ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




การสืบพยานล่วงหน้าในคดีอาญา article

การสืบพยานล่วงหน้าในคดีอาญา

ข้อ 9. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรพัทยา จังหวัดชลบุรี ได้สอบสวนดำเนินคดีนายอาจเป็นผู้ต้องหา เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2551 ในข้อหาวิ่งราวทรัพย์ของนางสาวแอนนาที่หาดพัทยาเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2551 ในชั้นสอบสวน นายอาจได้อ้างนายโรเบิร์ต นักธุรกิจชาวอเมริกันซึ่งมาท่องเที่ยวเป็นพยาน โดยนายโรเบิร์ตได้ให้การยืนยันว่า ในวันเกิดเหตุนายโรเบิร์ตได้เช่าเรือใบของนายอาจออกทะเลลึกตลอดวันตั้งแต่เช้ามืดจนถึงค่ำ โดยนายอาจไปด้วยจึงเป็นไปไม่ได้ที่นายอาจจะกระทำผิดตามข้อกล่าวหา แต่โดยที่นายโรเบิร์ตจะต้องเดินทางกลับประเทศสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 10 เมษายน 2551 ทั้งจะต้องเดินทางไปประกอบธุรกิจอีกหลายประเทศตลอดทั้งปี 2551 ถึงปี 2553 ซึ่งไม่ทราบว่าช่วงเวลาใดจะอยู่ที่ไหน และนายโรเบิร์ตไม่มีกำหนดที่จะเข้ามาในประเทศไทยอีก นายอาจจึงประสงค์จะยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดพัทยาเพื่อขอนำตัวนายโรเบิร์ตมาสืบเป็นพยานของตนในฐานะผู้ต้องหาทันที 

ให้ท่านในฐานะทนายความร่างคำร้องให้ตามความประสงค์ของนายอาจ ผู้ต้องหา (ให้ร่างแต่ใจความในคำร้องโดยไม่ต้องคำนึงถึงแบบพิมพ์ของศาล) 

ธงคำตอบ

พนักงานสอบสวนจับกุมผู้ร้องเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2551 โดยแจ้งข้อกล่าวหาว่า ผู้ร้องวิ่งราวทรัพย์ของนางสาวแอนนา ที่หาดพัทยา เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2551 ในชั้นสอบสวนผู้ร้องอ้างนายโรเบิร์ต ชาวอเมริกันเป็นพยานในข้อเท็จจริงที่ว่า ในวันเกิดเหตุนายโรเบิร์ตได้เช่าเรือใบของผู้ร้องออกไปทะเลลึกตั้งแต่เช้ามืดจนถึงค่ำโดยผู้ร้องไปด้วย ผู้ร้องจึงไม่ใช่ผู้กระทำความผิด แต่โดยที่นายโรเบิร์ตเป็นนักธุรกิจจะต้องเดินทางกลับประเทศสหรัฐอเมริกาในวันที่ 10 เมษายน 2551 อีกทั้งจะต้องเดินทางไปประกอบธุรกิจอีกหลายประเทศตลอดทั้งปี 2551 ถึงปี 2553 ซึ่งไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแน่นอน และนายโรเบิร์ตไม่มีกำหนดที่จะเข้ามาในประเทศไทยอีก จึงเป็นการยากที่จะนำนายโรเบิร์ตมาสืบเป็นพยานของผู้ร้องในชั้นพิจารณาของศาลในภายหลัง

ฉะนั้น เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ผู้ร้องจึงขอความกรุณาศาลสั่งให้สืบพยานนายโรเบิร์ตก่อน โดยผู้ร้องพร้อมที่จะนำตัวนายโรเบิร์ตมาศาลได้ทันที ขอศาลได้โปรดอนุญาต

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

ลงชื่อ ผู้ร้อง

คำร้องฉบับนี้ ข้าพเจ้า นาย ก. ทนายผู้ร้องเป็นผู้เรียงพิมพ์

ลงชื่อ ผู้เรียงพิมพ์

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

มาตรา 237ทวิ ก่อนฟ้องคดีต่อศาล เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อได้ ว่าพยานบุคคลจะเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร ไม่มีที่อยู่เป็น หลักแหล่ง หรือเป็นบุคคลมีถิ่นที่อยู่ห่างไกลจากศาลที่พิจารณาคดีหรือ มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะมีการยุ่งเหยิงกับพยานนั้นไม่ว่าโดยทางตรงหรือ ทางอ้อม หรือมีเหตุจำเป็นอื่นอันเป็นการยากแก่การนำพยานนั้นมาสืบ ในภายหน้า พนักงานอัยการโดยตรงเองหรือโดยได้รับคำร้องขอจากผู้ เสียหายหรือจากพนักงานสอบสวน จะยื่นคำร้องโดยระบุการกระทำ ทั้งหลายที่อ้างว่าผู้ต้องหาได้กระทำผิดต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้สืบ พยานนั้นไว้ทันทีก็ได้ ถ้ารู้ตัวผู้กระทำความผิด และผู้นั้นถูกควบคุมอยู่ ในอำนาจพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ ให้พนักงานอัยการ นำตัวผู้นั้นมาศาลหากถูกควบคุมอยู่ในอำนาจของศาล ให้ศาลเบิก ความตัวผู้นั้นมาพิจารณาต่อไป

เมื่อศาลได้รับคำร้องเช่นว่านั้น ให้ศาลสืบพยานนั้นทันที ในการนี้ ผู้ต้องหาจะซักค้านหรือตั้งทนายซักค้านพยานนั้นด้วยก็ได้

ในกรณีตามวรรคสอง ถ้าเป็นกรณีที่ผู้ต้องหานั้นถูกกล่าวหาว่า กระทำความผิดอาญา ซึ่งหากมีการฟ้องคดีจะเป็นคดีซึ่งศาลจะต้อง ตั้งทนายความให้ หรือจำเลยมีสิทธิขอให้ศาลตั้งทนายความให้ตาม มาตรา 173 ก่อนเริ่มสืบพยานดังกล่าว ให้ศาลถามผู้ต้องหาว่ามี ทนายความหรือไม่ ในกรณีที่ศาลตั้งตั้งทนายความให้ ถ้าศาลเห็นว่า ตั้งทนายความให้ทันก็ให้ตั้งทนายความให้และดำเนินการสืบพยาน นั้นทันที แต่ถ้าศาลเห็นว่าไม่สามารถตั้งทนายความได้ทันหรือผู้ต้องหา ไม่อาจตั้งทนายความได้ทัน ก็ให้ศาลซักถามพยานนั้นให้แทน

คำเบิกความของพยานดังกล่าวให้ศาลอ่านให้พยานฟัง หากมีตัว ผู้ต้องหาอยู่ในศาลด้วยแล้วก็ให้ศาลอ่านคำเบิกความดังกล่าวต่อหน้า ผู้ต้องหา

ถ้าต่อมาผู้ต้องหานั้นถูกฟ้องเป็นจำเลยในการกระทำผิดอาญานั้น ก็ให้รับฟังคำพยานดังกล่าวในการพิจารณาคดีนั้นได้

ในกรณีที่ผู้ต้องหาเห็นว่า หากตนถูกฟ้องเป็นจำเลยแล้ว บุคคล ซึ่งจำเป็นจะต้องนำมาสืบเป็นพยานของตนจะเดินทางออกไปนอก ราชอาณาจักร ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หรือเป็นบุคคลมีถิ่นที่อยู่ห่าง ไกลจากศาลที่พิจารณาคดี หรือมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะมีการยุ่งเหยิง กับพยานนั้นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม หรือมีเหตุจำเป็นอื่นอัน เป็นการยากแก่การนำพยานนั้นมาสืบในภายหน้า ผู้ต้องหานั้นจะยื่น คำร้องต่อศาลโดยแสดงเหตุผลความจำเป็น เพื่อให้ศาลมีคำสั่งอนุญาต ให้สืบพยานบุคคลนั้นไว้ทันทีก็ได้

เมื่อศาลเห็นสมควร ให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้สืบพยานนั้นและแจ้ง ให้พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการที่เกี่ยวข้องทราบ ในการสืบ พยานดังกล่าว พนักงานอัยการมีสิทธิที่จะซักค้านพยานนั้นได้และให้ นำความในวรรคสาม วรรคสี่ และวรรคห้า มาใช้บังคับโดยอนุโลม

