
| นิติกรรมฉ้อฉลจากการโอนทรัพย์, การโอนทรัพย์หนีหนี้เพิกถอนได้(ฎีกา 1383/2568)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ คดีนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของหลักกฎหมายแพ่งที่เกี่ยวกับ นิติกรรมฉ้อฉลในการโอนทรัพย์สิน ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการคุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้ไม่ให้ถูกเอาเปรียบจากการกระทำของลูกหนี้ที่พยายามโอนทรัพย์เพื่อหนีหนี้หรือทำให้ทรัพย์สินที่มีอยู่ไม่เพียงพอสำหรับการบังคับคดี กรณีนี้เริ่มจากการที่บุคคลหนึ่งทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ โดยมีอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นบิดาของผู้เช่าซื้อเข้ามาผูกพันเป็นลูกหนี้ร่วม เมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระหนี้ตั้งแต่งวดแรก ๆ ทำให้เกิดภาระหนี้คงค้างตามสัญญาเช่าซื้อ ฝ่ายบิดาในฐานะลูกหนี้ร่วมย่อมต้องรับผิดร่วมด้วยตามกฎหมาย ระหว่างที่หนี้ยังคงค้างอยู่ ลูกหนี้ได้โอนที่ดินจำนวนหลายแปลงให้แก่บุตรโดยเสน่หา ไม่มีการจ่ายค่าตอบแทนใด ๆ ประเด็นสำคัญคือ การโอนดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ลูกหนี้ยังมีภาระหนี้จากสัญญาเช่าซื้อ แม้ต่อมาฝ่ายคู่ความจะไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในชั้นศาลแพ่ง ซึ่งทำให้หนี้เดิมตามสัญญาเช่าซื้อระงับไปและกลายเป็นหนี้ใหม่ตามสัญญาประนีประนอม แต่หนี้ใหม่ที่เกิดขึ้นก็ถือว่าสืบเนื่องมาจากหนี้เดิมที่ยังไม่ได้ชำระอยู่ดี ลูกหนี้จึงยังอยู่ในฐานะลูกหนี้เช่นเดิม และการโอนทรัพย์ที่ทำไว้ก่อนการประนีประนอมก็ยังคงส่งผลให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การโอนทรัพย์ดังกล่าวเข้าข่าย นิติกรรมฉ้อฉล ตามมาตรา 237 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยมีหลักว่า เจ้าหนี้สามารถฟ้องเพิกถอนนิติกรรมใด ๆ ได้ หากลูกหนี้รู้อยู่ว่าการกระทำนั้นจะทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ยิ่งกรณีที่เป็นการโอนทรัพย์โดยเสน่หา เช่น ให้โดยไม่มีค่าตอบแทน เพียงลูกหนี้รู้ฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะถือว่าเป็นนิติกรรมฉ้อฉล ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าผู้รับโอนรู้หรือไม่รู้ถึงการมีอยู่ของหนี้ ข้ออ้างของจำเลยว่าการโอนทรัพย์ดังกล่าวเป็นการให้ตามธรรมจรรยาเพราะเป็นการโอนจากบิดาไปยังบุตร ศาลเห็นว่าไม่ใช่ข้อยกเว้นตามมาตรา 237 เนื่องจากกฎหมายไม่ได้บัญญัติยกเว้นกรณีนี้ไว้ การอ้างว่าเป็นการให้ตามธรรมจรรยาจึงไม่สามารถลบล้างสิทธิของเจ้าหนี้ได้ อีกทั้งข้ออ้างว่าผู้รับโอนซึ่งเป็นบุตรไม่ทราบถึงการมีอยู่ของหนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน เพราะในกรณีการให้โดยเสน่หา กฎหมายถือว่าความรู้ของลูกหนี้ฝ่ายเดียวก็เพียงพอ การวินิจฉัยครั้งนี้ยังตอกย้ำหลักการสำคัญว่า ไม่จำเป็นที่ทรัพย์ที่ถูกโอนจะต้องถูกนำมาวางเป็นหลักประกันหนี้ไว้ก่อน เจ้าหนี้ก็ยังมีสิทธิฟ้องเพิกถอนได้ หากพิสูจน์ได้ว่าการโอนนั้นทำให้ตนเสียเปรียบ เนื่องจากสาระสำคัญของมาตรา 237 อยู่ที่การป้องกันไม่ให้ลูกหนี้ทำการยักย้ายถ่ายโอนทรัพย์สินออกไปจนทำให้เจ้าหนี้ไม่สามารถบังคับชำระหนี้ได้ ดังนั้น คดีนี้จึงเป็นกรณีศึกษาที่ชัดเจนว่า นิติกรรมโอนทรัพย์สินที่ทำในขณะมีหนี้ค้าง โดยเฉพาะการโอนให้บุคคลใกล้ชิดโดยเสน่หา