สัญญาประนีประนอมระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา -ปรึกษากฎหมาย นายลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร.085-9604258 -ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์ (1) @leenont (2) @peesirilaw (3) 0859604258 เพิ่มด้วยหมายเลขโทรศัพท์ -Line Official Account : เพิ่มเพื่อน QR CODE
สัญญาประนีประนอมระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ มีคำสั่งตั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของ ผู้ตายร่วมกัน ผู้ร้องเป็นภริยาของ ผู้ตาย โดยได้จดทะเบียนสมรสและมีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ นางสาวอภัสสร ผู้ร้องได้จดทะเบียนหย่ากับผู้ตาย และได้จดทะเบียนสมรสกับผู้ตายอีกครั้งหนึ่ง ส่วนผู้คัดค้านเป็นบุตรของผู้ตาย อันเกิดจากนางจันทร์ ซึ่งผู้ตายได้รับรองแล้ว ผู้ตายถึงแก่ความตาย มีที่ดิน 2 แปลง ผู้ตายไม่ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้แก่ผู้ใด ระหว่างการพิจารณาผู้ร้องกับผู้คัดค้านตกลงกันให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกแต่เพียงผู้เดียว คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า สมควรตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแต่ผู้เดียวหรือไม่ เห็นว่า แม้ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ทนายผู้ร้องได้ยื่นคำร้องว่าผู้ร้องและผู้คัดค้านตกลงกันได้ โดยผู้คัดค้านยินยอมให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแต่ผู้เดียว แต่ข้อตกลงดังกล่าวมีผลเป็นการตกลงกันในประเด็นแห่งคดีเพียงบางข้อ เพราะมีประเด็นที่ศาลจำต้องพิจารณาถึงข้อเท็จจริงในสำนวนแล้ววินิจฉัยถึงสิทธิและคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นผู้จัดการมรดกตามกฎหมายเสียก่อน ดังนั้นศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาตามยอมให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นภริยาของผู้ตาย เป็นผู้มีส่วนได้เสียตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 วรรคแรก มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้ และผู้ร้องมีคุณสมบัติในการเป็นผู้จัดการมรดกตามกฎหมาย กับมีเหตุขัดข้องในการจัดการทรัพย์มรดกของผู้ตาย ประกอบกับในชั้นฎีกาผู้ร้องและผู้คัดค้านตกลงกันให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแต่เพียงผู้เดียว จึงเห็นควรตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายฝ่ายเดียว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ตั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกผู้ตายร่วมกันนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น" คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 30/2549 ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาทนายผู้ร้องยื่นคำร้องว่าผู้ร้องและผู้คัดค้านตกลงกันได้ โดย ผู้คัดค้านยินยอมให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแต่ผู้เดียว แต่ข้อตกลงดังกล่าวมีผลเป็นการตกลงกันในประเด็นแห่งคดีเพียงบางข้อ เพราะมีประเด็นที่ศาลจำต้องพิจารณาถึงข้อเท็จจริงในสำนวนแล้ววินิจฉัยถึงสิทธิและคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นผู้จัดการมรดกตามกฎหมายเสียก่อน ศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาตามยอมให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวได้ ผู้ร้องเป็นภรรยาของผู้ตาย เป็นผู้มีส่วนได้เสียตาม ป.พ.พ. มาตรา 1713 วรรคแรก มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้ ประกอบกับในชั้นฎีกาผู้ร้องและผู้คัดค้านตกลงกันให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายฝ่ายเดียว ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสงบ ผู้ตาย ผู้ตายมีบุตรกับภริยาคนก่อนจำนวน 7 คน เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2545 ผู้ตายได้ถึงแก่ความตาย ก่อนตายผู้ตายไม่ได้ทำพนัยกรรมยกทรัพย์สินให้แก่ผู้ใด ผู้ตายมีทรัพย์สินคือที่ดินโฉนดเลขที่ 1019 และ 3529 ตำบลรัตนวาปี กิ่งอำเภอรัตนวาปี จังหวัดหนองคาย ผู้ร้องมีเหตุขัดข้องในการจัดการมรดก และผู้ร้องมิได้เป็นบุคคลวิกลจริตหรือเป็นบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นผู้เสมือนไร้ความสามารถ หรือเป็นบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนล้มละลาย ขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้คัดค้านเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วของนายสงบ ผู้ตาย ผู้ร้องได้จดทะเบียนหย่ากับผู้ตายแล้ว จึงไม่ได้เป็นผู้มีส่วนได้เสีย ผู้คัดค้านมิได้เป็นบุคคลวิกลจริต หรือเป็นบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนล้มละลาย ขอให้ยกคำร้อง และตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งตั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของนายสงบ ผู้ตายร่วมกัน ให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ ผู้ร้องฎีกา ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ทนายผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าผู้ร้องและผู้คัดค้านตกลงกันได้ โดยผู้คัดค้านยินยอมให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแต่เพียงผู้เดียว ตามสัญญาประนีประนอมยอมความลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2547 ศาลชั้นต้นส่งสัญญาประนีประนอมยอมความมายังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาดำเนิการต่อไป ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นภริยาของนายสงบ ผู้ตาย โดยได้จดทะเบียนสมรสกันเมื่อปี 2525 และมีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ นางสาวอภัสสร เมื่อปี 2543 ผู้ร้องได้จดทะเบียนหย่ากับผู้ตาย ปี 2543 ผู้ร้องได้จดทะเบียนสมรสกับผู้ตายอีกครั้งหนึ่ง ส่วนผู้คัดค้านเป็นบุตรของผู้ตาย อันเกิดจากนางจันทร์ ซึ่งผู้ตายได้รับรองแล้ว เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2545 ผู้ตายถึงแก่ความตาย ก่อนตายผู้ตายมีที่ดิน 2 แปลง คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 1019 และเลขที่ 3529 ตำบลรัตนวาปี กิ่งอำเภอรัตนวาปี จังหวัดหนองคาย ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ร.5 และ ร.6 ผู้ตายไม่ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้แก่ผู้ใด ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้ร้องกับผู้คัดค้านตกลงกันให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกแต่เพียงผู้เดียว ตามสัญญาประนีประนอมยอมความลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2547 คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า สมควรตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแต่ผู้เดียวหรือไม่ เห็นว่า แม้ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ทนายผู้ร้องได้ยื่นคำร้องว่าผู้ร้องและผู้คัดค้านตกลงกันได้ โดยผู้คัดค้านยินยอมให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแต่ผู้เดียว แต่ข้อตกลงดังกล่าวมีผลเป็นการตกลงกันในประเด็นแห่งคดีเพียงบางข้อ เพราะมีประเด็นที่ศาลจำต้องพิจารณาถึงข้อเท็จจริงในสำนวนแล้ววินิจฉัยถึงสิทธิและคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นผู้จัดการมรดกตามกฎหมายเสียก่อน ดังนั้นศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาตามยอมให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นภริยาของผู้ตาย เป็นผู้มีส่วนได้เสียตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 วรรคแรก มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้ และผู้ร้องมีคุณสมบัติในการเป็นผู้จัดการมรดกตามกฎหมาย กับมีเหตุขัดข้องในการจัดการทรัพย์มรดกของผู้ตาย ประกอบกับในชั้นฎีกาผู้ร้องและผู้คัดค้านตกลงกันให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแต่เพียงผู้เดียว จึงเห็นควรตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายฝ่ายเดียว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ตั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกผู้ตายร่วมกันนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น" พิพากษาแก้เป็นว่าให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนายสงบ ผู้ตาย ให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายให้ยกคำร้องคัดค้าน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ให้ยกคำร้องของผู้ร้องลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2547 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการจะร้อง ต่อศาลขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกก็ได้ ในกรณีดั่งต่อไปนี้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 ในคดีที่คู่ความตกลงกันหรือประนีประนอมยอม ความกันในประเด็นแห่งคดีโดยมิได้มีการถอนคำฟ้องนั้น และข้อตกลง หรือการประนีประนอมยอมความกันนั้นไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ให้ศาลจดรายงานพิสดารแสดงข้อความแห่งข้อตกลงหรือการประนี ประนอมยอมความเหล่านี้ไว้ แล้วพิพากษาไปตามนั้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2653/2561 โจทก์ฟ้องขอหย่าและแบ่งสินสมรส ต่อมาระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์และจำเลยได้ตกลงกันในคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน แจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จ ปลอม และใช้เอกสารปลอมต่อศาลอาญาว่า โจทก์จำเลยตกลงหย่ากันและแบ่งทรัพย์สินตามที่เสนอต่อศาลในคดีอาญาโดยระบุว่าจะนำบันทึกข้อตกลงไปเสนอต่อศาลฎีกา แล้วโจทก์ถอนฟ้องคดีอาญา ศาลอาญาอนุญาตและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ จากนั้นโจทก์และจำเลยไปจดทะเบียนหย่าพร้อมนำบันทึกที่ทำต่อศาลอาญาไปแสดงว่ามีการตกลงแบ่งทรัพย์สินระหว่างกันแล้ว ต่อมาโจทก์และจำเลยต่างยื่นคำแถลงต่อศาลฎีกาว่าได้จดทะเบียนหย่าแล้ว พร้อมยื่นข้อตกลงที่ทำต่อกันที่ศาลอาญาแนบท้ายคำแถลง ดังนี้ถือได้ว่าคู่ความตกลงกันหรือประนีประนอมในประเด็นแห่งคดีโดยมิได้ถอนฟ้องในชั้นฎีกาตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 138 วรรคหนึ่ง มาตรา 246 (เดิม) และ 247 (เดิม) ศาลฎีกาจึงพิพากษาให้แบ่งทรัพย์ตามบันทึกข้อตกลง โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยา โดยให้จำเลยจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน และให้แบ่งสินสมรสแก่โจทก์ 82,538,642.38 บาท จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในชั้นนี้โดยคู่ความไม่โต้แย้งคัดค้านว่า โจทก์จำเลยจดทะเบียนสมรสเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2531 มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ นายอมรเทพหรืออาษา และนางสาวอณิชา เกิดเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2527 และวันที่ 8 ตุลาคม 2529 โจทก์และจำเลยร่วมกันก่อตั้งบริษัท พี.ดี.พี. 2000 จำกัด เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2543 วันที่ 24 เมษายน 2556 โจทก์ จำเลยและบุตรสาวมีเหตุทะเลาะวิวาทกันแล้วโจทก์และบุตรสาวก็ออกจากบ้านไป ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น (เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2558) โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาฐานความผิด แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน แจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จ ปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมต่อศาลอาญา ศาลอาญาไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งให้ประทับรับฟ้อง จำเลยให้การปฏิเสธ วันที่ 22 พฤษภาคม 2560 ขณะคดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์และจำเลยตกลงกันในคดีอาญาข้างต้นระงับข้อพิพาทและการจัดการสินสมรสโดยในสัญญาข้อ 11 โจทก์จำเลยจะนำบันทึกไปเสนอต่อศาลฎีกาในคดีนี้เพื่อให้ศาลฎีกาพิพากษาตามยอม และในวันเดียวกันนั้นโจทก์ถอนฟ้องคดีอาญา ศาลอาญาอนุญาตและจำหน่ายคดีอาญาออกจากสารบบความ ต่อมาวันที่ 30 มิถุนายน 2560 โจทก์และจำเลยจดทะเบียนหย่าและนำบันทึกข้อตกลงการหย่าในคดีอาญาไปให้นายทะเบียนบันทึกท้ายทะเบียนหย่าในเรื่องการแบ่งทรัพย์สินระหว่างโจทก์และจำเลย ปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาของโจทก์ว่า มีเหตุหย่าตามฟ้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์และจำเลยจดทะเบียนหย่ากันแล้ว คดีไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาต่อไป จึงให้จำหน่ายคดีในส่วนนี้และคำขอบังคับให้หย่า ปัญหาต้องวินิจฉัยประการที่สองตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องแบ่งทรัพย์สินตามฟ้องให้แก่โจทก์หรือไม่เพียงใด ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์และจำเลยตกลงแบ่งทรัพย์สินกันแล้วตามบันทึกข้อตกลงที่เสนอต่อศาลอาญาและนำไปแนบท้ายบันทึกการหย่าในเรื่องทรัพย์สิน ซึ่งโจทก์และจำเลยต่างนำมายื่นต่อศาลฎีกาเพื่อให้ศาลฎีกาพิพากษาตามยอมตามที่สัญญาข้อ 11 ระบุไว้ดังข้อเท็จจริงที่ฟังยุติข้างต้น เช่นนี้ถือได้ว่าคู่ความตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดีโดยมิได้มีการถอนฟ้อง ซึ่งศาลฎีกาพิจารณาแล้ว เห็นว่า ข้อตกลงดังกล่าวไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย จึงให้โจทก์จำเลยแบ่งทรัพย์สินตามบันทึกข้อตกลง ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคหนึ่ง และมาตรา 246 (เดิม) และ 247 (เดิม) อนึ่ง คดีนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัว การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชนะคดี แต่กลับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยไม่ปรากฏเหตุสมควรหรือจำเลยไม่สุจริตในการดำเนินคดีอย่างไรตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 วรรคหนึ่ง ทั้งศาลอุทธรณ์มิได้แก้ไข ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข ให้โจทก์และจำเลยรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมส่วนของตนที่ได้เสียไปก่อน นอกจากนี้ศาลฎีกาเห็นสมควรคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้แก่โจทก์บางส่วน ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 วรรคสอง พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำหน่ายคดีในส่วนคำขอบังคับที่ให้โจทก์จำเลยหย่ากันและพิพากษาให้โจทก์จำเลยแบ่งทรัพย์สินกันตามบันทึกข้อตกลงในคดีอาญาและตามบันทึกแนบท้ายทะเบียนหย่าที่คู่ความเสนอต่อศาลฎีกา คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้แก่โจทก์ 200,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่สั่งคืนทั้งสามศาลให้เป็นพับ
|