
| สิทธิผู้รับจำนอง & การคุ้มครองดอกเบี้ยตามกฎหมายฟอกเงิน (ฎีกาที่ 6223/2567)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสิทธิของผู้รับจำนองโดยสุจริตในคดีฟอกเงิน เมื่อทรัพย์สินที่จำนองเกี่ยวพันกับการกระทำความผิด ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผู้รับจำนองสุจริตมีสิทธิได้รับการชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จ ก่อนการนำเงินไปคืนให้แก่ผู้เสียหายหรือให้ตกเป็นของแผ่นดิน โดยอาศัยการตีความตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน มาตรา 52 วรรคหนึ่ง (แก้ไขใหม่) และ ป.พ.พ. มาตรา 715 สรุปข้อเท็จจริง • จำเลย (ลูกจ้าง) กระทำการปลอมเอกสารสิทธิและถอนเงินจากบัญชีธนาคารของมูลนิธิ เป็นเงินกว่า 56 ล้านบาท • เงินที่ได้ถูกนำไปซื้อทรัพย์สินหลายรายการ ทำให้ถูกตรวจยึดและอายัดตาม พ.ร.บ.ฟอกเงิน พ.ศ. 2542 • มีผู้คัดค้านหลายฝ่าย โดยเฉพาะ ผู้คัดค้านที่ 5 ซึ่งเป็นผู้รับจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน • ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งแตกต่างกันในเรื่องสิทธิของผู้รับจำนอง โดยเฉพาะประเด็นการได้รับดอกเบี้ย สรุปประเด็นสำคัญคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6223/2567 กฎหมายที่ใช้เป็นหลักในการวินิจฉัย คดีนี้ศาลฎีกาใช้หลักกฎหมายสำคัญจาก 1. พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 52 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขเพิ่มเติม) ว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของผู้มีส่วนได้เสียโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน 2. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 715 (1) ว่าด้วยสิทธิของเจ้าหนี้จำนองที่จะได้รับชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จ ประเด็นสำคัญและคำอธิบายสั้น ๆ 1. ผู้รับจำนองโดยสุจริตได้รับการคุ้มครองสิทธิเป็นลำดับแรก ศาลเห็นว่าผู้คัดค้านที่ 5 เป็นผู้รับจำนองทรัพย์สินโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน จึงถือเป็น “ผู้มีส่วนได้เสียโดยสุจริต” ที่ต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิของตนก่อนนำเงินไปคืนให้ผู้เสียหายหรือให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตามมาตรา 52 วรรคหนึ่ง 2. สิทธิของผู้มีส่วนได้เสียต้องมาก่อนการคืนทรัพย์ให้ผู้เสียหาย เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จำนองไว้ ต้องนำมาชำระหนี้ให้แก่ผู้รับจำนองก่อน ไม่ใช่นำไปคืนผู้เสียหายทันที เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายที่คุ้มครองบุคคลภายนอกผู้สุจริต 3. สิทธิของเจ้าหนี้จำนองรวมถึงดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จ ตามมาตรา 715 (1) ป.พ.พ. ทรัพย์สินที่จำนองเป็นประกันหนี้รวมถึงดอกเบี้ยด้วย ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่าผู้คัดค้านที่ 5 มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยจนถึงวันชำระเสร็จ ไม่ใช่เฉพาะถึงวันขายทอดตลาดตามที่ศาลอุทธรณ์กำหนด 4. คำพิพากษาศาลจังหวัดนครปฐมมีผลผูกพันให้ได้รับดอกเบี้ยต่อเนื่อง ศาลฎีกาอ้างอิงคำพิพากษาศาลจังหวัดนครปฐม คดีหมายเลขแดง ผบ.462/2563 ซึ่งกำหนดให้ผู้คัดค้านที่ 5 ได้รับดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ถือเป็นสิทธิที่ได้รับการรับรองแล้วตามคำพิพากษาถึงที่สุด 5. แนวทางคุ้มครองสิทธิผู้สุจริตในคดีฟอกเงิน คำพิพากษานี้ยืนยันหลักสำคัญว่า ในคดีฟอกเงิน แม้ทรัพย์สินจะเกี่ยวพันกับการกระทำความผิด แต่หากมีบุคคลภายนอกที่ได้สิทธิโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ศาลต้องคุ้มครองสิทธิของบุคคลนั้นก่อนคืนหรือริบทรัพย์สินเข้ารัฐ คำสำคัญของคดีนี้ 1. ผู้มีส่วนได้เสียโดยสุจริต 2. ผู้รับจำนองมีสิทธิก่อนผู้เสียหาย 3. ดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จ 4. มาตรา 52 วรรคหนึ่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน 5. มาตรา 715 (1) ป.พ.พ. สรุปใจความสำคัญ ศาลฎีกายืนยันหลักกฎหมายว่า ผู้รับจำนองโดยสุจริตในทรัพย์สินที่เกี่ยวกับคดีฟอกเงินเป็น “ผู้มีส่วนได้เสียโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน” ตามมาตรา 52 แห่ง พ.ร.บ.ฟอกเงิน ต้องได้รับชำระหนี้และดอกเบี้ยตามสิทธิแห่งเจ้าหนี้จำนองตามมาตรา 715 (1) ป.พ.พ. ก่อนที่จะนำเงินที่เหลือไปคืนให้ผู้เสียหายหรือให้ตกเป็นของแผ่นดิน เป็นการคุ้มครองสิทธิของบุคคลภายนอกผู้สุจริตตามหลักนิติธรรม. คำวินิจฉัยของศาลฎีกา 1. สิทธิในการชำระหนี้ก่อนผู้เสียหาย o ศาลฎีกายืนยันว่า ผู้รับจำนองโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนถือเป็น “ผู้มีส่วนได้เสีย” ตามมาตรา 52 พ.ร.บ.ฟอกเงิน o จึงต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิและได้รับชำระหนี้ก่อนผู้เสียหาย 2. สิทธิในการได้รับดอกเบี้ย o อ้างอิง ป.พ.พ. มาตรา 715 (1) ซึ่งบัญญัติว่าทรัพย์สินที่จำนองเป็นประกันหนี้รวมถึงดอกเบี้ย o ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การจำกัดสิทธิให้ได้ดอกเบี้ยเพียงจนถึงวันขายทอดตลาด ไม่เป็นธรรมและไม่มีกฎหมายรองรับ o ดังนั้น ผู้รับจำนองสุจริตมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จ การวิเคราะห์ทางกฎหมาย • มาตรา 52 พ.ร.บ.ฟอกเงิน: เน้นการคุ้มครองผู้มีส่วนได้เสียโดยสุจริตก่อนคืนให้ผู้เสียหายหรือให้ตกเป็นของแผ่นดิน • มาตรา 715 ป.พ.พ.: ขยายความถึงสิทธิของผู้รับจำนองที่ครอบคลุมถึงดอกเบี้ย จึงเป็นการคุ้มครองอย่างครบถ้วน • หลักการตีความ: ศาลฎีกายึดหลักความเป็นธรรมในการปกป้องสิทธิของบุคคลภายนอกผู้สุจริตที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินที่เกิดจากการฟอกเงิน IRAC Analysis Issue: ผู้รับจำนองโดยสุจริตมีสิทธิได้รับชำระหนี้และดอกเบี้ยก่อนผู้เสียหายหรือไม่ Rule: • พ.ร.บ.ฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 52 วรรคหนึ่ง • ป.พ.พ. มาตรา 715 (1) Application: • ผู้คัดค้านที่ 5 เป็นผู้รับจำนองโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน • มาตรา 52 รับรองสิทธิผู้มีส่วนได้เสียให้ได้รับการคุ้มครองก่อนผู้เสียหาย • มาตรา 715 รับรองสิทธิของผู้รับจำนองที่จะได้รับทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย • การจำกัดสิทธิให้ได้ดอกเบี้ยแค่ถึงวันขายทอดตลาดไม่ชอบด้วยเหตุผลและไม่มีกฎหมายรองรับ Conclusion: ผู้รับจำนองโดยสุจริตมีสิทธิได้รับชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จ ก่อนนำเงินไปคืนผู้เสียหายหรือให้ตกเป็นของแผ่นดิน ข้อคิดทางกฎหมาย • คำพิพากษานี้ตอกย้ำความสำคัญของการคุ้มครองบุคคลสุจริตที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินในคดีฟอกเงิน • ศาลฎีกาให้หลักประกันว่า สิทธิของผู้รับจำนองตามกฎหมายแพ่งต้องได้รับความคุ้มครอง แม้จะทับซ้อนกับประเด็นการฟอกเงิน • ถือเป็นแนวทางสำคัญสำหรับการตีความกฎหมายเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างการป้องกันฟอกเงินกับการคุ้มครองสิทธิของบุคคลภายนอก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6223/2567 ผู้คัดค้านที่ 5 เป็นผู้รับจำนองทรัพย์สินโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ผู้คัดค้านที่ 5 จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ย่อมได้รับการคุ้มครองสิทธิของตนก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งให้นำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไปคืนให้แก่ผู้เสียหายหรือสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 52 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) จึงต้องนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินดังกล่าวไปชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 5 ก่อนนำเงินไปคืนให้แก่ผู้เสียหาย ป.