ปัญหาการแบ่งสินสมรส | |
สวัสดีค่ะ ตอนนี้ดิฉันมี ปัญหา เหมือนกรณีเพื่อนคนหนึ่งแต่ของดิฉัน นั้นเป็นอดีตภรรยาค่ะ คือได้ หย่ากับอดีตสามีเป็นเวลา หนึ่ง ปีแล้วค่ะ ับงเอิญมามีปัญหาเรื่อง บ้าน 2 หลัง และรถ 2 คัน คือ ยังผ่อนไม่หมด อีกหลัง หนึ่งเกือบหมดแล้ว และดิฉันกับอดีตสามี ได้ตกลงทำสัญญาไว้ว่า บ้าน และ รถที่สามีครอบครองยกให้สามี และบ้าน อีกหลังหนึ่งดิฉันและลูกอยู่ ให้ยกให้ ลูก ทั้งสองคนของดิฉันรวมทั้งรถ 1 คันโดยอดีตสามี เป็นผุู็ผ่อนให้จนกว่าจะหมด แต่ บังเฺอิญดิฉันมีปัญหาอยู่ว่าอดีตสามี จะทำการแต่งงานใหม่ ภายในเร็วๆนี้ ซึ่งดิฉันมีความกังวลเป็นอย่างมาก กับสินสมรสที่มีอยู่เดิมและถ้าเกิดอดีตสามีแต่งงานใหม่ บ้านที่เป็นของธนาคารอยู่ก็จะต้องตกเป็นสินสมรสของภรรยาใหม่โดยปริยายใช่ใหมค่ะ ดิฉันอยู่กับอดีตสามีมา 14 ปี สินสมรสที่ทำการทำสัญญาว่าจะให้ลูกจะมีผลใหมค่ะ คือกังวลแทนลูกมากค่ะกลัวว่าลูกของดิฉันจะไม่ได้อะไรเลย ขอความกรูณาช่วยตอบด้วยค่ะในฐานะความเป็นแม่รู้สึกกังวลมากและจะมีวิธีใหนบ้างที่สามารถทำได้ ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ | |
ผู้ตั้งกระทู้ อณัญญา :: วันที่ลงประกาศ 2010-08-27 16:23:40 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2101370) | |
สินสมรสที่ทำการทำสัญญาว่าจะให้ลูกจะมีผลใหมค่ะ คือกังวลแทนลูกมากค่ะกลัวว่าลูกของดิฉันจะไม่ได้อะไรเลย ตอบ--- คำมั่นว่าจะให้อสังหาริมทรัพย์จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หากไม่ปฏิบัติตามนั้นสัญญาหรือคำมั่นว่าจะให้ไม่สมบูรณ์ อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาครับ สัญญาให้ทรัพย์สินหรือคำมั่นว่าจะให้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1931/2537 จำเลยทำหนังสือสัญญาให้ที่ดินมีโฉนดโดยเสน่หาแก่โจทก์โดยจะนำไปจดทะเบียน ณ สำนักงานที่ดินภายในกำหนด 7 วัน แต่เมื่อการให้ยังไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นิติกรรมให้ย่อมไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่โจทก์ได้ คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 29323 ถึง 29328 แขวงบางกะปิ(ลาดพร้าวฝั่งเหนือ)เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร รวม 6 แปลง เมื่อเดือนพฤษภาคม 2530จำเลยทำสัญญาให้ที่ดินดังกล่าวโดยเสน่หาแก่โจทก์ โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินทั้ง 6 แปลง นับแต่วันยกให้มาจนบัดนี้ จำเลยสัญญาว่าจะไปจดทะเบียนการโอนที่ดินให้แก่โจทก์ภายใน 7 วัน นับแต่วันทำสัญญา เมื่อครบกำหนดจำเลยไม่ไปทำการจดทะเบียนการโอนที่ดินให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนการโอนที่ดินทั้ง 6 