ให้นำบทบัญญัติใน มาตรา 172ตรี มาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่การ สืบพยานที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10272/2553

ศาลชั้นต้นให้สืบพยานผู้เสียหาย และ ว. ไว้ก่อนในคดีหมายเลขแดงที่ 895/2546 ของศาลชั้นต้นที่พวกของจำเลยซึ่งร่วมกระทำความผิดกับจำเลยในคดีนี้ถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 คดีนี้และคดีดังกล่าวจึงเป็นคดีเดียวกัน ศาลจึงรับฟังคำเบิกความของผู้เสียหาย และ ว. ในการพิจารณาคดีนี้ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 237 ทวิ วรรคห้า

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91, 289, 295, 309, 310, 364, 365

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 ประกอบด้วยมาตรา 364, 83 ลงโทษจำคุก 2 ปี กระทงหนึ่ง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 วรรคสอง, 310 วรรคแรก, 83 ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด (ที่ถูก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90) ลงโทษจำคุก 3 ปี กระทงหนึ่ง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุก 6 เดือน กระทงหนึ่ง และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ลงโทษประหารชีวิตอีกกระทงหนึ่ง (ที่ถูก การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ) รวมทุกกระทงแล้ว คงลงโทษประหารชีวิต ข้อนำสืบของจำเลยเป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม (ที่ถูกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1)) คงจำคุกตลอดชีวิต

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ในความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดตามฟ้อง จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง ประกอบมาตรา 80, 83ฐานร่วมกันพยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ โดยมีอาวุธหรือโดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เป็นกรรมเดียวกับความผิดตามมาตรา 310 วรรคหนึ่ง ลงโทษตามมาตรา 309 วรรคสอง ประกอบมาตรา 80, 83 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน เมื่อรวมกับโทษจำคุก 6 เดือน และโทษจำคุกตลอดชีวิตตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นอีกสองกระทง เป็นจำคุกตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ให้ยกฟ้องโจทก์ฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364, 365 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำเบิกความของผู้เสียหายและนางวาสนาซึ่งศาลชั้นต้นให้สืบพยานไว้ก่อนในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 895/2546 ของศาลชั้นต้น ซึ่งพวกของจำเลยคือนายเอกชัยบุตรจำเลย นายสมศักดิ์หลานเขยจำเลย นายพิชิตพล และนายพัฒนพงศ์ซึ่งร่วมกระทำความผิดกับจำเลยในคดีนี้ถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ในคดีดังกล่าว คดีนี้และคดีดังกล่าวจึงเป็นคดีเดียวกัน แต่ที่พนักงานอัยการต้องแยกฟ้องเป็น 2 คดี เนื่องจากจับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ก่อน ส่วนจำเลยเพิ่งจับได้ในภายหลังเพราะจำเลยหลบหนี ดังนั้น ศาลจึงรับฟังคำเบิกความของผู้เสียหายและนางวาสนาที่ได้เบิกความไว้ในคดีดังกล่าว ในการพิจารณาคดีนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 237 ทวิ วรรคห้า

พิพากษายืน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2980/2547

ก่อนฟ้องคดีต่อศาล เมื่อมีเหตุดังที่ระบุไว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา 237 ทวิ วรรคแรก พนักงานอัยการย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลมีคำสั่งสืบพยานนั้นไว้ทันทีก็ได้ โดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นกรณีที่ผู้ที่ผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวอยู่หรือไม่ ประกอบกับ ป.วิ.อ. มาตรา 237 ทวิ วรรคสี่ ก็ให้ศาลสามารถมีคำสั่งอนุญาตให้สืบพยานและอ่านคำเบิกความของพยานให้พยานฟังนั้นฟังได้แม้ผู้ต้องหาจะไม่ถูกจับกุมหรือถูกควบคุมตัวอยู่

คดีสืบเนื่องมาจากผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธร อำเภอโกรกพระ ได้นำหมายค้นไปตรวจค้นบ้านเลขที่ 195/1 หมู่ที่ 3 ตำบลโกรกพระของผู้ต้องหา พบมีคนต่างด้าวสัญชาติพม่าอาศัยอยู่ที่ 6 คน จึงจับกุมคนต่างด้าวส่งพนักงานสอบสวน คดีอยู่ระหว่างการสอบสวนความผิดของผู้ต้องหาและยังมิได้ตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีเนื่องจากผู้ต้องหาหลบหนี โดยที่พยานสำคัญในคดีนี้ต้องถูกผลักดันออกนอกราชอาณาจักร จึงเป็นการยากที่จะนำพยานดังกล่าวมาสืบในภายหน้า ผู้ร้องจึงขอให้ศาลสืบพยานดังกล่าวไว้ก่อนฟ้อง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้ต้องหายังไม่ถูกควบคุมอยู่ในอำนาจพนักงานสอบสวน กรณีจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะสืบพยานก่อนฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 237 ทวิ วรรคแรก ให้ยกคำร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า การขอสืบพยานไว้ก่อนต้องกระทำโดยเปิดเผยต่อหน้าผู้ต้องหา เมื่อคดีนี้ผู้ร้องยังไม่ได้ตัวผู้ต้องหา กรณียังไม่อาจขอสืบพยานไว้ก่อนได้ ที่ศาลชั้นต้นยกคำขอของผู้ร้องชอบแล้ว อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 237 ทวิ วรรคแรก บัญญัติว่า "ก่อนฟ้องคดีต่อศาลเมื่อมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าพยานบุคคลจะเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งหรือเป็นบุคคลมีถิ่นที่อยู่ห่างไกลจากศาลที่พิจารณาคดี หรือมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะมีการยุ่งเหยิงกับพยานนั้นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม หรือมีเหตุจำเป็นอื่นอันเป็นการยากแก่การนำพยานนั้นมาสืบในภายหน้า พนักงานอัยการโดยตนเองหรือโดยได้รับคำร้องขอจากผู้เสียหายหรือพนักงานสอบสวน จะยื่นคำร้องโดยระบุการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าผู้ต้องหาได้กระทำผิดต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งสืบพยานนั้นไว้ทันทีก็ได้ ถ้ารู้ตัวผู้กระทำความผิดและผู้นั้นถูกควบคุมอยู่ในอำนาจพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ ให้พนักงานอัยการนำตัวผู้นั้นมาศาล หากถูกควบคุมอยู่ในอำนาจของศาลให้ศาลเบิกตัวผู้นั้นมาพิจารณาต่อไป" จากบทบัญญัติดังกล่าว เห็นได้ว่า กรณีก่อนฟ้องคดีต่อศาล เมื่อมีเหตุดังที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 237 ทวิ วรรคแรก พนักงานอัยการย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลมีคำสั่งสืบพยานนั้นไว้ทันทีก็ได้ โดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นกรณีที่ผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวอยู่หรือไม่ ดังจะเห็นได้จากข้อความที่บัญญัติไว้ในตอนท้ายของวรรคแรกว่า ถ้ารู้ตัวผู้กระทำความผิดและผู้นั้นถูกควบคุมอยู่ในอำนาจพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ ให้พนักงานอัยการนำตัวผู้นั้นมาศาล ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 237 ทวิ วรรคสี่ บัญญัติว่า "คำเบิกความของพยานดังกล่าวให้ศาลอ่านให้พยานฟัง หากมีตัวผู้ต้องหาอยู่ในศาลด้วยแล้ว ก็ให้ศาลอ่านคำเบิกความดังกล่าวต่อหน้าผู้ต้องหา" แสดงว่าแม้ผู้ต้องหาจะไม่ถูกจับกุมหรือถูกควบคุมตัวอยู่ ศาลก็สามารถมีคำสั่งอนุญาตให้สืบพยานและอ่านคำเบิกความของพยานให้พยานนั้นฟังได้ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น"

พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานของผู้ร้องและดำเนินการต่อไป

 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 757/2545

ป.วิ.อ. มาตรา 237 ทวิ เป็นบทบัญญัติในหมวด 2 พยานบุคคล จึงไม่อยู่ภายใต้บังคับมาตรา 172 วรรคสอง เพราะมิใช่การพิจารณาหลังฟ้องคดีต่อศาล ซึ่งศาลชั้นต้นจะต้องอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังและถามว่าได้กระทำผิดจริงหรือไม่ จะให้การต่อสู้คดีอย่างไรบ้าง

