
| หลักการค้ำประกัน & ผ่อนเวลา, ผู้ค้ำประกันพ้นความรับผิด (ฎีกา 2276/2568)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ 1.สิทธิผู้ค้ำประกันตามกฎหมาย, 2.ผู้ค้ำไม่ต้องรับผิดพักหนี้, 3.คุ้มครองผู้ค้ำในสัญญา, 4.หลักการค้ำประกัน & ผ่อนเวลา, 5.ผู้ค้ำประกันพ้นความรับผิด
คดีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ระหว่างผู้ให้เช่าซื้อกับผู้เช่าซื้อ ซึ่งภายหลังเกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้หลายราย ผู้ให้เช่าซื้อหรือโจทก์จึงออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ โดยให้สิทธิพักชำระหนี้แก่ผู้เช่าซื้อเป็นเวลา 6 เดือน เริ่มตั้งแต่งวดเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ถึงงวดเดือนกรกฎาคม 2563 อย่างไรก็ตาม แม้จะพักการชำระหนี้ แต่โจทก์ยังคงคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12.09 ต่อปี ระหว่างการพักหนี้ รวมเป็นเงินกว่า 14,000 บาท และถือเอาดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของราคาค่าเช่าซื้อที่ผู้เช่าซื้อต้องชำระ ต่อมา ผู้เช่าซื้อหรือจำเลยที่ 1 ชำระค่างวดต่อเนื่องได้เพียง 21 งวด แต่ภายหลังผิดนัดไม่ชำระติดต่อกัน 3 งวดตั้งแต่ต้นปี 2564 โจทก์จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและฟ้องเรียกให้จำเลยทั้งสอง ซึ่งรวมถึงผู้ค้ำประกันในสัญญา คือจำเลยที่ 2 ส่งมอบรถยนต์คืนหรือชำระราคาแทน พร้อมทั้งฟ้องเรียกดอกเบี้ยในช่วงพักหนี้ ค่าขาดประโยชน์จากการไม่ได้ใช้รถ และค่าเสียหายอื่น ๆ รวมถึงดอกเบี้ยในอัตราสูงเพิ่มเติมตามฟ้อง (อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับเต็ม) ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ส่งคืนรถหรือใช้ราคาแทน พร้อมกำหนดค่าเสียหายและดอกเบี้ยบางส่วน โดยเห็นว่าโจทก์มีสิทธิเรียกเก็บดอกเบี้ยระหว่างพักหนี้ได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กลับคำพิพากษาบางส่วน โดยยกคำขอให้เรียกเก็บดอกเบี้ยในช่วงพักหนี้ และยกฟ้องผู้ค้ำประกัน เนื่องจากไม่ได้ให้ความยินยอมต่อการพักหนี้หรือการขยายเวลาชำระหนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคจึงรับวินิจฉัยเฉพาะประเด็นที่โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ให้สิทธิพักหนี้แก่จำเลยที่ 1 ถือเป็นการ “ผ่อนเวลา” ตามความหมายในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 700 ซึ่งกำหนดไว้ชัดเจนว่า หากเจ้าหนี้ผ่อนเวลาให้ลูกหนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ค้ำประกัน ผู้ค้ำย่อมไม่ต้องรับผิด การที่ผู้ค้ำมิได้ลงลายมือชื่อยินยอมในเอกสารผ่อนเวลาจึงทำให้จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 การตีความนี้สอดคล้องกับหลักคุ้มครองผู้ค้ำประกัน ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่เข้ามาช่วยเหลือลูกหนี้ ไม่ควรตกเป็นภาระหนักเกินกว่าที่ตนตกลงไว้แต่แรก สำหรับประเด็นดอกเบี้ย ศาลฎีกาชี้ว่า