แปลงดังกล่าวแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ยอมไปจดทะเบียนการโอนที่ดินดังกล่าวให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีของโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาให้จำเลยไปทำการจดทะเบียนการโอนที่พิพาทโฉนดเลขที่ 29323 ถึง 29328 แขวงบางกะปิ(ลาดพร้าวฝั่งเหนือ) เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร แก่โจทก์หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่อ้างว่าไม่จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะจำเลยทำสัญญายกที่ดินมีโฉนดให้โจทก์โดยเสน่หาแต่ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงไม่สมบูรณ์ หากฟังว่าเป็นคำมั่นจะให้โจทก์ก็ฟ้องบังคับไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 และมาตรา 526 โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหลอกให้จำเลยทำสัญญายกที่ดินให้โจทก์ ความจริงจำเลยต้องการขายที่ดิน โจทก์จึงอ้างว่าจะไปหาคนมาซื้อให้เพื่อความสะดวกในการขาย โจทก์กับพวกให้จำเลยทำสัญญายกที่พิพาท 6 แปลง ให้โจทก์เพื่อไปแสดงต่อผู้จะซื้อเพื่อผู้จะซื้อจะได้มอบเงินค่าที่ดินแก่จำเลย จำเลยจึงทำสัญญายกที่ดินให้แก่โจทก์จำเลยไม่เคยมอบที่ดินให้โจทก์ครอบครองทำประโยชน์แต่อย่างใด จำเลยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 23 สิงหาคม 2533 ขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะสัญญาให้ตามฟ้องมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงไม่สมบูรณ์ขอให้ยกฟ้อง โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า ขอให้ศาลพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยให้สิ้นกระแสความก่อน เพราะสัญญาให้ตามฟ้องเป็นการให้โดยมีค่าตอบแทนดังนั้น จำเลยจึงมีหน้าที่ชำระหนี้ตอบแทนโดยการไปจดทะเบียนให้โจทก์ตามข้อตกลง จำเลยยืมเงินจากโจทก์แล้วทำสัญญายกที่ดินให้ เพื่อตีใช้หนี้อันเป็นการหลอกลวงโจทก์ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่า สัญญาตามฟ้องเป็นโมฆะ โจทก์จะฟ้องจำเลยให้ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินพิพาทให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 526ไม่ได้ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ตามคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2530 จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาให้ที่ดินโดยเสน่หาแก่โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.7 ที่ดินที่จำเลยยกให้โจทก์ตามสัญญามีจำนวน 6 แปลง คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 29323 ถึง29328 แขวงบางกะปิ (ลาดพร้าวฝั่งเหนือ) เขตบางกะปิกรุงเทพมหานคร ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.6 แต่หนังสือสัญญาดังกล่าวไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มีปัญหาวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 525 