พ.พ. มาตรา 715 บัญญัติว่า "ทรัพย์สินซึ่งจำนองย่อมเป็นประกันเพื่อการชำระหนี้กับทั้งค่าอุปกรณ์ต่อไปนี้ด้วย คือ (1) ดอกเบี้ย..." โดยไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดที่บัญญัติให้ผู้มีส่วนได้เสีย ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยของหนี้ที่ค้างชำระจนถึงวันขายทอดตลาดเท่านั้น การกำหนดให้ผู้คัดค้านที่ 5 ได้รับดอกเบี้ยจนถึงวันขายทอดตลาดเท่านั้น ย่อมไม่ชอบด้วยเหตุผลในการที่จะคุ้มครองสิทธิของผู้มีส่วนได้เสีย ผู้คัดค้านที่ 5 จึงมีสิทธิได้รับชำระหนี้ต้นเงินที่คงค้างชำระตามสัญญาจำนองพร้อมด้วยดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จ ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินตามเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 5 จำนวน 13 รายการ รวมราคาประเมินทั้งสิ้น 17,275,000 บาท พร้อมดอกผลไปคืนหรือชดใช้คืนแก่ธนาคาร ท. ซึ่งเป็นผู้เสียหายแทนการสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน หากมีทรัพย์สินเหลือก็ขอให้ตกเป็นของแผ่นดินต่อไปตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 49, 51, 58 ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนและประกาศตามกฎหมายแล้ว ผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำคัดค้านขอให้ถอนคำสั่งอายัดและคืนทรัพย์สินให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ตามมาตรา 51/1 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำคัดค้านและแก้ไขคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง และคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้คัดค้านที่ 2 ในฐานะผู้รับซื้อฝาก หากต้องนำทรัพย์สินรายการนี้ไปคืนหรือชดใช้ให้แก่ผู้เสียหาย ขอให้คืนเงิน 1,900,000 บาท อันเป็นราคาค่าสินไถ่จากการขายฝากพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2562 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้คัดค้านที่ 2 ผู้คัดค้านที่ 3 และที่ 4 ยื่นคำคัดค้านขอให้นำทรัพย์สินที่ยึดไปคืนหรือชดใช้แก่ผู้คัดค้านที่ 3 และที่ 4 ผู้คัดค้านที่ 5 ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องหรือมีคำสั่งให้คุ้มครองสิทธิของผู้คัดค้านที่ 5 ในฐานะเป็นผู้รับประโยชน์ในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และหากมีการบังคับขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ขอให้ผู้คัดค้านที่ 5 ได้รับชำระหนี้เงินกู้จากการขายทอดตลาดจนครบก่อนตามสิทธิเจ้าหนี้บุริมสิทธิตามกฎหมาย ผู้คัดค้านที่ 6 และที่ 7 ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องและคืนทรัพย์สินให้แก่ผู้คัดค้านที่ 6 และที่ 7 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินตามบัญชีรายการทรัพย์สินเอกสารหมาย ร.5 รายการที่ 1 ถึงที่ 7 ที่ 10 และที่ 11 พร้อมดอกผล (หากมี) ไปคืนหรือชดใช้ให้แก่ธนาคาร ท. ผู้เสียหาย ให้นำทรัพย์สินรายการที่ 12 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระสินไถ่แก่ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นเงิน 1,620,000 บาท หากมีเงินเหลือให้คืนแก่ผู้เสียหาย แต่หากขายทอดตลาดได้เงินไม่ถึงจำนวนดังกล่าว ส่วนที่ขาดให้เป็นพับกันไป ให้นำทรัพย์สินรายการที่ 8 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระสินไถ่แก่ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นเงิน 1,900,000 บาท หากมีเงินเหลือให้คืนแก่ผู้เสียหาย แต่หากขายทอดตลาดได้เงินไม่ถึงจำนวนดังกล่าว ส่วนที่ขาดให้เป็นพับกันไป