะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบด้วยมาตรา 225 โทษจำคุก 9 เดือน ที่ลงแก่จำเลยนั้นเป็นคุณมากแล้ว ศาลฎีกาไม่อาจลงโทษต่ำกว่านี้ได้ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษให้แก่จำเลยนั้น ตามแผนที่ภาพถ่ายปี 2553 ในหนังสือขอความอนุเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับที่ดินพิพาทซึ่งจัดทำโดยสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 (ลำปาง) แนบท้ายอุทธรณ์ของจำเลยได้ความว่า ในปี 2553 ที่ดินที่เกิดเหตุมีสภาพโล่งเตียนมิได้มีสภาพเป็นป่า ย่อมแสดงว่าในช่วงปีดังกล่าวมีการแผ้วถาง ตัดโค่น ต้นไม้ เผาป่า หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการทำลายป่าและทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติในที่เกิดเหตุก่อนแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่น่าจะมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายต่อสภาพพื้นที่ป่าและทรัพยากรธรรมชาติมากนัก นอกจากนี้ พฤติการณ์ที่จำเลยเข้าไปปลูกหญ้าเลี้ยงวัว ปลูกต้นกล้วย เลี้ยงวัว ฝังเสารั้ว ล้อมรั้วลวดหนามปลูกห้างเพิงพัก 1 หลัง และทำคอกเลี้ยงวัว 1 คอก ในที่ดินที่เกิดเหตุ ก็มีลักษณะเป็นการทำการเกษตรเพื่อการดำรงชีพมิได้มีลักษณะเป็นนายทุน พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องไม่ร้ายแรง ประกอบกับจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณา แสดงว่ายังสำนึกในการกระทำความผิดของตน เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ย่อมยังอยู่ในวิสัยที่จะแก้ไขฟื้นฟูให้กลับตัวเป็นพลเมืองดีได้ การรอการลงโทษจำคุกและคุมความประพฤติไว้น่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยและสังคมโดยส่วนรวมมากกว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน แต่เพื่อให้หลาบจำเห็นสมควรลงโทษปรับอีกสถานหนึ่งและคุมความประพฤติของจำเลยไว้ สำหรับปัญหาว่าในคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เมื่อจำเลยให้การรับในคดีส่วนแพ่งว่าค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินตามฟ้องแล้ว ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกเรื่องค่าเสียหายขึ้นวินิจฉัยเองและปรับลดค่าเสียหายได้อีกหรือไม่ นั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า เมื่อจำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งโดยยอมรับค่าเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลายเป็นจำนวนเงินตามฟ้อง ข้อเท็จจริงย่อมรับฟังเป็นยุติตามที่จำเลยให้การไว้ จึงไม่มีประเด็นที่คู่ความต้องนำสืบและศาลชั้นต้นต้องวินิจฉัยว่าค่าเสียหายมีเพียงใดอีก ทั้งมิใช่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแต่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาจึงไม่มีอำนาจหยิบยกเรื่องค่าเสียหายขึ้นวินิจฉัยเองได้ อนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยของค่าเสียหายให้แก่กรมป่าไม้ในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2565 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จโดยมิได้พิพากษาถึงอัตราดอกเบี้ยในกรณีที่กระทรวงการคลังออกพระราชกฤษฎีกาปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 วรรคสอง ทั้งศาลอุทธรณ์ภาค 5 ไม่ได้สั่งค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง และในส่วนที่โจทก์ขอให้จ่ายเงินสินบนนำจับให้แก่ผู้นำจับตามกฎหมายนั้น เนื่องจากศาลไม่ได้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 แต่ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ซึ่งตามพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่ได้มีบทบัญญัติให้จ่ายเงินสินบนนำจับ ดังนั้น แม้ศาลจะลงโทษปรับจำเลยด้วย ก็ไม่อาจสั่งให้จ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับได้ ที่ศาลล่างทั้งสองยกคำขอในส่วนนี้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลย 40,000 บาท อีกสถานหนึ่ง ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟัง ให้คุมความประพฤติของจำเลยไว้มีกำหนด 1 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 ครั้ง ตามเงื่อนไขและกำหนดเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรกำหนด กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์เกี่ยวกับการอนุรักษ์ รักษา และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรมีกำหนด 30 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 สำหรับอัตราดอกเบี้ยของค่าเสียหายนั้น หากกระทรวงการคลังออกพระราชกฤษฎีกาปรับเปลี่ยนเมื่อใดก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ แนวคำถาม - ธงคำตอบ ข้อ 1 จำเลยเข้ายึดถือและใช้ประโยชน์ในที่ดินภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โดยปลูกหญ้าเลี้ยงวัว ปลูกกล้วย ทำรั้วลวดหนาม และสร้างห้างเพิงพักหนึ่งหลัง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ โจทก์จึงฟ้องร้องทั้งทางอาญาและทางแพ่ง ขอให้ลงโทษจำเลยและให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติ ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก 1 