แม้ ส. จะเป็นเพียงเพื่อนผู้เสียหายซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุและทางราชการมิได้รับรองการเป็นล่ามก็ตาม เมื่อไม่มีบทบัญญัติในกฎหมายใดห้ามมิให้เป็นล่ามไว้ การเบิกความของผู้เสียหายซึ่งเป็นชาวต่างประเทศและไม่เข้าใจภาษาไทยโดยมี ส. เป็นล่ามจึงชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 46 วรรคสี่ และ ป.วิ.อ. มาตรา 15

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 336, 336 ทวิ

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 336 วรรคหนึ่ง, 336 ทวิ ประกอบมาตรา 80 ฐานพยายามวิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิด หรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ลงโทษจำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม เพื่อประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุให้บรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงลายมือชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่าศาลชั้นต้นสืบพยานผู้เสียหายก่อนฟ้องคดีต่อศาลชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 237 ทวิ หรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า การสืบพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 237 ทวิ จะต้องอยู่ภายใต้การบังคับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 วรรคสอง นั้น เห็นว่า มาตรา 237ทวิ เป็นบทบัญญัติในหมวด 2 พยานบุคคลที่กำหนดให้ศาลชั้นต้นที่ได้รับคำร้องจากพนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวนให้สืบพยานก่อนฟ้องคดีต่อศาล เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าพยานบุคคลซึ่งจะต้องนำมาสืบในภายหน้าจะเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรยากแก่การนำมาสืบ ดังนี้ การสืบพยานผู้เสียหายดังกล่าว จึงไม่อยู่ภายใต้บังคับมาตรา 172 วรรคสอง เพราะมิใช่การพิจารณาหลังฟ้องคดีต่อศาล ซึ่งศาลชั้นต้นจะต้องอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง และถามว่าได้กระทำผิดจริงหรือไม่ จะให้การต่อสู้คดีอย่างไรบ้าง ส่วนที่การสืบพยานผู้เสียหายก่อนฟ้องคดีต่อศาลปรากฏข้อความในรายงานกระบวนการพิจารณา ลงวันที่ 4 ตุลาคม 2541 เป็นการพิมพ์ข้อความแทรกระหว่างบรรทัดว่า "ก่อนสืบพยานได้สอบถามผู้ต้องหาแล้วแถลงว่าไม่ต้องการทนายความ"ซึ่งจำเลยยกเป็นข้อพิรุธสงสัยนั้น แต่จำเลยก็มิได้ยืนยันว่าศาลชั้นต้นไม่ได้ถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่ กลับเบิกความตอบโจทก์ถามค้านว่า เนื่องจากเวลาผ่านไปนานแล้วจำเลยจำไม่ได้ว่าศาลถามหรือไม่ จึงฟังได้ว่าศาลชั้นต้นได้ถามจำเลยในเรื่องทนายความแล้ว การสืบพยานผู้เสียหายก่อนฟ้องคดีต่อศาลเป็นไปโดยชอบ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายมีว่า การเบิกความของผู้เสียหายผ่านล่ามที่เป็นเพื่อนผู้เสียหายและอยู่ด้วยในที่เกิดเหตุ กับไม่ปรากฏว่าล่ามดังกล่าวทางราชการรับรองแล้ว เป็นการรับฟังพยานหลักฐานโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นสืบพยานผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 237 ทวินั้น โจทก์ได้จัดนางสาวอัจฉรา โล้วศรีสินเป็นล่ามซึ่งปรากฏว่าก่อนจะแปลคำเบิกความล่ามดังกล่าวสาบานตนแล้ว แม้นางสาวอัจฉราจะเป็นเพียงเพื่อนผู้เสียหาย ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุและทางราชการมิได้รับรองการเป็นล่ามก็ตาม ก็ไม่มีบทบัญญัติในกฎหมายใดห้ามมิให้เป็นล่ามไว้ อีกทั้งจำเลยก็มิได้คัดค้านล่ามดังกล่าวไว้ในการสืบพยาน การเบิกความของผู้เสียหายซึ่งเป็นชาวต่างประเทศและไม่เข้าใจภาษาไทยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 46 วรรคสี่ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 แล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย"

พิพากษายืน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3541/2550

โจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 ไว้ในข้อ 1 ว่า "เมื่อระหว่างตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2544 เวลากลางวัน จนถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2544 เวลากลางคืนหลังเที่ยง วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยได้บังอาจกระทำชำเราเด็กหญิง ส. อายุ 12 ปีเศษ (เกิดวันที่ 27 ตุลาคม 2532) ซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกิน 13 ปี และมิใช่ภริยาของจำเลย โดยเด็กหญิง ส. ยินยอม เหตุเกิดที่แขวงใดเขตใดไม่ปรากฏชัด ในกรุงเทพมหานคร" คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นการบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำความผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ พอที่จะทำให้จำเลยที่ 2 เข้าใจข้อหาได้ดีว่าวันเวลาที่จำเลยที่ 2 กระทำความผิดเป็นวันเวลาใด และจำเลยที่ 2 กระทำความผิดที่ใด โดยโจทก์หาต้องบรรยายระบุวัน เวลาที่แน่ชัดว่าจะต้องเป็นวันที่เท่าใด เดือนใด เวลาอะไรที่แน่นอน และหาต้องบรรยายระบุเหตุเกิดที่แขวงใด เขตใดที่แน่นอนในกรุงเทพมหานคร คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)

ป.วิ.อ. มาตรา 237 ทวิ เป็นบทบัญญัติในหมวด 2 พยานบุคคล ที่กำหนดให้ศาลชั้นต้นที่ได้รับคำร้องจากพนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวนให้สืบพยานไว้ก่อนฟ้องคดีต่อศาล เมื่อมีเหตุจำเป็นอื่นอันเป็นการยากแก่การนำพยานนั้นมาสืบในภายหน้า เช่น อาจจะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นแก่ผู้เสียหาย หรือมีเหตุจูงใจบางอย่างที่จะทำให้ผู้เสียหายไม่สามารถมาเบิกความเป็นพยานในภายหน้าได้ เป็นต้น การสืบพยานดังกล่าวจึงไม่อยู่ภายใต้บังคับมาตรา 172 วรรคสอง และคดีนี้ปรากฏว่าในวันนัดสืบพยานก่อนฟ้องคดีต่อศาล พนักงานอัยการได้แจ้งวันนัดสืบพยานให้จำเลยที่ 3 ทราบแล้ว แต่จำเลยที่ 3 ไม่มาศาลและไม่แต่งตั้งทนายความ แสดงว่าจำเลยที่ 3 ไม่ติดใจที่จะถามค้านผู้เสียหาย การสืบพยานผู้เสียหายก่อนฟ้องคดีต่อศาลจึงชอบด้วยกฎหมาย

คดีสองสำนวนนี้เดิมศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4531/2545 ของศาลชั้นต้น โดยให้เรียกจำเลยในคดีดังกล่าวว่า จำเลยที่ 1 และเรียกจำเลยสองสำนวนนี้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามลำดับ แต่คดีสำหรับจำเลยที่ 1 ยุติไปแล้ว ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีสองสำนวนนี้

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 277, 279, 282, 283, 312 ตรี, 317 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 พระราชบัญญัติมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ.2540 มาตรา 5, 7 นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 796/2545 ของศาลอาญาธนบุรี