การที่โจทก์เรียกเก็บดอกเบี้ยระหว่างช่วงพักหนี้เป็นการคิดผลประโยชน์เพิ่มเติมเกินกว่าสัญญาเช่าซื้อเดิมที่กำหนดไว้ เมื่อสัญญาเช่าซื้อถูกบอกเลิกแล้ว คู่สัญญาย่อมต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามมาตรา 391 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กล่าวคือ ต้องคืนประโยชน์ที่ได้รับและไม่สามารถบังคับเรียกร้องผลประโยชน์ที่เกินเลยจากข้อตกลงเดิมได้ ดังนั้น ดอกเบี้ย 14,422.22 บาทที่คิดระหว่างพักหนี้จึงไม่อาจบังคับเรียกเก็บจากผู้เช่าซื้อได้ คำวินิจฉัยนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งใน 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ หนึ่ง การปกป้องสิทธิของผู้ค้ำประกัน หากเจ้าหนี้ขยายเวลาชำระหนี้โดยไม่ยินยอม ผู้ค้ำไม่ต้องรับผิด และสอง การตีความสิทธิของเจ้าหนี้ในการเรียกเก็บดอกเบี้ยเพิ่มเติมในช่วงการพักหนี้ ซึ่งถือเป็นการเรียกเก็บผลประโยชน์เกินควรและขัดกับหลักคืนสู่ฐานะเดิมเมื่อสัญญาเลิก หลักการทั้งสองประการนี้สะท้อนถึงเจตนารมณ์ของศาลฎีกาในการคุ้มครองผู้บริโภคไม่ให้ถูกเอาเปรียบในสัญญาที่ไม่สมดุล โดยสรุป คดีนี้ตอกย้ำว่า การค้ำประกันต้องอยู่ในขอบเขตที่ผู้ค้ำยินยอม หากเจ้าหนี้ดำเนินการใด ๆ โดยไม่ขอความยินยอม ผลย่อมไม่ผูกพันผู้ค้ำ และการพักหนี้ไม่เปิดช่องให้เรียกเก็บดอกเบี้ยเกินกว่าที่กำหนดในสัญญาเดิม เจ้าหนี้จึงไม่สามารถบังคับลูกหนี้หรือผู้ค้ำให้รับผิดเกินข้อตกลงได้ ถือเป็นคำพิพากษาที่สร้างมาตรฐานสำคัญต่อการตีความสัญญาเช่าซื้อและการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคในประเทศไทย
ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2276/2568 กฎหมายที่เป็นหัวใจสำคัญ 1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 700 → หากเจ้าหนี้ผ่อนเวลาให้ลูกหนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ค้ำ ผู้ค้ำไม่ต้องรับผิด 2. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง → เมื่อสัญญาเลิก คู่สัญญาต้องคืนสู่ฐานะเดิม ผลประโยชน์เกินจากสัญญาไม่อาจบังคับได้
Keywords สำคัญที่สุด 1. ผู้ค้ำประกัน (Guarantor Liability) o ประเด็นหลักคือผู้ค้ำประกันต้องรับผิดหรือไม่ เมื่อเจ้าหนี้ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้ลูกหนี้ โดยไม่แจ้งหรือให้ผู้ค้ำยินยอม 2. การผ่อนเวลา (Extension of Time) o โจทก์พักชำระหนี้ 6 เดือนในช่วงโควิด-19 ถือเป็นการ “ผ่อนเวลา” ตามกฎหมาย ทำให้ผู้ค้ำพ้นจากความรับผิดหากไม่ยินยอม 3. ดอกเบี้ยระหว่างพักหนี้ (Interest during Payment Holiday) o โจทก์เรียกเก็บดอกเบี้ย 14,422.22 บาทในช่วงพักหนี้ แต่ศาลเห็นว่าไม่ชอบ เพราะเป็นผลประโยชน์เกินจากสัญญา 4. การเลิกสัญญาเช่าซื้อ (Termination of Hire-Purchase Contract) o เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิก ต้องคืนสู่ฐานะเดิม ผลประโยชน์ที่เรียกเกิน (ดอกเบี้ยพักหนี้) จึงไม่สามารถเรียกได้ 5. การคุ้มครองผู้บริโภค (Consumer Protection Principle) o คดีนี้เป็นแนววินิจฉัยสำคัญในคดีผู้บริโภค ป้องกันการเอาเปรียบของเจ้าหนี้ต่อผู้ค้ำและลูกหนี้
