การถือเอาสิทธิแก่บุคคลภายนอกในกิจการซึ่งไม่ปรากฏชื่อของตน -ปรึกษาทนายความ (นายลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ) โทร.085-9604258 -ติดต่อทางอีเมล : leenont0859604258@yahoo.co.th -ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์ ID line : (1) @leenont หรือ (2) @peesirilaw (3) 0859604258 เพิ่มเพื่อนด้วยหมายเลขโทรศัพท์ -Line Official Account : เพิ่มเพื่อนด้วย QR CODE
ข้อ 7. นายตุนเป็นเจ้าของตึกแถว 3 ชั้นหนึ่งห้อง ต้องการลงทุนเปิดเป็นร้านขายของแต่ไม่มีเงินจึงไปชวนเพื่อนชื่อนายตันและนายต่วนเข้าหุ้น ทั้งสองคนตกลงเอาเงินสดคนละ 100,000 บาท มาลงทุนร่วมกับนายตุน โดยทั้งสามคนตกลงจะไปจดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดภายหลัง ให้นายตุนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ระหว่างที่ยังไม่ได้จดทะเบียนก็ให้ทำการค้าร่วมกันไปก่อน นายตุนเห็นว่าร้านที่ตั้งขึ้นนั้นไม่ได้ใช้ประโยชน์ในตึกแถวชั้นที่ 3 จึงทำสัญญาเช่าให้นางสาวดรุณีผู้เช่าใช้เป็นห้องพักอาศัย ต่อมาปีเศษร้านค้าขายขาดทุน ทั้งนายต่วนถูกรถยนต์ชนถึงแก่ความตาย นายตันเตือนให้นายตุนรีบไปจดทะเบียนร้านตามข้อตกลง และเรียกค่าเช่าที่นางสาวดรุณีค้างชำระอยู่จำนวน 38,000 บาท เพื่อมาใช้เป็นทุนในร้าน แต่นายตุนเพิกเฉย นายตันจึงฟ้องนางสาวดรุณีเรียกค่าเช่าตามสัญญาเช่าจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย และแจ้งนายตุนขอเลิกกิจการร้านนี้ให้วินิจฉัยว่า (ก) นายตันจะฟ้องนางสาวดรุณีได้หรือไม่ ธงคำตอบ (ก) กรณีตามปัญหา กิจการที่นายตุน นายตันและนายต่วนร่วมกันเปิดเป็นร้านขายของนั้นเป็นสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1012 แม้จะตกลงกันให้จัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด แต่ถ้ายังมิได้จดทะเบียนอยู่ตราบใด ให้ถือว่าเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญอยู่ ตามมาตรา 1079 ซึ่งจักต้องใช้บทบัญญัติในเรื่องห้างหุ้นส่วนสามัญมาใช้บังคับ คดีที่นายตันฟ้องนางสาวดรุณีเรียกค่าเช่าตามสัญญาเช่า แม้นายตันเป็นหุ้นส่วนและมีส่วนเป็นเจ้าของในตึกแถวชั้นที่ 3 ที่ให้เช่าด้วยก็ตาม แต่นายตันมิใช่คู่สัญญากับนางสาวดรุณีในสัญญาเช่าตึกดังกล่าว ดังนั้น นายตันย่อมไม่อาจถือสิทธิตามสัญญาเช่าเรียกค่าเช่าจากนางสาวดรุณีซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ ตามมาตรา 1049 นายตันจึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเช่าพร้อมดอกเบี้ยจากนางสาวดรุณี (คำพิพากษาฎีกาที่ 2578/2535 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1012 "อันว่าสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปตกลงเข้ากัน เพื่อกระทำกิจการร่วมกันด้วยประสงค์ จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทำนั้น" มาตรา 1079 "อันห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนอยู่ตราบใด ท่านให้ถือว่าเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ ซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหมด ย่อมต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วน โดยไม่มีจำกัด จำนวนจนกว่าจะได้จดทะเบียน " มาตรา 1049 "ผู้เป็นหุ้นส่วนจะถือเอาสิทธิใด ๆ แก่บุคคลภายนอก ในกิจการค้าขายซึ่งไม่ปรากฏชื่อของตนนั้นหาได้ไม่" มาตรา 1055 "ห้างหุ้นส่วนสามัญย่อมเลิกกันด้วยเหตุดั่งกล่าวต่อไปนี้ มาตรา 1060 "ในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งกล่าวไว้ใน มาตรา 1055 อนุมาตรา (4) หรืออนุ(5) นั้น ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนที่ยังอยู่รับซื้อหุ้น ของผู้ที่ออกจากหุ้นส่วนไปไซร้ ท่านว่าสัญญาหุ้นส่วนนั้นก็ยังคงใช้ได้ ต่อไปในระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนที่ยังอยู่ด้วยกัน " คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2578/2535 คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยว่าผิดสัญญาเช่าโดย ไม่ชำระค่าเช่าจึงขอให้ขับไล่จำเลย ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหายคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าเกี่ยวกับการเช่าดังกล่าวโจทก์จำเลยตกลงกันด้วยวาจาว่าโจทก์ยอมให้จำเลยใช้น้ำประปาและไฟฟ้า แต่จำเลยต้องเป็นผู้ชำระเงินค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้า จำเลยไม่ชำระค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้าบางเดือน โจทก์ได้ชำระแทนไปแล้ว จึงขอให้บังคับจำเลยชำระเงินที่โจทก์ได้ชำระแทนไปข้อตกลงเรื่องโจทก์ยินยอมให้จำเลยใช้น้ำประปาและไฟฟ้าโดย จำเลยเป็นผู้ชำระเงิน เป็นข้อตกลงต่างหากจากสัญญาเช่า มิใช่เรื่องเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องคดีแรก ไม่เป็นฟ้องซ้อน หุ้นส่วนที่จะฟ้องบังคับบุคคลภายนอกในกิจการค้าของห้างหุ้นส่วนสามัญได้จะต้องเป็นผู้มีชื่อในกิจการค้านั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1049 การฟ้องคดีจึงไม่จำเป็นต้องลงชื่อบรรดาผู้ถือหุ้นทุกคน เมื่อตามสัญญาเช่ามีแต่ชื่อโจทก์ที่ 1 ไม่มีชื่อโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 จึงไม่อาจถือสิทธิใด ๆ แก่จำเลยในการเช่า และไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญลาดกระบังเธียเตอร์และเป็นเจ้าของโรงภาพยนตร์ลาดกระบังเธียเตอร์ โดย มีโจทก์ที่ 1 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยได้ทำสัญญาเช่าโรงภาพยนตร์ของโจทก์ทั้งสี่ และเช่ากิจการต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 3 รายการ คือ ทำสัญญาเช่าโรงภาพยนตร์หนึ่งฉบับ สัญญาเช่าสำนักงาน ห้องพากย์ภาพยนตร์ ห้องติดตั้งเครื่องปรับอากาศหนึ่งฉบับ และสัญญาเช่าห้องใต้อัฒ จันทร์โรงภาพยนต์ ห้องควบคุมไฟฟ้า ห้องพักหลังจอภาพยนตร์ อีกหนึ่งฉบับโดย มีกำหนดอายุสัญญาเช่า 3 ปี 9 เดือน เหมือนกันทั้งสามฉบับนับตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม 2525 ไปจนถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์2529 ค่าเช่าทั้งสามรายการเป็นเงินเดือนละ 30,000 บาท จำเลยจะต้องเป็นผู้ชำระค่าภาษีโรงเรือน จะต้องเป็นผู้ชำระค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้า แต่ไม่ได้ระบุไว้ในสัญญาเช่า จำเลยผิดสัญญาโจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและนำคดีไปฟ้องที่ศาลจังหวัดมีนบุรี เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2527 ศาลจังหวัดมีนบุรีพิพากษาขับไล่จำเลยให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 368/2528คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ต่อมาโจทก์ทราบว่าจำเลยยังมิได้ชำระค่าน้ำประปาประจำเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคม2527 เป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 4,511 บาท ไม่ได้ชำระค่าไฟฟ้าในเดือนธันวาคม 2526 มกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคม 2527 พร้อมด้วยดอกเบี้ย ในการผิดนัดเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 74,188.44 บาท และค้างภาษีโรงเรือนในปี 2525 เป็นเงินจำนวน 16,992 บาท เบี้ยปรับจำนวน 