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคสาม, 317 วรรคสาม ประกอบด้วยมาตรา 83, 90, 91 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 วรรคสาม และวรรคสี่ พระราชบัญญัติมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ.2540 มาตรา 5, 7 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง, 279 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 91 เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กรวมทั้งป้องปรามมิให้มีการล่อลวงเด็กไปทำการค้าประเวณี เห็นควรลงโทษสถานหนัก กำหนดโทษจำเลยที่ 1 ฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี เพื่อการอนาจาร จำคุก 6 ปี ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคสาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 วรรคสาม และวรรคสี่ พระราชบัญญัติมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ.2540 มาตรา 5,7 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคสาม ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 15 ปี จำนวน 16 กระทง เป็นจำคุก 240 ปี แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 8 ปี ส่วนจำเลยที่ 3 ลงโทษฐานกระทำอนาจารเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี จำคุก 2 ปี ฐานกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี จำคุกกระทงละ 8 ปี จำนวน 2 กระทง รวมจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 18 ปี คำขอและข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคสาม, 317 วรรคสาม ประกอบด้วยมาตรา 83, 90, 91 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 วรรคสาม พระราชบัญญัติมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ.2540 มาตรา 7 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง, 279 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 91 ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี เพื่อการอนาจาร จำคุก 6 ปี ฐานเป็นธุระจัดหาหญิงเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 วรรคสาม ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 15 ปี จำนวน 16 กระทง เป็นจำคุก 240 ปี แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 8 ปี ส่วนจำเลยที่ 3 จำคุกฐานกระทำอนาจารเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี มีกำหนด 4 เดือน ฐานกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี จำนวน 2 กระทง จำคุกกระทงละ 8 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 16 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 3 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในความผิดฐานกระทำอนาจารเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่าเด็กหญิง ส. ผู้เสียหาย เกิดเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2532 เป็นบุตร ช. กับ ว. ตามสำเนาสูติบัตร ขณะเกิดเหตุคดีนี้ผู้เสียหายอายุ 12 ปีเศษ พักอาศัยอยู่กับ พ. เพื่อเรียนหนังสือ จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันพรากผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจาก ว. และ พ. มารดา ผู้ปกครองและผู้ดูแลเพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร และเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น จำเลยที่ 1 กับพวกเป็นธุระจัดหาชักพาผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารและเพื่อทำการค้าประเวณีโดยผู้เสียหายยอมให้บุคคลหลายคนกระทำชำเรา จำเลยที่ 1 กับพวกได้รับเงินเป็นค่าตอบแทนจากบุคคลดังกล่าว อันเป็นการสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้าเด็ก ทั้งนี้ เพื่อแสวงหารายได้จากการค้าประเวณีของผู้เสียหาย คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่าจำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความว่า ขณะที่ผู้เสียหายอยู่บ้านจำเลยที่ 1 นางสาวอุมาพรหรือบี แซ่ตั้ง พาผู้เสียหายไปพบจ่าหวังหรือจำเลยที่ 2 ที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากบ้านจำเลยที่ 1 วันดังกล่าวจำเลยที่ 2 แต่งเครื่องแบบตำรวจ ผู้เสียหายทราบว่าจำเลยที่ 2 รับราชการอยู่ที่สถานีตำรวจนครบาลบุปผาราม จำเลยที่ 2 มอบเงินให้แก่นางสาวอุมาพร นางสาวอุมาพรแยกตัวกลับไป จำเลยที่ 2 พาผู้เสียหายไปที่โรงแรมธนบุรีโฮเต็ล และให้ผู้เสียหายไปอาบน้ำ ผู้เสียหายอาบน้ำเสร็จแล้วได้นุ่งผ้าขนหนูออกจากห้องน้ำ จำเลยที่ 2 เข้าไปอาบน้ำ เมื่อจำเลยที่ 2 ออกจากห้องน้ำก็ถอดผ้าขนหนูของผู้เสียหายออกแล้วให้ผู้เสียหายนอนบนเตียง จำเลยที่ 2 ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง แล้วแต่งเครื่องแบบตำรวจพาผู้เสียหายนั่งรถยนต์เก๋งของจำเลยที่ 2 ออกจากโรงแรมไปส่งที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นผู้เสียหายกลับไปที่บ้านจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 มอบเงินให้ผู้เสียหาย 800 หรือ 1,000 บาท ผู้เสียหายไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 2 มาก่อน เห็นว่า เหตุเกิดเวลากลางวัน ผู้เสียหายอยู่ใกล้ชิดกับจำเลยที่ 2 เป็นเวลานานพอสมควร ย่อมจำรูปร่างลักษณะของจำเลยที่ 2 ได้ ทั้งในชั้นสอบสวนผู้เสียหายได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนตอนหนึ่งว่า "พบชายชื่อหวังแต่งเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งหนูไม่ทราบยศตำแหน่ง ซึ่งชายคนชื่อหวังได้บอกกับหนูว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ สน.บุปผาราม" และผู้เสียหายได้ให้การเกี่ยวกับรายละเอียดของการร่วมเพศกับจำเลยที่ 2 ไว้ด้วย ตามบันทึกคำให้การของผู้เสียหาย เมื่อจำเลยที่ 2 ถูกจับกุม ผู้เสียหายได้ไปชี้ตัวจำเลยที่ 2 ที่กองปราบปราม ยืนยันว่าจำเลยที่ 2 คือ นายหวัง ไม่ทราบนามสกุล ที่กระทำชำเราตนตามที่ได้ให้การไว้ต่อพนักงานสอบสวน และผู้เสียหายได้ไปชี้โรงแรมธนบุรีโฮเต็ลว่าเป็นโรงแรมที่จำเลยที่ 2 พาผู้เสียหายไปกระทำชำเรา ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายเคยรู้จักและมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 2 มาก่อนจึงไม่มีเหตุที่จะทำให้ระแวงสงสัยว่าจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 2 ให้ต้องได้รับโทษโดยปราศจากมูลความจริงแต่อย่างใด เชื่อว่าผู้เสียหายเบิกความไปตามความสัตย์จริงที่ได้พบเห็นมา ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ผู้เสียหายให้การเพิ่มเติมต่อพนักงานสอบสวนไม่แน่ใจว่าจำเลยที่ 2 พาผู้เสียหายไปร่วมประเวณีที่โรงแรมโรสอินทร์ หรือโรงแรมธนบุรี แต่ผู้เสียหายเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 2 ตอนหนึ่งว่า ก่อนที่จำเลยที่ 2 จะพาผู้เสียหายไปโรงแรมธนบุรีนั้น ผู้เสียหายเคยไปร่วมประเวณีกับนายจิ๋วที่โรงแรมดังกล่าวมาก่อน หากจำเลยที่ 2 พาผู้เสียหายไปร่วมประเวณีที่โรงแรมดังกล่าวจริงผู้เสียหายก็น่าจะให้การยืนยันสถานที่เกิดเหตุได้ตั้งแต่ในชั้นสอบสวนแล้วเพราะเป็นระยะเวลาที่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ที่อ้างว่าไปร่วมประเวณีกับจำเลยที่ 2 จึงไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายจดจำไม่ได้ว่าไปร่วมประเวณีกับจำเลยที่ 2 ณ สถานที่ใดนั้น เห็นว่า ผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 1 พาไปให้ผู้อื่นร่วมประเวณีเกือบทุกวันและไปโรงแรมหลายแห่ง ประกอบกับวันไปชี้สถานที่เกิดเหตุพนักงานสอบสวนได้พาผู้เสียหายไปชี้สถานที่หลายแห่งอาจจะทำให้ผู้เสียหายจำสับสนไปบ้างซึ่งก็ไม่เป็นข้อพิรุธแต่อย่างใด และในการชี้สถานที่เกิดเหตุครั้งต่อมาผู้เสียหายยืนยันว่าโรงแรมที่จำเลยที่ 2 พาไปร่วมประเวณีคือโรงแรมธนบุรีโฮเต็ล ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ในการชี้ตัวจำเลยที่ 2 กระทำหลังจากเกิดเหตุ 45 วัน วันที่ผู้เสียหายชี้ตัว จำเลยที่ 2 มิได้สวมเสื้อผ้าคล้ายคลึงกับเวลาเกิดเหตุแต่สวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนสีฟ้า ซึ่งแตกต่างจากบุคคลอื่น ทั้งการชี้ตัวจำเลยที่ 2 กระทำหลังจากเกิดเหตุถึง 45 วัน จึงเชื่อว่าผู้เสียหายจะต้องเห็นภาพถ่ายจำเลยที่ 2 ก่อนทำการชี้ตัวเพราะพันตำรวจโทอารี สินธุรา เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 2 ถามค้านว่า หลังจากผู้เสียหายให้การต่อเจ้าพนักงานตำรวจแล้วทางกองปราบปรามมีหนังสือขอให้สถานีตำรวจนครบาลบุปผารามส่งภาพถ่ายของจำเลยที่ 2 มาให้ ผู้เสียหายเห็นภาพถ่ายดังกล่าวในขณะชี้ภาพการชี้ตัวจำเลยที่ 2 จึงไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดจากความทรงจำของผู้เสียหายอย่างแท้จริงนั้น เห็นว่า หลังจากผู้เสียหายให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า "พบชายชื่อหวังแต่งเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งหนูไม่ทราบยศตำแหน่ง ซึ่งชายคนชื่อหวังได้บอกกับหนูว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจอยู่ สน.บุปผาราม" เพียง 3 วัน พันตำรวจเอกวินัย ทองสอง รองผู้บังคับการกองปราบปราม หัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน จึงมีหนังสือไปขอภาพถ่ายข้าราชการตำรวจสถานีตำรวจนครบาลบุปผารามที่มีชื่อเล่นว่า "หวัง" มาเพื่อประกอบการสืบสวนสอบสวน เมื่อจำเลยที่ 2 เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนจัดให้ผู้เสียหายชี้ตัว ผู้เสียหายยืนยันว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุคคลคนเดียวกับนายหวังที่กระทำชำเราผู้เสียหาย ซึ่งพันตำรวจโทวิโรจน์ จันทร์หอม พนักงานสอบสวน และ ว. มารดาผู้เสียหายเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 2 ถามค้านยืนยันว่า ผู้เสียหายไม่ได้ดูภาพถ่ายของจำเลยที่ 2 ก่อนที่จะให้ผู้เสียหายทำการชี้ตัวจำเลยที่ 2 และเมื่อพิจารณาภาพถ่าย ภาพที่ 1 และภาพที่ 4 จำเลยที่ 2 จะยืนเข้าแถวปะปนกับบุคคลอื่นอีก 5 คน ทุกคนสวมเสื้อยึดคอกลมสีขาวที่พนักงานสอบสวนจัดไว้ให้ ส่วนกางเกงที่สวมใส่สีไม่เหมือนกัน มีทั้งกางเกงยีนสีน้ำเงิน กางเกงสีดำและกางเกงสีกากี การที่ผู้เสียหายชี้ตัวจำเลยที่ 2 ได้ถูกต้องเชื่อว่าผู้เสียหายจดจำจำเลยที่ 2 ได้ และการชี้ตัวดังกล่าวพนักงานสอบสวนปฏิบัติถูกต้องตามระเบียบว่าด้วยการชี้ตัวผู้ต้องหาแล้ว