บัญญัติว่าการให้ทรัพย์สินซึ่งถ้าจะซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น ท่านว่าสมบูรณ์ต่อเมื่อได้ทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในกรณีเช่นนี้ การให้ย่อมเป็นอันสมบูรณ์โดยมิพักต้องส่งมอบและมาตรา 526บัญญัติว่า ถ้าการให้ทรัพย์สินหรือให้คำมั่นว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว และผู้ให้ไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นแก่ผู้รับไซร้ ท่านว่าผู้รับชอบที่จะเรียกให้ส่งมอบตัวทรัพย์สินหรือราคาแทนทรัพย์สินนั้นได้ ฯลฯ สำหรับที่พิพาทเป็นที่ดินมีโฉนด การโอนกรรมสิทธิ์ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 4 ทวิแห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และหนังสือสัญญาให้ที่ดินโดยเสน่หาตามเอกสารหมาย จ.7 ตอนท้ายมีข้อความว่า ฯลฯ คู่สัญญาจะได้นำไปจดทะเบียน ณ สำนักงานที่ดินภายในกำหนด7 วัน นับแต่วันทำสัญญาฉบับนี้ จากข้อสัญญาดังกล่าวแสดงว่าจำเลยประสงค์จะยกที่พิพาทให้แก่โจทก์ โดยทำนิติกรรมและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ฉะนั้น เมื่อการให้รายนี้ยังไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นิติกรรมให้ก็ย่อมไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่โจทก์ได้ เมื่อจำเลยให้การต่อสู้เรื่องการทำสัญญาให้ไม่ถูกแบบเป็นการไม่ชอบแล้ว แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ในข้ออื่น ๆ อีกก็ไม่เป็นเหตุที่จะทำให้ฟ้องของโจทก์สามารถบังคับได้ เมื่อได้วินิจฉัยดังกล่าวแล้วจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ข้ออื่นอีกเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป" พิพากษายืน ( ประยูร มูลศาสตร์ - ก้าน อันนานนท์ - ประสิทธิ์ แสนศิริ ) หมายเหตุ (1) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 บัญญัติว่า"การให้ทรัพย์สินซึ่งถ้าจะซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น ท่านว่าย่อมสมบูรณ์ต่อเมื่อได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ในกรณีเช่นนี้การให้ย่อมเป็นอันสมบูรณ์โดยมิพักต้องส่งมอบ" ตามมาตรานี้แปลความกลับกันก็หมายความว่า ถ้าไม่ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว การให้ย่อมไม่สมบูรณ์ซึ่งการให้ทรัพย์สินโดยทั่วไป (ไม่ใช่การให้ทรัพย์สินตามมาตรา 456วรรคแรก) จะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สิน (มาตรา 523) เห็นได้ว่ามาตรา 525 เป็นข้อยกเว้นของมาตรา 523 สำหรับการให้ทรัพย์สินที่ถ้าจะซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนในข้อที่สมบูรณ์โดยไม่จำต้องส่งมอบ (2) แต่ทั้ง ๆ ที่ มาตรา 525 บัญญัติใช้คำว่าสมบูรณ์ ศาลฎีกาก็ยังเคยวินิจฉัยไว้ว่า เมื่อไม่ได้ทำเป็นหนังสือจดทะเบียน ย่อมเป็นโมฆะ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นไปไม่ทราบ ตามฎีกาที่ 226/2520(ตัดสินตามฎีกาที่ 2364/2515) ข้อเท็จจริงเป็นสัญญาให้ที่ดินรวมอยู่ด้วย กล่าวไว้ว่า "...