1,699.20 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 18,691.20 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 97,390.64 บาท โจทก์ชำระค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้าค่าภาษีโรงเรือนและเบี้ยปรับแทนไปแล้ว โจทก์ทวงถามเงินดังกล่าวคืนแล้วจำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน97,390.44 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การว่า ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ จำเลยไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายหรือตามสัญญาที่จะต้องเสียภาษีโรงเรือนของปี 2525ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า จำเลยไม่เคยค้างชำระ ขอให้พิพากษายกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินค่าน้ำประปาค่ากระแสไฟฟ้า รวมเป็นเงินจำนวน 78,699.44 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้าเป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 368/2528 ของศาลจังหวัดมีนบุรีหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความตามคำฟ้องของโจทก์และฎีกาของจำเลยว่าคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 368/2528 ของศาลจังหวัดมีนบุรี โจทก์ฟ้องจำเลยว่าผิดสัญญาเช่าโดย ไม่ชำระค่าเช่า จึงขอให้ขับไล่จำเลยให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหาย ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าเกี่ยวกับการเช่าดังกล่าว โจทก์จำเลยตกลงกันด้วยวาจาว่าโจทก์ยอมให้จำเลยใช้น้ำประปาและไฟฟ้า แต่จำเลยต้องเป็นผู้ชำระเงินค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้า จำเลยไม่ชำระค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้าบางเดือน โจทก์ได้ชำระแทนไปแล้ว จึงขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้าที่โจทก์ได้ชำระแทนไปเห็นว่าข้อตกลงเรื่องโจทก์ยินยอมให้จำเลยใช้น้ำประปาและไฟฟ้าโดย จำเลยเป็นผู้ชำระเงิน เป็นข้อตกลงต่างหากจากสัญญาเช่าจึงมิใช่เรื่องเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องคดีแรก ฟ้องโจทก์คดีนี้เกี่ยวกับค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้า จึงไม่เป็นฟ้องซ้อน ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยข้อต่อไปมีว่า โจทก์ทั้งสี่มีอำนาจฟ้องหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า ตามสัญญาหุ้นส่วนท้ายฟ้องมีผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกัน 5 คน คือ โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3นางสุชาดา กิติมหาคุณ และนางดารณี อุดมลาภประสิทธิ ในการฟ้องคดีจะต้องให้บุคคลทั้งห้าลงลายมือชื่อร่วมกัน แต่หนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องคงมีแต่ลายมือชื่อโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 จึงเป็นการไม่ชอบทั้งหนังสือมอบอำนาจเป็นเอกสารปลอม นั้น เห็นว่า แม้ห้างหุ้นส่วนสามัญลาดกระบังเธียเตอร์จะมีหุ้นส่วนหลายคนแต่ในเรื่องความเกี่ยวพันกับบุคคลภายนอกนั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1049 บัญญัติว่า "ผู้เป็นหุ้นส่วนจะถือเอาสิทธิใด ๆ แก่บุคคลภายนอกในกิจการค้าขายซึ่งไม่ปรากฏชื่อของตนนั้นหาได้ไม่" แสดงว่าหุ้นส่วนที่จะฟ้องขอบังคับบุคคลภายนอกในกิจการค้าของห้างหุ้นส่วนจะต้องเป็นผู้มีชื่อในกิจการค้านั้น การที่หุ้นส่วนของห้างหุ้นส่วนสามัญฟ้องคดีจึงไม่จำเป็นต้องลงชื่อบรรดาผู้ถือหุ้นทุกคนดังที่จำเลยฎีกา แต่อย่างไรก็ตามปรากฏตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.4 