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามที่จำเลยที่ 2 ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยที่ 2 กระทำความผิดวันใดและกระทำชำเราผู้เสียหายกี่ครั้ง ทั้งโจทก์ไม่ได้ระบุสถานที่เกิดเหตุว่าอยู่ที่ใด แขวงใด เขตใด อันเป็นสาระสำคัญแห่งการกระทำความผิดทำให้จำเลยที่ 2 ไม่สามารถเข้าใจคำฟ้องได้ดี คำฟ้องของโจทก์จึงเคลือบคลุมนั้น เห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 ไว้ในข้อ 1 ว่า "เมื่อระหว่างตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2544 เวลากลางวัน จนถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2544 เวลากลางคืนหลังเที่ยงวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยได้บังอาจกระทำชำเราเด็กหญิง ส. อายุ 12 ปีเศษ (เกิดวันที่ 27 ตุลาคม 2532) ซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกิน 13 ปี และมิใช่ภริยาของจำเลย โดยเด็กหญิง ส. ยินยอม เหตุเกิดที่แขวงใดเขตใดไม่ปรากฏชัด ในกรุงเทพมหานคร" คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นการบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ พอที่จะทำให้จำเลยที่ 2 เข้าใจข้อหาได้ดีว่าเวลาที่จำเลยที่ 2 กระทำผิดเป็นวันเวลาใด และจำเลยที่ 2 กระทำความผิดที่ใด โดยโจทก์หาต้องบรรยายระบุวัน เวลาที่แน่ชัดว่าจะต้องเป็นวันที่เท่าใด เดือนใด เวลาอะไรที่แน่นอน และหาต้องบรรยายระบุเหตุเกิดที่แขวงใด เขตใดที่แน่นอนในกรุงเทพมหานคร คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) สำหรับฎีกาข้ออื่นของจำเลยที่ 2 ล้วนเป็นข้อปลีกย่อย จึงไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลง พยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 ไม่สามารถรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงและรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา ฎีกาของจำเลยที่ 2 ทุกข้อฟังไม่ขึ้น