ให้นำทรัพย์สินรายการที่ 9 ออกขายทอดตลาดโดยปลอดจำนองนำเงินไปคืนให้แก่ผู้เสียหายก่อนผู้คัดค้านที่ 5 เป็นเงิน 630,000 บาท ส่วนที่เหลือให้นำไปชำระหนี้ผู้คัดค้านที่ 5 จนกว่าจะครบถ้วนตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ผบ. 462/2563 ของศาลจังหวัดนครปฐม หากยังมีเหลือให้นำไปชดใช้คืนแก่ผู้เสียหาย แต่หากขายทอดตลาดได้เงินไม่ถึงจำนวนที่ต้องนำไปคืนให้แก่ผู้เสียหายและนำไปชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 5 ตามลำดับ ส่วนที่ขาดให้เป็นพับกันไป แต่ไม่ตัดสิทธิผู้คัดค้านที่ 5 ในการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินอื่น ๆ ของนางสาวณิชาพัชรและนายศรีเมือง ในหนี้ที่ยังขาดอยู่จนกว่าจะได้รับชำระหนี้ครบถ้วนตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าว และให้นำทรัพย์สินรายการที่ 13 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระสินไถ่แก่ผู้คัดค้านที่ 6 และที่ 7 เป็นเงิน 3,000,000 บาท หากมีเงินเหลือให้คืนแก่ผู้เสียหาย แต่หากขายทอดตลาดได้เงินไม่ถึงจำนวนดังกล่าว ส่วนที่ขาดให้เป็นพับกัน ทั้งนี้ หากผู้เสียหายได้รับชดใช้ค่าเสียหายคืนครบจำนวน 56,669,970.44 บาท แล้ว ส่วนที่เหลือให้ตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 49 วรรคหก คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ ผู้คัดค้านที่ 3 ถึงที่ 5 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้นำทรัพย์สินรายการที่ 9 ออกขายทอดตลาดโดยปลอดจำนองนำเงินไปชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 5 ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ผบ. 462/2563 ของศาลจังหวัดนครปฐม โดยคิดดอกเบี้ยได้จนถึงวันขายทอดตลาดทรัพย์สินเสร็จ หากยังมีเหลือให้นำเงินดังกล่าวพร้อมดอกผลไปใช้คืนแก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกินกว่า 200 บาท ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 5 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ ผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 5 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ฎีกาโต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติว่า นางสาวณิชาพัชร เป็นลูกจ้างท้ายที่นั่งสำนักงานพระคลังข้างที่ มีหน้าที่ทำบัญชีรายรับรายจ่ายของมูลนิธิ อ. ได้จัดทำบันทึกขออนุมัติจ่ายเงินพระราชทานทุนส่งเสริมบัณฑิตและใบถอนเงินเสนอนาย ก. และนาย พ. เพื่อลงนามในบันทึกการขออนุมัติจ่ายเงินและใบถอนเงินจากบัญชีของมูลนิธิ อ. ธนาคาร ท. เลขที่บัญชี 401061xxxx นำไปมอบให้แก่ผู้รับทุน หลังจากนาย ก. และนาย พ. ลงนามในบันทึกการขออนุมัติจ่ายเงินและใบถอนเงินดังกล่าวแล้ว นางสาวณิชาพัชรได้แก้ไขเพิ่มเติมจำนวนเงิน หรือทำการปลอมลายมือชื่อนาย ก. และนาย พ. ในใบถอนเงิน ซึ่งเป็นการปลอมเอกสารสิทธิเมื่อระหว่างวันที่ 3 มิถุนายน 2552 ถึงวันที่ 7 มิถุนายน 2561 แล้วนำใบถอนเงินดังกล่าวไปถอนเงินจากธนาคาร ท. ผู้เสียหาย ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อให้ถอนเงินออกจากบัญชีเงินฝากของมูลนิธิ อ. 56,669,970.44 บาท นางสาวณิชาพัชรนำเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดไปซื้อทรัพย์สินให้แก่ตนเอง เครือญาติ และคนใกล้ชิด คณะกรรมการธุรกรรมพิจารณารายงานและข้อมูลการทำธุรกรรมประกอบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานต่าง ๆ แล้ว มีมติให้พนักงานเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินตรวจสอบการทำธุรกรรมของนางสาวณิชาพัชรและบุคคลที่เกี่ยวข้อง แล้วตรวจยึดและอายัดทรัพย์สินไว้ชั่วคราวรวม 15 รายการ คณะกรรมการธุรกรรมประชุมแล้วมีมติว่าทรัพย์สินที่ยึดและอายัดไว้ชั่วคราว 13 รายการ รวมราคาประเมินทั้งสิ้น 17,275,000 บาท