ถือเป็นนิติกรรมฉ้อฉลที่เจ้าหนี้มีสิทธิเพิกถอนได้เสมอ ไม่ว่าผู้รับโอนจะรู้หรือไม่รู้ถึงการมีอยู่ของหนี้ก็ตาม หลักการนี้ช่วยสร้างความมั่นใจแก่เจ้าหนี้ว่า กฎหมายได้มีกลไกในการคุ้มครองสิทธิของตน ไม่ให้เสียเปรียบจากการกระทำที่ไม่สุจริตของลูกหนี้ (อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับเต็ม) ในเชิงนโยบายทางกฎหมาย บทบัญญัตินี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงแต่คุ้มครองเจ้าหนี้รายบุคคล แต่ยังส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมมีความมั่นคง เนื่องจากหากเจ้าหนี้ไม่อาจบังคับหนี้ได้เพราะลูกหนี้โอนทรัพย์หลบเลี่ยง ก็คงไม่มีใครกล้าทำสัญญาหรือปล่อยสินเชื่อ ซึ่งจะกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบธุรกรรมทั้งหมด กล่าวโดยสรุป คดีนี้เป็นบทเรียนสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า การโอนทรัพย์เพื่อหนีหนี้ แม้จะอ้างความสัมพันธ์ในครอบครัวหรือความสุจริตของผู้รับโอน ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการถูกเพิกถอนได้ เจ้าหนี้สามารถใช้สิทธิตามมาตรา 237 เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนได้เต็มที่ และเป็นตัวอย่างของการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็งเพื่อป้องกันพฤติกรรมฉ้อฉลในทางแพ่ง
📌 ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีนี้ คดีนี้ ใช้กฎหมายหลักคือ “ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237” ซึ่งบัญญัติว่า เจ้าหนี้สามารถฟ้องเพิกถอนนิติกรรมใด ๆ ที่ลูกหนี้รู้อยู่แล้วว่าทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบได้ โดยเฉพาะกรณีเป็นการให้โดยเสน่หา เพียงลูกหนี้รู้ฝ่ายเดียวก็เพียงพอที่จะเพิกถอนได้
📌 5 Keywords สำคัญที่สุด 1. นิติกรรมฉ้อฉล o การโอนที่ดินโดยลูกหนี้ให้บุตรในขณะมีหนี้ค้าง ถือเป็นนิติกรรมที่ทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ศาลถือว่าเพิกถอนได้ 2. การให้โดยเสน่หา (Gratuitous Transfer) o เนื่องจากการโอนที่ดินไม่มีค่าตอบแทน แม้ผู้รับโอนจะไม่รู้ข้อเท็จจริง ศาลก็ยังเพิกถอนได้ เพราะกฎหมายคุ้มครองเจ้าหนี้ 3. หนี้เช่าซื้อ o จุดเริ่มต้นของหนี้เกิดจากการผิดนัดในสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ ทำให้จำเลยที่ 1 มีสถานะเป็นลูกหนี้ร่วมกับผู้เช่าซื้อ 4. สัญญาประนีประนอมยอมความ o แม้หนี้เดิมจะระงับและกลายเป็นหนี้ใหม่ แต่ถือว่าสืบเนื่องจากหนี้เดิม ลูกหนี้ยังคงมีภาระหนี้ต่อเจ้าหนี้ 5. สิทธิของเจ้าหนี้ (Creditor’s Right) o เจ้าหนี้มีสิทธิใช้กลไกกฎหมายมาตรา 237 เพิกถอนนิติกรรมที่ทำให้ตนเสียเปรียบได้ เพื่อรักษาประโยชน์ในการชำระหนี้ 👉 ดังนั้น “หัวใจของคดี” คือการตีความ มาตรา 237 ร่วมกับข้อเท็จจริงเรื่อง หนี้เช่าซื้อ, สัญญาประนีประนอม, การโอนที่ดินโดยเสน่หา และ สิทธิของเจ้าหนี้ในการฟ้องเพิกถอน หลักกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 ที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1383/2568 และตัวอย่างฎีกาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง 📌 หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง : ป.พ.