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 มีว่า จำเลยที่ 3 กระทำความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาหรือไม่ ฝ่ายโจทก์มีผู้เสียหายเบิกความว่า หลังจากที่ผู้เสียหายร่วมประเวณีกับนายเชาว์แล้วได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านจำเลยที่ 1 จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นนางสาวอุมาพรหรือบีติดต่อผู้เสียหายให้ไปร่วมประเวณีกับอาศักดาหรือจำเลยที่ 3 จากนั้นจำเลยที่ 1 นางสาวอุมาพรและนางสาวปรียาหรือจอยพาผู้เสียหายไปที่ห้องทำงานของจำเลยที่ 3 ซึ่งอยู่ที่ชั้น 3 ของสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี ครั้งแรกจำเลยที่ 3 ไม่อยู่ มีคนบอกว่าจำเลยที่ 3 กำลังรับประทานอาหาร สักครู่จำเลยที่ 3 แต่งเครื่องแบบตำรวจมาที่ห้องทำงาน นางสาวอุมาพรและนางสาวปรียาไหว้จำเลยที่ 3 แล้วเดินตามเข้าไปในห้องทำงาน ผู้เสียหายเดินตามเข้าไปด้วย จำเลยที่ 3 เรียกนางสาวอุมาพรไปพูดคุยที่โต๊ะทำงาน ส่วนผู้เสียหายและนางสาวปรียานั่งอยู่ที่โซฟาภายในห้องทำงาน ต่อมาจำเลยที่ 3 เรียกผู้เสียหายเข้าไปพูดคุยและสอบถามว่าเรียนอยู่ที่ไหน อายุเท่าไร ผู้เสียหายบอกว่าเรียนอยู่ที่โรงเรียน ศ. ชั้นประถมปีที่ 5 อายุ 12 ปี จากนั้นจำเลยที่ 3 ให้นางสาวอุมาพรและนางสาวปรียาออกไปนอกห้อง แล้วลุกจากโต๊ะทำงานเข้ามากอดผู้เสียหายและพาไปนั่งที่โซฟาถอดเสื้อยกทรงผู้เสียหายออก จำเลยที่ 3 จูบหน้าอกผู้เสียหาย นางสาวอุมาพรเคาะประตูห้อง จำเลยที่ 3 ให้ผู้เสียหายรีบใส่เสื้อยกทรง เมื่อผู้เสียหายแต่งตัวเรียบร้อย จำเลยที่ 3 เปิดประตูให้นางสาวอุมาพรเข้ามาในห้อง จำเลยที่ 3 บอกผู้เสียหายว่าไม่ให้บอกนางสาวอุมาพรว่าจำเลยที่ 3 ทำอะไรผู้เสียหาย นางสาวอุมาพรถามจำเลยที่ 3 ว่า "ว่างหรือไม่ เด็กอยากไปเที่ยวกับอาศักดา" ผู้เสียหายบอกว่า "ไม่ไป" จำเลยที่ 3 จึงพูดว่า "ถ้าเด็กไม่ไป ก็ไม่ต้องให้เด็กไป เพราะอาศักดาไม่ว่าง" จำเลยที่ 3 ให้เงินนางสาวอุมาพรและผู้เสียหายคนละ 500 บาท ผู้เสียหาย นางสาวอุมาพร นางสาวปรียาและจำเลยที่ 1 จึงกลับมาที่บ้านจำเลยที่ 1 ต่อมาอีกประมาณ 1 สัปดาห์ เวลาประมาณ 18 ถึง 19 นาฬิกา นางสาวอุมาพรและผู้เสียหายไปพบจำเลยที่ 3 ที่ห้องทำงานสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี วันดังกล่าวจำเลยที่ 3 แต่งเครื่องแบบตำรวจ นางสาวอุมาพรถามจำเลยที่ 3 ว่า "วันนี้อาศักดาว่างหรือไม่" ผู้เสียหายพร้อมที่จะไปกับจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 หันมาถามผู้เสียหายว่า "พร้อมจริงหรือ" นางสาวอุมาพรหยิกขาผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงบอกจำเลยที่ 3 ว่าพร้อมจำเลยที่ 3 ให้ผู้เสียหายและนางสาวอุมาพรไปรออยู่ที่ป้ายรถโดยสารประจำทางใกล้สถานีตำรวจนครบาลลุมพินี สักครู่จำเลยที่ 3 ขับรถยนต์กระบะสีขาวของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมารับผู้เสียหายและนางสาวอุมาพรไปที่โรงแรมเพนท์เฮาส์ ถนนสุขุมวิท ก่อนถึงโรงแรม จำเลยที่ 3 ให้นางสาวอุมาพรไปซื้อวาสลินที่ร้านขายยาเมื่อถึงโรงแรมจำเลยที่ 3 ให้ผู้เสียหายไปอาบน้ำ ผู้เสียหายอาบน้ำเสร็จ จำเลยที่ 3 ให้นางสาวอุมาพรเข้าไปในห้องน้ำ ขณะที่ผู้เสียหายออกมาจากห้องน้ำเห็นจำเลยที่ 3 ใช้วาสลินทาอวัยวะเพศ จำเลยที่ 3 ขึ้นไปยืนบนเตียงย่อเข่าแล้วอุ้มผู้เสียหายขึ้นไปนั่งบนหน้าขาของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 หมุนตัวผู้เสียหาย 2 ถึง 3 รอบ แล้วร่วมประเวณีกับผู้เสียหาย แต่ไม่สำเร็จความใคร่ เนื่องจากผู้เสียหายบอกจำเลยที่ 3 ว่าเจ็บ จำเลยที่ 3 จึงหยุดแล้วสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง ขณะจำเลยที่ 3 ร่วมประเวณีกับผู้เสียหาย อวัยวะเพศของจำเลยที่ 3 เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายแล้ว จำเลยที่ 3 จ่ายเงินให้นางสาวอุมาพร 3,000 บาท และพาผู้เสียหายกับนางสาวอุมาพรมาส่งที่ป้ายรถโดยสารประจำทางที่รับมา ผู้เสียหายและนางสาวอุมาพรกลับมาที่บ้านจำเลยที่ 1 นางสาวอุมาพรมอบเงินที่รับมาจากจำเลยที่ 3 ให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 แบ่งเงินให้ผู้เสียหาย 1,000 บาท หลังจากนั้นเกือบ 2 สัปดาห์ เวลาประมาณ 19 นาฬิกา จำเลยที่ 1 นางสาวอุมาพรและนางสาวอ้อพาผู้เสียหายไปที่ห้องทำงานของจำเลยที่ 3 นางสาวอุมาพรถามจำเลยที่ 3 ว่าว่างหรือไม่ ผู้เสียหายจะไปกับจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 บอกว่าว่าง และให้ไปรอที่ป้ายรถโดยสารประจำทางข้างสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี จำเลยที่ 3 ขับรถยนต์กระบะคันเดิมมารับผู้เสียหายและนางสาวอุมาพรไปที่โรงแรมเพนท์เฮาท์ จำเลยที่ 3 ให้ผู้เสียหายไปอาบน้ำ เมื่อผู้เสียหายอาบน้ำเสร็จ จำเลยที่ 3 ให้นางสาวอุมาพรเข้าไปรออยู่ในห้องน้ำ จำเลยที่ 3 ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง ครั้งหลังนี้ผู้เสียหายไม่รู้สึกเจ็บเหมือนครั้งแรก จำเลยที่ 3 จ่ายเงินให้ผู้เสียหาย 1,000 บาท โดยบอกว่าเอาไปก่อนครั้งหลังจะเพิ่มให้ จากนั้นจำเลยที่ 3 ขับรถยนต์กระบะไปส่งผู้เสียหายและนางสาวอุมาพรที่ป้ายรถโดยสารประจำทางที่เดิม ผู้เสียหายมอบเงินที่รับจากจำเลยที่ 3 ให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 มอบเงินให้ผู้เสียหาย 500 บาท แต่ผู้เสียหายกลับมาเบิกความเป็นพยานจำเลยที่ 3 ว่า ผู้เสียหายเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 3 มาก่อนเรื่องที่ผู้เสียหายกับเพื่อนไปเที่ยวที่สวนลุมพินี จำเลยที่ 3 ด่าผู้เสียหายกับเพื่อนว่า "พวกมึงเป็นกะหรี่ ไปหากินแถวอื่น อย่ามาหากินแถวนี้" และเมื่อผู้เสียหายท้องเสียไปเข้าห้องน้ำที่ชั้น 3 ของสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี จำเลยที่ 3 มาพบ จึงด่าผู้เสียหายว่า "อีกะหรี่ไปหากินที่อื่น อย่ามาหากินที่นี่ ที่นี่เป็นโรงพัก" สาเหตุดังกล่าวปรากฏในเอกสารที่ผู้เสียหายเขียนด้วยลายมือของตนเอง ผู้เสียหายเขียนเอกสารดังกล่าวด้วยความสมัครใจ ไม่มีผู้ใดบังคับข่มขู่โดยมีมารดาผู้เสียหายลงลายมือชื่อรับรอง จำเลยที่ 3 ไม่เคยกระทำอนาจารและกระทำชำเราผู้เสียหาย เห็นว่า คำเบิกความของผู้เสียหายที่มาเบิกความเป็นพยานโจทก์มีรายละเอียดเป็นขั้นเป็นตอนลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่พบจำเลยที่ 3 ครั้งแรกและไปร่วมประเวณีกับจำเลยที่ 3 ที่โรงแรมเพนท์เฮาส์ ถ้าหากไม่เป็นความจริงก็ยากที่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็ก แม้จะผ่านการร่วมประเวณีกับชายอื่นมาหลายคนจะปั้นแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อปรักปรำจำเลยที่ 3 ได้ และเมื่อจำเลยที่ 3 เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน ได้มีการจัดให้ผู้เสียหายชี้ตัวจำเลยที่ 3 ผู้เสียหายสามารถชี้ตัวจำเลยที่ 3 ได้ถูกต้อง ตามบันทึกการชี้ตัวผู้ต้องหาครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 และภาพถ่าย อีกทั้งผู้เสียหายสามารถชี้สถานที่เกิดเหตุตั้งแต่สถานีตำรวจนครบาลลุมพินี ทางเข้าไปพบจำเลยที่ 3 ห้องทำงานของจำเลยที่ 3 รถยนต์กระบะสีขาวของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่จำเลยที่ 3 ขับไปรับผู้เสียหาย และโรงแรมกับห้องที่จำเลยที่ 3 พาผู้เสียหายไปร่วมประเวณีได้อย่างถูกต้องตามภาพถ่าย (14 ภาพ) คำเบิกความของผู้เสียหายดังกล่าวสอดคล้องกับคำให้การในชั้นสอบสวน ตามบันทึกคำให้การของพยาน ซึ่งในชั้นสอบสวนกองปราบปรามและกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางได้ตั้งพนักงานสืบสวนสอบสวนขึ้นมาคณะหนึ่งเพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายเนื่องจากเป็นคดีที่สื่อมวลชนและประชาชนให้ความสนใจกับมีข้าราชการตำรวจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ตามคำสั่งกองปราบปรามและสำเนาคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในการสอบคำให้การของผู้เสียหายได้กระทำต่อหน้าบุคคลที่ผู้เสียหายร้องขอ มารดาผู้เสียหาย นักสังคมสงเคราะห์ พนักงานอัยการและพนักงานสอบสวนซึ่งผู้เสียหายให้การหลังจากเกิดเหตุไม่นานย่อมจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแก่ตนเองได้ จำเลยที่ 3 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจ จึงไม่มีเหตุผลอันใดที่พนักงานสอบสวนหรือคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนที่กองปราบปรามและกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางตั้งขึ้นมาจะกลั่นแกล้งหรือเสี้ยมสอนผู้เสียหายให้ให้การปรักปรำจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจด้วยกัน การที่ผู้เสียหายมาเบิกความเป็นพยานจำเลยที่ 3 ในภายหลังว่า จำเลยที่ 3 ไม่เคยกระทำอนาจาร และกระทำชำเราผู้เสียหาย ผู้เสียหายโกรธจำเลยที่ 3 ที่ด่าว่าผู้เสียหาย จึงแกล้งให้การปรักปรำจำเลยที่ 3 ต่อมาผู้เสียหายสำนึกผิดจึงมาเล่าความจริงให้บิดามารดาฟัง บิดามารดาผู้เสียหายบอกว่าอย่าไปใส่ความจำเลยที่ 3 จะเป็นบาป ผู้เสียหายจึงเขียนจดหมายด้วยตนเองนั้น น่าจะเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 3 เพื่อให้พ้นความผิด เพราะเมื่อ ว. มาเบิกความเป็นพยานโจทก์ ทนายจำเลยที่ 3 ก็มิได้ถาม ว. เกี่ยวกับเรื่องข้อความในจดหมายว่าเป็นความจริงหรือไม่อย่างไร และ ว. ได้บอกผู้เสียหายว่าอย่าไปใส่ความจำเลยที่ 3 หรือไม่ ดังนั้น คำเบิกความของผู้เสียหายที่เบิกความในวันสืบพยานผู้ร้องก่อนฟ้องคดีต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 277 ทวิ เป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความของผู้เสียหายที่มาเบิกความเป็นพยานจำเลยที่ 3 และรับฟังเป็นพยานลงโทษจำเลยที่ 3 ได้ ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า การนำสืบพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์ที่อ้างว่ามีเหตุจำเป็นจะต้องนำสืบพยานไว้ทันทีก่อนมีการฟ้องคดีเกี่ยวกับตัวจำเลยที่ 3 ไม่เป็นธรรมและขัดต่อกฎหมาย เพราะไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและเหตุผลอันใดที่จำเลยที่ 3 จะต้องไปใช้สิทธิหรืออิทธิพลข่มขู่พยานของโจทก์ หรือก่อให้เกิดความยุ่งเหยิงกับพยานของโจทก์ที่จะนำมาสืบพยานในชั้นศาล หรือกระทำประการอื่นใดตามที่โจทก์กล่าวอ้างมาตามคำร้องนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 237 ทวิ เป็นบทบัญญัติในหมวด 2 พยานบุคคลที่กำหนดให้ศาลชั้นต้นที่ได้รับคำร้องจากพนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวนให้สืบพยานก่อนฟ้องคดีต่อศาล เมื่อมีเหตุจำเป็นอื่นอันเป็นการยากแก่การนำพยานนั้นมาสืบในภายหน้า เช่น อาจจะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นแก่ผู้เสียหาย หรือมีเหตุจูงใจบางอย่างที่จะทำให้ผู้เสียหายไม่สามารถมาเบิกความเป็นพยานในภายหน้าได้ เป็นต้น ดังนั้น การสืบพยานผู้เสียหายดังกล่าวจึงไม่อยู่ภายใต้บังคับมาตรา 172 วรรคสอง และคดีนี้ปรากฏจากรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ฉบับลงวันที่ 26 มีนาคม 2545 ว่า ในวันนัดสืบพยานก่อนฟ้องคดีต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 237 ทวิ พนักงานอัยการได้แจ้งวันนัดสืบพยานให้จำเลยที่ 3 ทราบแล้ว จำเลยที่ 3 แจ้งต่อพนักงานอัยการว่ากำลังเดินทางมาศาล ศาลชั้นต้นรอจำเลยที่ 3 อยู่จนกระทั่งเวลา 13 นาฬิกา พนักงานอัยการแถลงต่อศาลว่าจำเลยที่ 3 แจ้งว่าป่วย ไม่สามารถมาศาลได้ พนักงานอัยการจึงนำผู้เสียหายเข้าสืบจนถึงเวลา 20.30 นาฬิกา จึงเห็นได้ว่าในการสืบพยานดังกล่าวพนักงานอัยการได้แจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 3 ทราบแล้ว แต่จำเลยที่ 3 ไม่มาศาลและไม่แต่งตั้งทนายความ แสดงว่าจำเลยที่ 3 ไม่ติดใจที่จะถามค้านผู้เสียหาย การสืบพยานผู้เสียหายก่อนฟ้องคดีต่อศาลจึงชอบด้วยกฎหมาย ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า โจทก์มีผู้เสียหายเพียงปากเดียวที่เป็นประจักษ์พยาน แต่ผู้เสียหายเบิกความไม่อยู่กับร่องกับรอยทำให้ไม่น่าเชื่อถือ ส่วนพยานหลัฐานอื่นของโจทก์ล้วนเป็นพยานบอกเล่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักและเหตุผลพอฟังลงโทษจำเลยที่ 3 ได้นั้น เห็นว่า การกระทำความผิดเกี่ยวกับเพศ แม้โจทก์จะมีผู้เสียหายเพียงปากเดียวมาเบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 3 กระทำอนาจาร และกระทำชำเราผู้เสียหายโดยไม่มีพยานแวดล้อมอื่นมานำสืบสนับสนุนก็ตาม เมื่อได้วินิจฉัยมาแล้วในตอนต้นว่าคำเบิกความของผู้เสียหายมีน้ำหนักน่าเชื่อว่าเป็นความจริงก็สามารถรับฟังลงโทษจำเลยที่ 3 ได้ ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาเรื่องความสำคัญผิดเกี่ยวกับเรื่องอายุของผู้เสียหายว่า ผู้เสียหายมีรูปร่างใหญ่โตกว่าเด็กอายุเพียงแค่ 12 ปี โดยโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นอย่างชัดแจ้งเกี่ยวกับอายุของผู้เสียหายพอที่จะทำให้จำเลยที่ 3 เข้าใจ จะถือว่าจำเลยที่ 3 มีเจตนารู้สำนึกในการกระทำและรู้องค์ประกอบของความผิดนั้นย่อมไม่ได้ เรื่องนี้ได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายตอนหนึ่งว่า เมื่อนางสาวอุมาพร นางสาวปรียาและผู้เสียหายไปหาจำเลยที่ 3 ที่ห้องทำงาน จำเลยที่ 3 เรียกผู้เสียหายเข้าไปพูดคุยและสอบถามว่าเรียนอยู่ที่ไหน อายุเท่าไร ผู้เสียหายบอกว่าเรียนอยู่ที่โรงเรียน ศ. ชั้นประถมปีที่ 5 อายุ 12 ปี ซึ่งจำเลยที่ 3 มิได้ถามค้านผู้เสียหายเกี่ยวกับเรื่องอายุของผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า ผู้เสียหายได้บอกถึงเรื่องอายุของผู้เสียหายแก่จำเลยที่ 3 ทราบแล้ว จำเลยที่ 3 จะอ้างเรื่ององค์ประกอบความผิดเกี่ยวกับอายุของผู้เสียหายมาเป็นข้อแก้ตัวเพื่อให้พ้นจากความผิดมิได้ สำหรับคำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยที่ 3 อ้างมานั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ และที่จำเลยที่ 3 ฎีกาเกี่ยวกับเรื่องฟ้องเคลือบคลุมนั้น ศาลฎีกาได้วินิจฉัยเรื่องดังกล่าวไว้แล้วในฎีกาของจำเลยที่ 2 จึงไม่จำต้องวินิจฉัยซ้ำอีก เพราะไม่ทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลง พยานหลักฐานของจำเลยที่ 3 ไม่สามารถรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงและรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 3 กระทำความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา ฎีกาของจำเลยที่ 3 ทุกข้อฟังไม่ขึ้น