ปี และให้ชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้อง ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 5 แก้โทษจำคุกเหลือ 9 เดือน และลดดอกเบี้ยบางส่วน จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษ ให้วินิจฉัยว่า ศาลฎีกาจะให้รอการลงโทษจำเลยได้หรือไม่ และใช้หลักกฎหมายใดเป็นเกณฑ์พิจารณา ธงคำตอบ ศาลฎีกาใช้หลักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ซึ่งให้อำนาจศาลรอการลงโทษและคุมความประพฤติ หากเห็นว่าจำเลยอยู่ในวิสัยที่จะแก้ไขตนเองได้ ในคดีนี้ศาลเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นเพียงการทำเกษตรเพื่อดำรงชีพ มิใช่นายทุน ไม่มีพฤติการณ์ร้ายแรง และได้ให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นสอบสวน อีกทั้งไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงมีเหตุอันควรให้โอกาสจำเลยกลับตัว ศาลฎีกาจึงพิพากษาให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี คุมความประพฤติ 1 ปี และให้ทำกิจกรรมสาธารณะเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ 30 ชั่วโมง ถือเป็นการใช้ดุลพินิจเพื่อให้ลงโทษอย่างสมดุลระหว่างการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมกับการให้โอกาสผู้กระทำผิด ข้อ 2 ในคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานี้ จำเลยได้ให้การยอมรับค่าเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติเป็นจำนวนเงิน 552,436.80 บาท ตามที่โจทก์ฟ้อง โดยไม่โต้แย้งข้อเท็จจริง ให้วินิจฉัยว่า ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยจำนวนค่าเสียหายใหม่หรือไม่ ธงคำตอบ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยให้การยอมรับค่าเสียหายในคดีส่วนแพ่งเป็นจำนวนเงินตามฟ้อง ข้อเท็จจริงดังกล่าวย่อมถือเป็นยุติแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีการนำสืบเพิ่มเติม และศาลชั้นต้นไม่มีหน้าที่ต้องวินิจฉัยว่าค่าเสียหายมีเพียงใดอีก ทั้งเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แต่เป็นข้อเท็จจริง ศาลฎีกาจึงไม่มีอำนาจหยิบยกเรื่องค่าเสียหายขึ้นมาวินิจฉัยเองได้ การตีความนี้สอดคล้องกับหลักตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ที่กำหนดให้ศาลฎีกาพิจารณาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ข้อ 3 จำเลยกระทำการโดยยึดถือและครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งเข้าลักษณะเป็นความผิดหลายบท ได้แก่ พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54 และพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 และ 31 วรรคหนึ่ง ให้วินิจฉัยว่า ศาลจะเลือกลงโทษจำเลยตามกฎหมายบทใด และเพราะเหตุใด ธงคำตอบ ศาลใช้หลักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ซึ่งบัญญัติให้ลงโทษตามบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดเมื่อการกระทำความผิดเดียวกันเข้าข่ายหลายบท ในกรณีนี้ การกระทำของจำเลยเข้าทั้งสองพระราชบัญญัติ แต่บทลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 31 วรรคหนึ่ง มีโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท ซึ่งหนักกว่าบทอื่น ศาลจึงเลือกใช้บทนี้เป็นบทลงโทษหลัก ถือเป็นการตีความตามหลักโทษสูงสุดที่ยึดแนวทางตามตัวบทกฎหมาย ข้อ 4 ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยของค่าเสียหายไว้ร้อยละ 5 ต่อปี โดยมิได้ระบุถึงการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมาย หากภายหลังมีพระราชกฤษฎีกากระทรวงการคลังปรับอัตราดอกเบี้ย ให้วินิจฉัยว่า ศาลฎีกามีแนวทางแก้ไขคำพิพากษาในส่วนนี้อย่างไร ธงคำตอบ ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยอ้างอิงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 วรรคสอง ซึ่งให้อำนาจกระทรวงการคลังออกพระราชกฤษฎีกาปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยได้ ศาลจึงกำหนดให้การคิดดอกเบี้ยค่าเสียหายให้ปรับเปลี่ยนตามอัตราที่กระทรวงการคลังกำหนดเมื่อมีประกาศ แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ร้องขอไว้ เพื่อให้การบังคับคดีสอดคล้องกับสภาพทางเศรษฐกิจและกฎหมายปัจจุบัน ข้อ 5 จำเลยฎีกาขอให้ศาลลดโทษจำคุกลงต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด โดยอ้างว่าการกระทำมิได้ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อสภาพป่า ให้วินิจฉัยว่า ศาลฎีกาจะสามารถลดโทษจำคุกให้ต่ำกว่ากฎหมายกำหนดได้หรือไม่ ธงคำตอบ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 31 วรรคหนึ่ง กำหนดโทษจำคุกอย่างน้อยหนึ่งปี การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ลงโทษจำคุกจำเลยเพียง 9 เดือนจึงเป็นการลงโทษต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่เนื่องจากโจทก์มิได้ฎีกาในส่วนนี้ ศาลฎีกาไม่อาจแก้ไขให้ลงโทษหนักขึ้นได้ เพราะจะเป็นการเพิ่มโทษจำเลย ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225 ดังนั้น ศาลฎีกาจึงยืนยันโทษจำคุกตามศาลอุทธรณ์ แม้จะเป็นคุณแก่จำเลยมากแล้ว แต่ไม่อาจลดต่ำกว่านี้ได้อีก ถือเป็นการตีความตามหลักกฎหมายว่าด้วยอำนาจศาลและข้อจำกัดในการลงโทษ.
|