พ. มาตรา 237 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 บัญญัติว่า “เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบนั้นด้วย แต่ถ้ากรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้” ✅ หลักสำคัญของมาตรานี้ 1. เจ้าหนี้มีสิทธิฟ้องเพิกถอน – หากลูกหนี้ทำนิติกรรมใด ๆ ที่ทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ เช่น โอนทรัพย์ให้ผู้อื่น 2. เงื่อนไขการเพิกถอน – ต้องเป็นนิติกรรมที่ลูกหนี้ “รู้อยู่แล้ว” ว่าจะทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ 3. ข้อยกเว้นสำหรับผู้รับโอน – ถ้าเป็นนิติกรรมโดยมีค่าตอบแทน และผู้รับโอน “ไม่รู้” ว่าจะทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ จะเพิกถอนไม่ได้ 4. กรณีเสน่หา (ให้เปล่า) – เพียงลูกหนี้รู้ฝ่ายเดียวก็เพียงพอ เจ้าหนี้มีสิทธิฟ้องเพิกถอนได้ แม้ผู้รับโอนจะสุจริตไม่รู้เรื่อง หลักนี้มุ่งคุ้มครอง เจ้าหนี้ ไม่ให้เสียสิทธิการบังคับคดี เพราะลูกหนี้โอนทรัพย์ออกไปเพื่อหนีหนี้
📌 ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา 1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1457/2536 • ข้อเท็จจริง: จำเลยโอนที่ดินให้ภรรยาในขณะที่มีหนี้สินต่อโจทก์ โดยการโอนเป็นการให้เปล่าไม่มีค่าตอบแทน • ศาลฎีกาวินิจฉัย: การโอนดังกล่าวเป็นนิติกรรมเสน่หา จำเลยในฐานะลูกหนี้รู้อยู่ว่าจะทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แม้ภรรยาผู้รับโอนจะอ้างว่าไม่รู้ถึงหนี้สิน ก็ไม่เป็นข้อยกเว้น เจ้าหนี้มีสิทธิเพิกถอนได้ตามมาตรา 237 • หลักที่ได้: นิติกรรมให้เปล่าจากลูกหนี้ ถือเป็นการฉ้อฉล เจ้าหนี้ใช้สิทธิฟ้องเพิกถอนได้ แม้ผู้รับโอนจะสุจริต 📖 อ้างอิง: คำพิพากษาฎีกาที่ 1457/2536 (ประชุมใหญ่)
2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4651/2543 • ข้อเท็จจริง: ลูกหนี้โอนที่ดินให้แก่บุตร โดยไม่มีค่าตอบแทน ขณะมีหนี้ค้างกับเจ้าหนี้ • ศาลฎีกาวินิจฉัย: แม้ผู้รับโอน (บุตร) ไม่รู้เรื่องหนี้สิน แต่เมื่อลูกหนี้รู้ว่าการโอนดังกล่าวทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ และเป็นการโอนโดยเสน่หา ศาลถือว่าเข้าหลักมาตรา 237 เจ้าหนี้ฟ้องเพิกถอนได้ • หลักที่ได้: เมื่อเป็น “การให้” ลูกหนี้เพียงฝ่ายเดียวรู้ก็พอ เจ้าหนี้มีสิทธิเพิกถอน 📖 อ้างอิง: คำพิพากษาฎีกาที่ 4651/2543
3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5887/2556 • ข้อเท็จจริง: ลูกหนี้โอนที่ดินโดยมีค่าตอบแทนต่ำกว่าความเป็นจริงให้แก่บุคคลใกล้ชิด เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกบังคับคดี • ศาลฎีกาวินิจฉัย: การโอนดังกล่าวเป็นนิติกรรมฉ้อฉล เนื่องจากลูกหนี้รู้ว่าทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แม้จะมีค่าตอบแทนแต่ไม่สมเหตุสมผล ผู้รับโอนใกล้ชิดย่อมเลี่ยงไม่ได้ ศาลให้เพิกถอนนิติกรรม • หลักที่ได้: แม้จะอ้างว่ามีค่าตอบแทน แต่หากเป็นราคาที่ไม่สมจริง และผู้รับโอนอยู่ในฐานะที่ควรรู้ ศาลก็ยังถือว่าเป็นนิติกรรมฉ้อฉล
📌 สรุปประเด็นกฎหมายที่ได้จากมาตรา 237 • คดีลักษณะนี้มักเกี่ยวกับ “การโอนทรัพย์หนีหนี้” • หากเป็น นิติกรรมให้เปล่า (เสน่หา) ศาลเพิกถอนได้เสมอ เพียงลูกหนี้รู้ฝ่ายเดียวก็เพียงพอ • หากเป็น นิติกรรมมีค่าตอบแทน ต้องพิจารณาความสุจริตของผู้รับโอนด้วย หากรู้หรือควรรู้ก็เพิกถอนได้
• คำพิพากษาศาลฎีกาหลายฉบับ (เช่น 1457/2536, 4651/2543, 5887/2556) ต่างยืนยันแนวทางเดียวกัน คือมุ่งคุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้เป็นสำคัญ
|





.jpg)