แต่อย่างไรก็ตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี จำคุก 8 ปี และจำคุก 16 ปี ตามลำดับนั้น เห็นว่า หนักเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเพื่อให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์ของรูปคดี"

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 7 ปี และลงโทษจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี จำคุกกระทงละ 7 ปี รวม 2 กระทง จำคุก 14 ปี เมื่อรวมกับโทษฐานกระทำอนาจารเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว เป็นจำคุก 14 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5671/2552

 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้สืบพยานไว้ก่อนโดยคำร้องอ้างเหตุถูกต้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 237 ทวิ ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานให้และเห็นว่าไม่อาจตั้งทนายความให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ทัน จึงชอบด้วยเหตุผล ทั้งตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ทำในวันนั้นปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้แจ้งให้จำเลยทั้งสี่ทราบและให้โอกาสซักถามพยานได้ ซึ่งจำเลยทั้งสี่ไม่คัดค้าน โดยจำเลยที่ 1 เองก็ได้ซักถามพยานด้วยแต่จำเลยอื่นไม่ติดใจถามค้านตามบันทึกท้ายคำเบิกความ ส่วนที่ศาลชั้นต้นไม่ซักถามพยานนั้นเป็นดุลพินิจที่ทำได้โดยชอบ หากเห็นว่าคำเบิกความชัดเจนแล้ว ดังนี้การสืบพยานปากผู้เสียหายไว้ก่อนฟ้องคดีของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91, 295, 309, 310 , 313, 337, 371 และริบของกลาง

จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 309 วรรคแรก, 310 วรรคแรก, 313 วรรคสอง, 337 วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 310 วรรคแรก, 313 วรรคสอง, 337 วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 และ 371 การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันเรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดโดยใช้กำลังประทุษร้ายและฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดโดยใช้กำลังประทุษร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 3 ปี ฐานร่วมกันจับคนเรียกค่าไถ่โดยทรมาน (ที่ถูกต้องระบุด้วยว่า และฐานกรรโชกโดยมีอาวุธกับฐานทำร้ายร่างกายเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานจับคนเรียกค่าไถ่โดยทรมาน) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกตลอดชีวิต เมื่อรวมทุกกระทงแล้วคงลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) จำเลยที่ 2 ฐานร่วมกันจับคนเรียกค่าไถ่โดยทรมาน (ที่ถูกต้องระบุด้วยว่า และฐานกรรโชกโดยมีอาวุธกับฐานทำร้ายร่างกายเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานจับคนเรียกค่าไถ่โดยทรมาน) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกตลอดชีวิต ฐานพาอาวุธมีด ปรับ 100 บาท รวมสองกระทง คงจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิต และปรับ 100 บาท จำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรก, 310 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 ฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดโดยใช้กำลังประทุษร้ายและฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท มีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดโดยใช้กำลังประทุษร้าย จำคุก 3 ปี คำให้การชั้นจับกุมของจำเลยที่ 4 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี หากจำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 (ที่ถูก มาตรา 29) ริบของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์และจำเลยทั้งสี่อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนกระเป๋าผ้าของกลางแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 4 เป็นอันยุติในชั้นอุทธรณ์ ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ประการแรกมีว่า ที่ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ปากนายนิรันดร์ ผู้เสียหายไว้เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ชอบหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ยื่นคำร้องขอให้สืบพยานไว้ก่อนวันเดียวกับที่ศาลชั้นต้นสืบพยานปากดังกล่าว โดยคำร้องอ้างเหตุถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 237 ทวิ ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานให้และเห็นว่าไม่อาจตั้งทนายความให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ทันจึงชอบด้วยเหตุผล ทั้งตามรายงานกระบวนการพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ทำในวันนั้นยังปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้แจ้งให้จำเลยทั้งสี่ทราบและให้โอกาสซักถามพยานได้ ซึ่งจำเลยทั้งสี่ไม่คัดค้าน โดยจำเลยที่ 1 เองก็ได้ซักถามพยานด้วย แต่จำเลยอื่นไม่ติดใจถามค้านตามบันทึกท้ายคำเบิกความ ส่วนที่ศาลชั้นต้นไม่ซักถามพยานนั้นเป็นดุลพินิจที่ทำได้โดยชอบหากเห็นว่าคำเบิกความชัดเจนแล้ว ดังนี้การสืบพยานปากผู้เสียหายไว้ก่อนฟ้องคดีของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้น...

พิพากษายืน

  คำร้อง ขอสืบพยานหลักฐานไว้ก่อน

                                                                                                       คดีหมายเลขดำที่ ยชพ. 0001/2563

                                                                                                       คดีหมายเลขแดงที่ ยชพ           /25

                                                                             ศาลแพ่ง

                                                วันที่ 1 มกราคม  2562

                                                            ความแพ่ง

ระหว่าง   นายลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ    โจทก์      นายสมศักดิ์   ศักดิ์ศรีดี    จำเลย

                ข้าพเจ้า นายสมศักดิ์  ศักศรีดี     จำเลย

เชื้อชาติ ไทย  สัญญาชาติ ไทย  อาชีพ  รับจ้าง  เกิดวันที่  20 ตุลาคม พ.ศ. 2520  อายุ  42 ปี อยู่บ้านเลขที่   2563/1  หมู่ที่ 8 ถนนประชาชื่น ซอยบางมดแลนด์ แยก 13 ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โทร 0859604258

ขอยื่นคำร้องมีข้อความตามที่จะกล่าวต่อไปนี้

              ข้อ 1  คดีนี้ศาลนัดสืบพยานโจทก์และให้จำเลยนำสืบพยานหลักฐานแก้ในภายหลัง และศาลนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกในวันที่ 20 ตุลาคม 2562  เวลา 9.00 นาฬิกา

              เนื่องจากพยานบุคคลของจำเลยตามบัญชีระบุพยานที่ยื่นต่อศาลในวันนี้ อันดับที่ 5 คือนายสมหมาย อินทร์จ้อน นั้นเป็นพยานสำคัญที่รู้เห็นและทราบข้อเท็จจริงในการทำสัญญากู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลย และเป็นพยานผู้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ยืมเพียงผู้เดียว  แต่ขนะนี้พยานปากดังกล่าวป่วยด้วยโรคมะเร็งในปอดและเข้ารับการรักษาตัวอยู่ ณ โรงพยาบาลศูนย์มะเร็ง แพทย์ให้การวินิจฉัยว่าป่วยและอยู่ในระยะสุดท้าย  จะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงไม่เกินสองสัปดาห์  จำเลยเกรงว่าหากรอจนถึงเวลานัดสืบพยานจำเลยแล้วพยานปากดังกล่าวจะเสียชีวิตเสียก่อนที่จะมาเบิกความเป็นพยานต่อศาล

                อาศัยเหตุดังกล่าวข้างต้น ขอศาลได้โปรดมีคำสั่งให้สืบพยานจำเลยปากนายสมหมาย  อินทร์จ้อน  ไว้โดยเร็ว ขอศาลได้โปรดอนุญาต

                                                                              ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

                                                                   ลงชื่อ   -นายสมศักดิ์  ศักดิ์ศรีดี –              ผู้ร้อง

                   คำร้องฉบับนี้ ข้าพเจ้า นายสมศักดิ์  ศักดิ์ศรีดี  จำเลย เป็นผู้เรียง และพิมพ์       

                                                                    ลงชื่อ     -นายสมศักดิ์ ศักดิ์ศรีดี-      ผู้เรียง/พิมพ์

 

มาตรา 101  ถ้าบุคคลใดเกรงว่า พยานหลักฐานซึ่งตนอาจต้องอ้างอิงในภายหน้าจะสูญหายหรือยากแก่การนำมา หรือถ้าคู่ความฝ่ายใดในคดีเกรงว่าพยานหลักฐานซึ่งตนจำนงจะอ้างอิงจะสูญหายเสียก่อนที่จะนำมาสืบ หรือเป็นการยากที่จะนำมาสืบในภายหลังบุคคลนั้นหรือคู่ความฝ่ายนั้นอาจยื่นคำขอต่อศาลโดยทำเป็นคำร้องขอหรือคำร้องให้ศาลมีคำสั่งให้สืบพยานหลักฐานนั้นไว้ทันที

                เมื่อศาลได้รับคำขอเช่นว่านั้น ให้ศาลหมายเรียกผู้ขอและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องมายังศาล และเมื่อได้ฟังบุคคลเหล่านั้นแล้ว ให้ศาลสั่งคำขอตามที่เห็นสมควร ถ้าศาลสั่งอนุญาตตามคำขอแล้ว ให้สืบพยานไปตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายนี้ส่วนรายงานและเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนั้นให้ศาลเก็บรักษาไว้

                ในกรณีที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรและยังมิได้เข้ามาในคดีนั้น เมื่อศาลได้รับคำขอตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลสั่งคำขอนั้นอย่างคำขออันอาจทำได้แต่ฝ่ายเดียว ถ้าศาลสั่งอนุญาตตามคำขอแล้วให้สืบพยานไปฝ่ายเดียว




การสอบเนติบัณฑิต ภาคสอง สมัยที่ 60(วิชาวิธีพิจารณาความอาญา)

การจับในที่รโหฐานและการค้นโดยเจ้าของเชื้อเชิญ article
อำนาจจัดการแทน "ผู้เสียหาย" ของ ผู้บุพการี article
สิทธิของผู้เสียหายที่จะเรียกร้องทางแพ่ง article
การสอบสวนผู้ต้องหาที่มีอายุไม่เกินสิบแปดปี ให้รัฐจัดหาทนายความให้ article
การพิจารณาและสืบพยานในศาลจะต้องทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย article
ห้ามคู่ความนำสืบพยานบุคคลแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในพยานเอกสาร article
อุทธรณ์ ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง article
วันตรวจพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา article
การร่างพินัยกรรม article