ทั้งไม่ได้ทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525บังคับไว้ย่อมไม่สมบูรณ์ เท่ากับไม่มีสัญญาให้...เมื่อไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 115(ปัจจุบันมาตรา 152)" เป็นการวินิจฉัยแบบหัวมังกุด ท้ายมังกร เพราะตอนแรกว่าไม่สมบูรณ์ ตอนท้ายกลับว่าเป็นโมฆะ หาสอดคล้องต้องกันไม่ ทั้ง ๆ ที่ตามมาตรา 525ใช้คำว่าสมบูรณ์ ซึ่งถ้าหากไม่ทำเป็นหนังสือจดทะเบียนก็ไม่สมบูรณ์ไม่ใช้คำว่าโมฆะและไม่หมายถึงว่าเป็นโมฆะ (3) เมื่อเป็นการใช้กฎหมายตามตัวอักษรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 วรรคแรก ตอนแรก ตามมาตรา525 เมื่อไม่ทำเป็นหนังสือจดทะเบียน หมายถึง ไม่สมบูรณ์จะตีความว่าเป็นโมฆะได้อย่างไร ไม่สมบูรณ์เป็นโมฆะ เป็นคนละเรื่องกัน สัญญาให้เป็นสัญญาฝ่ายเดียว (unilateralcontract) แม้เป็นนิติกรรมสองฝ่าย กล่าวคือ มีคำเสนอคำสนองหรือตกปากลงคำมีเจตนาของคู่สัญญาตรงกัน ก็ย่อมเกิดสัญญาให้ขึ้นแล้วจะถือว่าไม่เป็นสัญญาให้หรือไม่มีสัญญาให้เกิดขึ้นย่อมไม่ได้ สัญญาให้เกิดขึ้นแล้วจริง ๆเพียงแต่ไม่ทำเป็นหนังสือจดทะเบียนการให้หรือสัญญาให้ ก็ยังไม่สมบูรณ์เท่านั้น แม้จะถือว่าการทำเป็นหนังสือจดทะเบียนเป็นแบบกฎหมายก็บัญญัติให้เป็นเพียงไม่สมบูรณ์เท่านั้น ไม่ถึงกับเป็นโมฆะเสียเปล่าไปตามหลักที่บัญญัติไว้ทั่วไปตามมาตรา 152 จะว่าเป็นข้อยกเว้นก็ได้ (4) เมื่อบุคคลตกลงทำสัญญากันแล้วแม้ทำกันด้วยวาจา ถ้าเป็นสัญญาต่างตอบแทนก็ย่อมก่อให้เกิดหนี้ผูกพันระหว่างกัน ถ้าเป็นสัญญาฝ่ายเดียวไม่ต่างตอบแทน เช่น สัญญาให้ ก็ก่อให้เกิดหนี้ที่ผู้ให้จะต้องชำระแก่ฝ่ายผู้รับ จึงย่อมฟ้องร้องบังคับกันได้ตามหลักทั่วไป (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรคแรก) ผลของความไม่สมบูรณ์กับโมฆะนั้นผิดกันไกล ถ้าเป็นเรื่องไม่สมบูรณ์ เมื่อเกิดสัญญา ไม่ว่าจะเป็นสัญญาให้ ยืม ฯลฯ ย่อมมีหนี้ที่จะบังคับกันได้แล้ว ย่อมฟ้องร้องบังคับให้ส่งมอบหรือจดทะเบียนกันได้ แต่ถ้าเป็นโมฆะแล้วย่อมเสียเปล่าแม้จะมีการส่งมอบทรัพย์สินที่ตกลงให้กันก็ยังเป็นโมฆะอยู่ดีไม่มีทางสมบูรณ์ใช้บังคับกันได้ผลเป็นดังนี้ ข้อวินิจฉัยของศาลฎีกาจึงคลาดเคลื่อน (5) เคยมีคำพิพากษาของศาลหลายเรื่องที่วินิจฉัยว่าผู้เช่าจะฟ้องบังคับให้ผู้ให้เช่าไปจดทะเบียนการเช่าหาได้ไม่แต่ผู้บันทึกมีความเห็นมานานแล้วว่า ถ้าหากคู่กรณีตกลงเช่าอสังหาริมทรัพย์กันซึ่งจะต้องมีการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยคู่กรณีมีความตั้งใจ ดังนี้ ย่อมฟ้องบังคับให้ไปจดทะเบียนกันได้อาศัยบทบัญญัติทั่วไป โดยที่ผู้ให้เช่าเป็นลูกหนี้เมื่อไม่ชำระหนี้ผู้เช่าซึ่งเป็นเจ้าหนี้ย่อมฟ้องบังคับผู้ให้เช่าซึ่งเป็นลูกหนี้ได้(ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรคแรก) ซึ่งก่อนนั้นจะฟ้องบังคับคดีตามสัญญาเช่าระหว่างกันไม่ได้แน่ เว้นแต่จะได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ ฯลฯ ตาม มาตรา 538 จึงต้องฟ้องบังคับโดยอาศัยหลักการไม่ชำระหนี้ทั่วไป (6) ข้อเท็จจริงตามฎีกาที่บันทึกนี้ได้ความว่า จำเลยทำหนังสือสัญญาให้ที่ดินมีโฉนดโดยเสน่หาแก่โจทก์โดยมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และหนังสือดังกล่าวตอนท้ายมีข้อความว่า ฯลฯ คู่สัญญาจะได้นำไปจดทะเบียน ณ สำนักงานที่ดินภายใน 7 วันนับแต่วันทำสัญญาซึ่งต้องถือหลักความศักดิ์สิทธิ์ของการแสดงเจตนา (primautedevolonte)(ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 114 เดิม,151 ใหม่)ศาลฎีกาเองก็เห็นว่าจำเลยประสงค์จะยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยทำนิติกรรมและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่กลับไม่บังคับตามเจตนาของคู่สัญญาโดยไปวินิจฉัยตอนท้ายว่า "เมื่อการให้รายนี้ยังไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นิติกรรมให้ย่อมไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่โจทก์ได้" แทนที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยคดีโดยหลักการไม่ชำระหนี้โดยทั่วไป โดยฟ้องบังคับให้ผู้ให้ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทให้แก่โจทก์ผู้รับการให้ ผู้บิดพลิ้วไม่ยอมโอนชำระหนี้ให้แก่โจทก์ แล้วเมื่อไรการให้จะสมบูรณ์ตามกฎหมายกันเล่า (7) พึงสังเกตว่ากรณีเช่นนี้ไม่ใช่เป็นการฟ้องบังคับคดีตามสัญญาให้ เพราะสัญญาให้ยังไม่สมบูรณ์ จะฟ้องบังคับคดีโดยอาศัยสัญญาให้ยังไม่ได้ หากจะฟ้องก็ต้องฟ้องโดยอาศัยหลักการไม่ชำระหนี้โดยทั่วไปเท่านั้น (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรคแรก)การฟ้องให้จดทะเบียนนี้เป็นการฟ้องบังคับตามหลักการดังกล่าวเพื่อให้สัญญาให้สมบูรณ์ให้จงได้ แม้กรณีไม่ต้องด้วยตัวบทมาตรา 526เกี่ยวกับการทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กันแล้วแต่ผู้ให้ไม่ส่งมอบทรัพย์สินแก่ผู้รับก็ตาม นอกจากนี้การที่ผู้รับชอบที่จะเรียกให้ผู้ให้ส่งมอบทรัพย์สินแก่ผู้รับ (ถ้าหากไม่ส่งมอบก็ย่อมฟ้องบังคับกัน) ก็แสดงให้เห็นว่า ผู้ให้มีหนี้ที่จะต้องปฏิบัติชำระแก่ผู้รับโดยที่กฎหมายบัญญัติไว้ในลักษณะสัญญาให้ ฉะนั้นการฟ้องบังคับให้ผู้ให้ไปจดทะเบียนการให้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงมิใช่กรณีที่แตกต่างกันไปย่อมบังคับกันได้ เช่นกรณีไม่ชำระหนี้กันตามปกติธรรมดา (8) ข้อสังเกตประการสุดท้ายก็คือ ที่จะฟ้องบังคับคดีให้ไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้นข้อเท็จจริงก็ต้องได้ความว่าคู่กรณีประสงค์ที่จะยกที่พิพาทให้แก่กันโดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ถ้าหากไม่มีความประสงค์เจตนาดังกล่าวแล้วก็ย่อมจะฟ้องร้องกันไม่ได้ เพราะแสดงว่าคู่กรณีไม่ต้องการให้สัญญาให้สมบูรณ์มาตั้งแต่ต้นเสียแล้ว ในข้อนี้พอเทียบได้กับสัญญาจะซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 วรรคแรก เพราะถ้าหากไม่มีเจตนาจะทำเป็นหนังสือจดทะเบียนก็ย่อมเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด สัญญาซื้อขายทรัพย์สินดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 456 วรรคแรกไปทีเดียว ความประสงค์หรือเจตนาดังกล่าวย่อมพิเคราะห์ดูได้จากข้อเท็จจริง ไพจิตรปุญญพันธุ์
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมาย | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2010-08-27 21:23:00 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2101439) | |
ขอความกรุณาอีกครั้งนะค่ะ คือ ตอน จดทะเบียนหย่าที อำเภอ เราได้ทำเป็น หนังสือสัญญา 2 ฉบับ มีพยาน เซ็น รับทราบ และมีชื่อของทั้งสองฝ่ายเซ็นค่ะ แต่ เรื่องมีอยู่ว่า บ้าน และ รถ ยังคงผ่อนอยู่ค่ะ ดิฉัน ทราบค่ะ ว่าคือ ยังไม่สามารถโอนได้ ตอนนี้ เพระาติดหนี้ธนาคารอยู่ แต่ใน สัญญาของเราระบุว่า ยกให้ลูกทั้ง 2 โดยฝ่าย ชายเป็นผู้รับผิดชอบผ่อน จน กว่าจะหมดค่ะ คืออยากเรียนถามดังนี้ค่ะ 1. ถ้าอดีตสามีแต่งงานใหม่ ภรรยาใหม่จะมีสิทธิ ครอบครอง บ้าน หลังที่ดิฉันและลูกอยู่ได้ หรือไม่? 2.สัญญาที่ทำไว้จะมีผล บังคับได้ หรือไม่ ถ้าอดีตสามี ไม่ทำตาม สํญญา 3.สินสมรสที่มีอยู่เดิมและถ้าเกิดอดีตสามีแต่งงานใหม่ บ้านที่เป็นของธนาคารอยู่ก็จะต้องตกเป็นสินสมรสของภรรยาใหม่ใช่หรือไม่ 4.ดิฉันสามารถฟ้องร้องขอแบ่งสินสมรสได้หรือไม่ค่ะ 5.จะทำวิธีใหนเพื่อป้องกันสิทธิของลูกได้ค่ะ 6.จะทำสํญญาวิธีใหนให้ถูกต้องโดยที่ทั้งสองฝ่ายจะได้ไม่ต้องมามีปัญหาเกี่ยวข้องกันค่ะระหว่างภรรยาใหม่และทรัพยฬสิน ของลูกดิฉันค่ะ ปล อดีต สามีจะแต่งงานเดือนหน้าค่ะ ดิฉัน ต้องการที่จะปกป้องสิทธืของลูกที่พืงจะได้ในสมบัติที่หามารวมกัน มา 14 ปีค่ะ ขอขอบพระคุณ อย่างสูงค่ะ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น อณัญญา วันที่ตอบ 2010-08-28 01:08:43 |
ความคิดเห็นที่ 3 (2101447) | |
1. ถ้าอดีตสามีแต่งงานใหม่ ภรรยาใหม่จะมีสิทธิ ครอบครอง บ้าน หลังที่ดิฉันและลูกอยู่ได้ หรือไม่? ตอบ- คงไม่ได้ครับ เป็นสินสมรสของคุณและอดีตสามีทำสัญญายกให้ลูกแล้ว 2. สัญญาที่ทำไว้จะมีผล บังคับได้ หรือไม่ ถ้าอดีตสามี ไม่ทำตาม สํญญา ตอบ-- ใช้บังคับได้ครับ แต่ไม่ผูกพันบุคคลภายนอกครับ 3.สินสมรสที่มีอยู่เดิมและถ้าเกิดอดีตสามีแต่งงานใหม่ บ้านที่เป็นของธนาคารอยู่ก็จะต้องตกเป็นสินสมรสของภรรยาใหม่ใช่หรือไม่ ตอบ ---สินสมรสเดิมที่ยังไม่ได้แบ่งย่อมยังคงเป็นสินสมรสของคุณกับสามี ไม่อาจกลายเป็นสินสมรสระหว่างอดีตสามีกับภริยาใหม่ได้ครับ แต่เขาอาจเรียกร้องเอาส่วนที่สามีนำเงินสินสมรสระหว่างเขามาผ่อนชำระบ้านได้ 5.จะทำวิธีใหนเพื่อป้องกันสิทธิของลูกได้ค่ะ ตอบ -- นำสัญญาไปจดทะเบียนต่อสำนักงานที่ดิน (ลองไปปรึกษาสำนักงานที่ดินดูนะครับ อาจต้องขอยืมโฉนดมาจากธนาคาร) 6.จะทำสํญญาวิธีใหนให้ถูกต้องโดยที่ทั้งสองฝ่ายจะได้ไม่ต้องมามีปัญหาเกี่ยวข้องกันค่ะระหว่างภรรยาใหม่และทรัพยฬสิน ของลูกดิฉันค่ะ ตอบ --วิธีตามข้อ 5