👉 สรุป: แก่นของคดีนี้อยู่ที่ มาตรา 700 และ มาตรา 391 ป.พ.พ. ที่ศาลฎีกาใช้วางหลักว่า ผู้ค้ำไม่ต้องรับผิดถ้าเจ้าหนี้ผ่อนเวลาโดยไม่ยินยอม และดอกเบี้ยระหว่างพักหนี้ไม่อาจบังคับได้
หลักกฎหมายตามมาตรา 700 และมาตรา 391 วรรคหนึ่ง ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พร้อมขยายความและยกตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 700 ข้อความกฎหมาย: “ถ้าเจ้าหนี้ได้ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้โดยผู้ค้ำประกันมิได้ยินยอมด้วย ผู้ค้ำประกันก็พ้นจากความรับผิด” หลักการ: มาตรานี้มุ่งคุ้มครองผู้ค้ำประกัน ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่เข้ามาช่วยลูกหนี้ หากเจ้าหนี้เปลี่ยนเงื่อนไขสัญญาด้วยการ “ผ่อนเวลา” โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ค้ำประกัน ถือว่าเพิ่มความเสี่ยงและภาระต่อผู้ค้ำโดยไม่เป็นธรรม กฎหมายจึงกำหนดให้ผู้ค้ำพ้นจากความรับผิดในหนี้ส่วนนั้น ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา: • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1394/2548 ศาลวินิจฉัยว่า เมื่อเจ้าหนี้ทำหนังสือผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้โดยผู้ค้ำไม่ยินยอม ถือว่าผู้ค้ำไม่ต้องรับผิดในหนี้ที่ผ่อนเวลา เพราะมาตรา 700 บัญญัติชัดเจนเพื่อคุ้มครองผู้ค้ำ
2. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง ข้อความกฎหมาย: “ถ้าสัญญาเลิกกัน คู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมดังที่เป็นอยู่ก่อนทำสัญญา” หลักการ: มาตรานี้เป็นหลักการ Restitution หรือการคืนสู่ฐานะเดิม เมื่อสัญญาเลิก ผลผูกพันของสัญญายุติลง คู่สัญญาต้องคืนสิ่งที่ได้ไปแก่กัน และไม่สามารถเรียกร้องผลประโยชน์ใด ๆ เกินกว่าที่สัญญากำหนด เช่น ดอกเบี้ยหรือค่าปรับเพิ่มเติม หากไม่มีข้อตกลงโดยชอบ ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา: • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1558/2544 คู่สัญญาซื้อขายที่ดินผิดสัญญา ศาลวินิจฉัยว่า เมื่อมีการเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาต้องคืนเงินและทรัพย์สินที่ได้รับกลับคืนแก่กันตามมาตรา 391 วรรคหนึ่ง การเรียกผลประโยชน์เพิ่มเติมเกินจากข้อตกลงเดิมไม่สามารถทำได้
สรุปการเชื่อมโยง • มาตรา 700: คุ้มครองผู้ค้ำไม่ให้ต้องรับผิด หากเจ้าหนี้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเวลาโดยไม่ยินยอม • มาตรา 391 วรรคหนึ่ง: คุ้มครองคู่สัญญาไม่ให้ถูกเรียกเก็บผลประโยชน์เกินควรหลังสัญญาเลิก
👉 ดังนั้น บทความคำพิพากษานี้ สามารถชี้ให้เห็นว่า คดีนี้เป็นการตีความและบังคับใช้ มาตรา 700 และมาตรา 391 วรรคหนึ่ง อย่างชัดเจน โดยยึดหลักการคุ้มครองผู้ค้ำประกันและการคืนสู่ฐานะเดิมหลังการเลิกสัญญา ซึ่งมีแนววินิจฉัยศาลฎีกาก่อนหน้านี้รองรับ
|




.jpg)