เมื่อปี 46 ได้ซื้อที่ดินมาแปลงหนึ่ง เนื้อที่ 1ไร่ 1งานกว่าๆ ซึ่งทีดินดังกล่าวเดิมมีเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ โดยที่ดินดังกล่าวได้มีอาคารร้าง 1 หลัง และต้นยูคาจำนวนหนึ่ง ต่อมาเมื่อจะทุบอาคารดังกล่าวทิ้ง ได้ทราบว่าอาคารเป็นของรัฐ เนื่องจากบิดาของเจ้าของที่เดิมได้เอ่ยยกให้รัฐ และของบประมาณมาเพื่อสร้าง ดิฉันจึงได้ฟ้องศาลขอให้ราชการรื้อถอนอาคารออกไป ศาลสืบความและตัดสินว่า เจ้าของที่เดิมมีเจตนายกให้รัฐเพื่อสร้างอาคารเนื้อที่ดินประมาณไม่เกิน 1 ไร่ ศาลชั้นต้นจึงยกฟ้อง ศาลอุทรณ์พิพากษายืน
          ตอนนี้ได้มีชาวบ้านแถวนั้น ขอให้ดิฉันตัดต้นยูคาซึ่งมีขนาดสูงใหญ่ เกรงว่าจะล้มทับบ้านคนเมื่อมีลมพัดแรง (เขาเคยแจ้งอบต.ให้มาตัด แต่อบต.ไม่ตัดอ้างว่าที่ดินยังอยู่ระหว่างพิพาท) ดิฉันจึงหาคนมาตัดและเอ่ยขายไม้ให้คนตัดราคา 700 บาท และบอกว่าให้ฝากเงินไว้กับคนแถวนั้นแล้วให้นำเงินไปถวายวัด(เพราะดิฉันกลับบ้านดึกทุกวัน) ต่อมาอบต.เรียกไปพบจึงแจ้งสาเหตุที่ต้องตัดไม้ วันต่อมาดิฉันได้รับโทรศัพท์แจ้งว่ามีหมายเรียกเนื่องจากอบต.ไปแจ้งความข้อหาลักทรัพย์และทำให้เสียทรัพย์ ดิฉันจึงไปให้การว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร และเหตุที่ต้องตัดไม้เนื่องจากมีความเข้าใจว่าเนื้อที่ส่วนที่เกิน 1 ไร่ คือ 1งานกว่าๆ ยังอยู่ในความรับผิดชอบ หากมีเหตุใดเกิดขึ้น แม้ที่ดินยังไม่ได้มีการปักปันเขตแดนและแบ่งแยก จึงไม่รู้ว่าของใครอยู่ส่วนใด
         ดิฉันได้ไปคุยกับชาวบ้านคนที่บอกให้ดิฉันช่วยมาตัดไม้ว่าหากเจ้าหน้าที่มาสอบสวนช่วยตอบตามความเป็นจริงด้วย เค้าก็หลบๆเลี่ยงๆว่าให้แก้ทางอื่นเถอะอย่าให้เค้าต้องเดือดร้อนด้วยเลย
         จึงขอถามว่า
 1.ดิฉันยังมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วน 1 งานกว่าหรือไม่ และควรดำเนินการอย่างไรต่อไป
2. ดิฉันจะสามารถต่อสู้คดีได้อย่างไร เพราะดูเหมือนชาวบ้านจะไม่ยอมเป็นพยานให้เพราะกลัวเดือดร้อนไปด้วย
3.ดิฉันสามารถฟ้องกลับอบต.แจ้งความเท็จได้หรือไม่อย่างไร
                                                                         ขอบพระคุณมากค่ะ