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2010-08-28 02:05:22 |
ความคิดเห็นที่ 4 (2101451) | |
ขอขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ ที่กรุณา ตอบหัวอกคนเป็นแม่อย่างดิฉัน คำตอบนี้มีค่ามากสำหรับเรา สามคนแม่ลูกมาก ขอให้บุญกุศลน้ีได้นำพาความรุ่งเรืองมาสู่คุณทนายน่ะค่ะ ปล ข้อ 2 สงสัยอยู่นิดหนึ่งค่ะ ไม่ผูกผันบุคคลภายนอก เช่น ใครเป็นต้นค่ะ เพราะ ตอนนี้ ลูก ของดิฉัน อายุ 10 กับ.14 ยังไม่บรรลุนิติภาวะเลยค่ะ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาก่อนนั้น ดิฉันสามารถ ทำแทนได้ใหมค่ะเพราเป๊นผู้ปกครองบุตรอยู่ค่ะ รบกวน อีกครั้งนะค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น อณัญญา วันที่ตอบ 2010-08-28 03:17:23 |
ความคิดเห็นที่ 5 (2101488) | |
ในกรณีของคุณบุคคลภายนอกคือใครบ้าง?? เมื่อคำมั่นว่าจะให้ไม่จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ไม่สมบูรณ์ แต่สามารถบังคับได้กับคู่กรณีได้ตามหลักความศักดิ์สิทธิ์แห่งการแสดงเจตนา ในฐานะบุคคลสิทธิ์ แต่จะให้บุคคลภายนอกทราบถึงข้อตกลงนี้และผูกพันดด้วยไม่ได้ เช่น เช่น เจ้าของกรรมสิทธิ์ (อดีตสามี) ไปมีหนี้สินแล้วถูกฟ้องบังคับยึดทรัพย์ เจ้าหนี้ย่อมสามารถบังคับคดีเอากับที่ดินพร้อมบ้านที่มีชื่อของอดีตสามีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ได้ โดยผู้รับให้(บุตร) จะอ้างสัญญาที่ยกให้ขึ้นยันเจ้าหนี้ไม่ได้ เป็นต้น ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่ควรจดทะเบียนหนังสือสัญญาคำมั่นว่าจะให้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ดังที่ได้แนะนำไว้แล้วข้างต้น สำหรับคำถามว่า มารดาจะทำแทนบุตรผู้เยาว์ได้หรือไม่? มารดาเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมย่อมสามารถให้ความยินยอมให้บุตรผู้เยาว์ทำนิติกรรมได้ หรือทำแทนบุตรผู้เยาว์ได้ครับ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2010-08-28 09:47:32 |
ความคิดเห็นที่ 6 (2101626) | |
สามารถทำได้ครับ แต่ความยุ่งยากอยู่ที่วิธีการแบ่ง เพราะทรัพย์สินยังมีภาระหนี้อยู่หากจะแบ่งก็ต้องตกลงกันว่าจะประมูลราคากันเองอย่างไร หรือจะให้ขายโดยติดจำนองไปซึ่งผู้ซื้อก็ไม่อยากซื้อทรัพย์สินติดจำนอง หากสามารถปิดบัญชีชำระหนี้ให้กับธนาคารได้ก็จะสะดวกในการแบ่งสินสมรสที่เป็นทรัพย์ติดภาระหนี้อยุ่ครับ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2010-08-28 15:55:19 |
[1] |