พร้อมดอกผลเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับการปลอมเอกสารสิทธิ ลักทรัพย์ และฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา อันมีลักษณะเป็นปกติธุระ เป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (14) (18) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และมีมติให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินขอให้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน แต่เนื่องจากมีผู้เสียหายในความผิดมูลฐาน จึงมีมติให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินขอให้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินพร้อมดอกผลไปคืนหรือชดใช้คืนแก่ผู้เสียหายแทนการสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน หากยังมีทรัพย์สินเหลือก็ขอให้ตกเป็นของแผ่นดิน สำหรับทรัพย์สินรายการที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 7 ที่ 10 และที่ 11 ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำสั่งศาลชั้นต้นว่า ทรัพย์สินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ส่วนทรัพย์สินรายการที่ 9 ที่ดินโฉนดเลขที่ 112713 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 48/438 มีผู้คัดค้านที่ 5 เป็นผู้รับจำนองโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน แต่ทรัพย์สินดังกล่าวมีทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดรวมอยู่ด้วยเป็นเงิน 630,000 บาท และคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินรายการที่ 12 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระสินไถ่แก่ผู้คัดค้านที่ 1 รายการที่ 8 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระสินไถ่แก่ผู้คัดค้านที่ 2 และรายการที่ 13 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระสินไถ่แก่ผู้คัดค้านที่ 6 และ ที่ 7 ผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7 ไม่อุทธรณ์ คดีระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7 จึงยุติไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งให้นำทรัพย์สินรายการที่ 4 ถึงที่ 6 พร้อมดอกผล (หากมี) ไปคืนหรือชดใช้ให้แก่ผู้เสียหาย ผู้ร้องไม่ฎีกาในส่วนนี้ ส่วนผู้คัดค้านที่ 3 และ ที่ 4 ไม่ได้รับอนุญาตให้ฎีกา คดีระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านที่ 3 และที่ 4 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้คัดค้านที่ 5 มีสิทธิได้รับเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินรายการที่ 9 ก่อนนำเงินไปชดใช้คืนหรือชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 52 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) บัญญัติว่า "ในกรณีที่ศาลเห็นว่าทรัพย์สินตามคำร้องเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ถ้าศาลไต่สวนคำร้องของผู้ที่อ้างว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามมาตรา 50 วรรคสอง แล้วเห็นว่าฟังขึ้น ให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองสิทธิของผู้มีส่วนได้เสียดังกล่าวก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินไปคืนหรือชดใช้คืนหรือชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายตามมาตรา 49/1 หรือสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินตามมาตรา 51 โดยจะกำหนดเงื่อนไขด้วยก็ได้" เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านที่ 5 เป็นผู้รับจำนองทรัพย์สินรายการที่ 9 โดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ผู้คัดค้านที่ 5 จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ผู้คัดค้านที่ 5 