ถึง จ.6 ว่า มีแต่ชื่อโจทก์ที่ 1 ในสัญญา ไม่ปรากฏชื่อโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ในสัญญาเช่าด้วย โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4จึงไม่อาจถือสิทธิใด ๆ แก่จำเลยในการเช่านี้ และไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ปัญหาข้อนี้แม้จำเลยจะไม่ได้ยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้" พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องคดีสำหรับโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3196/2532 เมื่อหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดตาย ห้างหุ้นส่วนจำกัดย่อมเลิกกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1055(5)1080แต่หุ้นส่วนที่ยังคงอยู่อาจตกลงให้ห้างยังคงอยู่ต่อไป โดยรับทายาทของหุ้นส่วนที่ตายเข้ามาเป็นหุ้นส่วนแทนได้ เมื่อปรากฏว่า บ. หุ้นส่วนผู้จัดการห้างโจทก์ถึงแก่ความตายในระหว่างการพิจารณาหุ้นส่วนอื่นได้รับ ช. ซึ่งเป็นทายาทผู้รับมรดกให้เข้าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการแทน บ. ห้างโจทก์จึงคงอยู่ต่อมาและเมื่อศาลอนุญาตให้ ช. เข้าเป็นผู้แทนโจทก์แทน บ. แล้ว ห้างโจทก์จึงมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้โดยชอบด้วยกฎหมาย. โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมีนายบุญช่วย ศรีวิจิตร เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยซื้อเชื่น้ำมันเชื้อเพลิงไปจากโจทก์เป็นเงิน 174,000 บาท แล้วไม่ชำระขอให้บังคับจำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การต่อสู้คดีหลายประการ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 174,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยชำระเงิน 162,877 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า นายบุญช่วยหุ้นส่วนผู้จัดการตายในระหว่างการพิจารณา ห้างโจทก์ต้องเลิกกันโดยผลของกฎหมาย การดำเนินกระบวนพิจารณาของโจทก์ภายหลังที่นายบุญช่วยตายจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า โดยปกติเมื่อหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดตาย ห้างหุ้นส่วนจำกัดย่อมเลิกกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1055(5), 1080 แต่หุ้นส่วนที่ยังอยู่อาจตกลงกันให้ห้างยังคงอยู่ต่อไป โดยรับทายาทของหุ้นส่วนที่ตายเข้ามาเป็นหุ้นส่วนแทนได้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าหลังจากนายบุญช่วยตายแล้ว หุ้นส่วนอื่นได้รับนายไชยศิริศรีวิจิตร ซึ่งเป็นทายาทผู้รับมรดกให้เข้าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการแทนนายบุญช่วย ตามหนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดนครสวรรค์ ห้างหุ้นส่วนโจทก์จึงยังคงอยู่ต่อมา มิได้เลิกไปอีกทั้งศาลชั้นต้นก็ได้อนุญาตให้นายไชยศิริเข้าเป็นผู้แทนของโจทก์แทนนายบุญช่วยแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้ พิพากษายืน. มาตรา 1080 "บทบัญญัติว่าด้วยห้างหุ้นส่วนสามัญข้อใดๆ หากมิ ได้ยกเว้นหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปโดยบทบัญญัติแห่งหมวด 3 นี้ ท่านให้นำมาใช้บังคับแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดด้วย ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดนั้นมีอยู่หลายคนด้วยกัน ท่านให้ใช้บทบัญญัติสำหรับห้างหุ้นส่วนสามัญ เป็นวิธีบังคับในความ เกี่ยวพันระหว่างคนเหล่านั้นเอง และความเกี่ยวพันระหว่างผู้เป็น หุ้นส่วนเหล่านั้นกับห้างหุ้นส่วน"
|