ย่อมได้รับการคุ้มครองสิทธิของตนก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งให้นำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไปคืนให้แก่ผู้เสียหายหรือสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตามมาตรา 52 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) จึงต้องนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินรายการที่ 9 ไปชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 5 ก่อนนำเงินไปคืนให้แก่ผู้เสียหาย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้นำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไปชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 5 ก่อนผู้เสียหายนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 5 ว่า ผู้คัดค้านที่ 5 มีสิทธิได้รับชำระดอกเบี้ยของหนี้ที่ค้างชำระจนกว่าจะชำระเสร็จหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 715 บัญญัติว่า "ทรัพย์สินซึ่งจำนองย่อมเป็นประกันเพื่อการชำระหนี้กับทั้งค่าอุปกรณ์ต่อไปนี้ด้วย คือ (1) ดอกเบี้ย..." โดยไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดที่บัญญัติให้ผู้มีส่วนได้เสียตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยของหนี้ที่ค้างชำระจนถึงวันขายทอดตลาดเท่านั้น นอกจากนี้ ศาลจังหวัดนครปฐมมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ผบ.462/2563 ของศาลจังหวัดนครปฐม ให้ผู้คัดค้านที่ 5 ได้รับดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ การกำหนดให้ผู้คัดค้านที่ 5 ได้รับดอกเบี้ยจนถึงวันขายทอดตลาดนั้น ย่อมไม่ชอบด้วยเหตุผลในการที่จะคุ้มครองสิทธิของผู้มีส่วนได้เสีย ดังนั้น ผู้คัดค้านที่ 5 ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียในฐานะผู้รับจำนองทรัพย์สินรายการที่ 9 ย่อมได้รับความคุ้มครองสิทธิตามมาตรา 715 (1) และตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ผบ.462/2563 ของศาลจังหวัดนครปฐม ผู้คัดค้านที่ 5 จึงมีสิทธิได้รับชำระหนี้ต้นเงินที่คงค้างชำระตามสัญญาจำนองพร้อมด้วยดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้คิดดอกเบี้ยได้จนถึงวันขายทอดตลาดมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 5 ฟังขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า ให้นำเงินไปชำระหนี้แก่ผู้คัดค้านที่ 5 ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ผบ. 462/2563 ของศาลจังหวัดนครปฐม พร้อมดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ แนวคำถาม - ธงคำตอบ ข้อ 1. ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งได้มาจากการกระทำความผิดฐานฟอกเงินมีการจำนองไว้แก่บุคคลภายนอกโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ศาลจะต้องพิจารณาอย่างไร ผู้รับจำนองดังกล่าวจะได้รับสิทธิคุ้มครองเหนือผู้เสียหายได้หรือไม่ และมีกฎหมายมาตราใดเป็นหลักรองรับ ธงคำตอบ: เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้คัดค้านที่ 5 เป็นผู้รับจำนองทรัพย์สินรายการที่ 9 โดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผู้คัดค้านที่ 5 ถือเป็น “ผู้มีส่วนได้เสียโดยสุจริต” ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 52 วรรคหนึ่ง (แก้ไขใหม่) ซึ่งบัญญัติให้ศาลต้องคุ้มครองสิทธิของผู้มีส่วนได้เสียก่อนที่จะสั่งให้นำทรัพย์สินคืนแก่ผู้เสียหายหรือให้ตกเป็นของแผ่นดิน ดังนั้น เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินดังกล่าวต้องนำไปชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 5 ก่อนนำไปคืนแก่ผู้เสียหาย ถือเป็นหลักการคุ้มครองสิทธิบุคคลภายนอกผู้สุจริตแม้ทรัพย์สินจะมีที่มาจากการกระทำความผิด ข้อ 2. หากศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ผู้รับจำนองได้รับเฉพาะดอกเบี้ยถึงวันขายทอดตลาดเท่านั้น โดยอ้างว่าเป็นขอบเขตของการคุ้มครองสิทธิผู้มีส่วนได้เสีย ศาลฎีกาสามารถแก้ไขได้หรือไม่ และการได้ดอกเบี้ยต่อเนื่องจนกว่าจะชำระเสร็จมีหลักกฎหมายใดรองรับ ธงคำตอบ: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การจำกัดสิทธิผู้รับจำนองให้ได้รับเฉพาะดอกเบี้ยถึงวันขายทอดตลาดไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 715 (1) ทรัพย์สินที่จำนองย่อมเป็นประกันเพื่อการชำระหนี้รวมทั้งดอกเบี้ยด้วย เมื่อศาลจังหวัดนครปฐมได้พิพากษาให้ผู้คัดค้านที่ 5 มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ คำพิพากษานั้นย่อมมีผลผูกพัน ศาลฎีกาจึงแก้ไขให้ผู้คัดค้านที่ 5 ได้รับดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จทั้งหมด เป็นการตีความให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์แห่งมาตรา 715 (1) ซึ่งมุ่งคุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้จำนองโดยสุจริตอย่างครบถ้วน ข้อ 3. การพิจารณาว่าผู้ใดเป็น “ผู้มีส่วนได้เสียโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน” ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 52 ต้องพิจารณาจากหลักเกณฑ์หรือพฤติการณ์ใด และศาลฎีกาวางหลักไว้อย่างไรในคดีนี้ ธงคำตอบ: การเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยสุจริต ต้องเป็นผู้ที่ได้สิทธิในทรัพย์สินโดยสุจริต มีค่าตอบแทน และไม่รู้หรือควรรู้ว่าทรัพย์นั้นเกี่ยวกับการกระทำความผิด ตามหลักแห่งมาตรา 52 วรรคหนึ่ง (แก้ไขใหม่) ศาลฎีกาได้พิเคราะห์ว่า ผู้คัดค้านที่ 5 เป็นเจ้าหนี้จำนองซึ่งให้เงินกู้ตามสัญญาโดยชอบ มีค่าตอบแทนตามอัตราดอกเบี้ย และไม่มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำความผิดฐานฟอกเงินของลูกหนี้ จึงถือเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยสุจริตที่ต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิก่อนคืนทรัพย์สินให้ผู้เสียหาย ข้อ 4. ในคดีฟอกเงิน หากทรัพย์สินมีส่วนหนึ่งเป็นทรัพย์ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด และส่วนหนึ่งเป็นสิทธิของบุคคลภายนอกผู้สุจริต ศาลจะต้องดำเนินการอย่างไรในการจัดสรรเงินที่ได้จากการขายทอดตลาด ธงคำตอบ: ศาลฎีกาเห็นว่า ในกรณีที่ทรัพย์สินบางส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด และบางส่วนอยู่ในสิทธิของบุคคลภายนอกผู้สุจริต การขายทอดตลาดทรัพย์สินต้องนำเงินที่ได้มาชำระหนี้ให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียโดยสุจริตก่อน ตามมาตรา 52 วรรคหนึ่ง เพื่อคุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้ที่ได้รับประโยชน์โดยชอบจากสัญญา เช่น เจ้าหนี้จำนองหรือผู้รับซื้อฝากโดยสุจริต จากนั้นหากมีเงินเหลือจึงให้นำไปคืนผู้เสียหายหรือให้ตกเป็นของแผ่นดิน เป็นการรักษาสมดุลระหว่างการปราบปรามการฟอกเงินกับการคุ้มครองสิทธิของบุคคลภายนอกที่สุจริต ข้อ 5. หลักการคุ้มครองสิทธิของผู้มีส่วนได้เสียโดยสุจริตในคดีฟอกเงินตามมาตรา 52 ของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน มีความสัมพันธ์อย่างไรกับหลักสิทธิเจ้าหนี้จำนองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 715 (1) และศาลฎีกาได้นำมาประยุกต์ใช้ร่วมกันอย่างไรในคดีนี้ ธงคำตอบ: ศาลฎีกาได้ประสานการใช้กฎหมายทั้งสองฉบับร่วมกัน โดยอาศัยมาตรา 52 แห่ง พ.ร.บ.ฟอกเงิน เพื่อคุ้มครองผู้มีส่วนได้เสียโดยสุจริต และอาศัยมาตรา 715 (1) ป.พ.พ. เพื่อรับรองสิทธิของเจ้าหนี้จำนองในการได้รับชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จ การบังคับใช้กฎหมายเช่นนี้ทำให้เกิดดุลยภาพระหว่างการปราบปรามการฟอกเงินกับการรักษาความมั่นคงแห่งระบบการให้สินเชื่อในทางพาณิชย์ และเป็นการยืนยันหลักการว่าสิทธิของบุคคลภายนอกผู้สุจริตต้องได้รับการคุ้มครองก่อนการริบหรือคืนทรัพย์สินแก่รัฐ |





