ReadyPlanet.com


เขาตัดต้นไม้ของเราทิ้ง ทำให้เสียทรัพย์


ญาติที่อยู่ใกล้บ้านกัน เขาคิดว่าเราไปบุกรุกเขตที่ดินของเขา เขาเลยตัดต้นไม้ของเราทิ้งแต่ปรากฏว่าจิง ๆแล้วไม่ใช่ เพราะเรียกกรมที่ดินมาดูตามเขตแล้วไม่ใช่เขตของเขา อย่างนี้เราจะทำอะไรได้ไม๊ค่ะ รบกวนช่วยตอบด้วยน่ะค่ะ



ผู้ตั้งกระทู้ Pear (pear_tciap-at-ymail-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2011-01-19 20:58:14


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (2146656)

ทางเลือกที่ 1. ให้อภัยซึ่งกันและกัน เพราะเป็นญาติกัน อาจพึ่งพาอาศัยกันในภายภาคหน้า

ทางเลือกที่ 2.  ก็อยู่ที่คุณกำลังคิดอะไรอยู่ อยากให้ถามคำถามที่เจาะจงกว่านี้ครับ คำถามว่าทำอะไรได้ไหม?  หลักทั่วไปก็คือใครทำให้เราเสียหายก็เรียกค่าเสียหายจากผู้ทำ เขาไม่จ่ายก็ต้องฟ้องเอา แต่จะคุ้มค่าดำเนินการหรือไม่ก็ต้องชั่งน้ำหนักเอาเองครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-01-19 21:35:35


ความคิดเห็นที่ 2 (2147096)

ขอบพระคุณมาก ๆ ค่ะ แต่เขาไร้ซึ่งน้ำใจมากอย่างวันนี้หลักที่ทางกรมที่ดินมาวัด เขาก็ทุบ และพยายามเลื่อนเข้ามาในเขตเราอีก คือเห็นแก่ตัวอย่างที่ไม่นึกว่าจะมีคนอย่างนี้อยู่ในโลกนี้ จะรบกวนถามอีกค่ะ

1.ถ้าเขามา ฟันหรือทำลายต้นไม้เราในเขตพื้นที่เราอีกครั้ง เราสามารถแจ้งตำรวจได้ไม๊ค่ะ?

2.เสาไฟฟ้าที่เดินสายมาเข้าบ้านเรามันอยู่ในเขตพื้นที่เขาแต่มันต้องผ่านบ้านเขาค่ะสามารถทำลายเสาไฟฟ้านั้นได้ใช่ไม๊ค่ะ?   

 

ขอบพระคุณมากค่ะ.

ผู้แสดงความคิดเห็น Pear (pear_tciap-at-ymail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-01-21 20:58:49


ความคิดเห็นที่ 3 (2147246)

1.ถ้าเขามา ฟันหรือทำลายต้นไม้เราในเขตพื้นที่เราอีกครั้ง เราสามารถแจ้งตำรวจได้ไม๊ค่ะ?

ตอบ-- แจ้งความดำเนินคดีฐานทำให้เสียทรัพย์ได้ครับ

มาตรา 358 ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นหรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่ เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2.เสาไฟฟ้าที่เดินสายมาเข้าบ้านเรามันอยู่ในเขตพื้นที่เขาแต่มันต้องผ่านบ้านเขาค่ะสามารถทำลายเสาไฟฟ้านั้นได้ใช่ไม๊ค่ะ?   

ตอบ-- ไม่สามารถทำได้ครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-01-22 15:16:58


ความคิดเห็นที่ 4 (2201621)

ทำให้เสียทรัพย์ต้องมีเจตนาไม่ใช่ประมาท

การที่จำเลยร่วมกันขับรถหลบหนีและพุ่งเข้าชนรถยนต์ของทางราชการจนเกิดการเสียหายนั้น จำเลยมีเจตนาที่จะกระทำขึ้นและได้กระทำในวาระเดียวกันอันเป็นวิธีการอย่างหนึ่งเพื่อหลบหนีการจับกุมของเจ้าพนักงานตำรวจ ดังนั้น ความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ กับความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90

      คำพิพากษาศาลฎีกาที่  4045/2545


 พนักงานอัยการจังหวัดอุบลราชธานี      โจทก์
 
 
          จำเลยเป็นผู้ให้คนต่างด้าวสัญชาติลาวจำนวน 20 คน โดยสารรถยนต์จากตำบลนาตาลกิ่งอำเภอนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อไปส่งที่จังหวัดปทุมธานี โดยรู้ว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นคนต่างด้าวและเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 64 วรรคหนึ่งแล้ว ส่วนที่ต่อมาระหว่างทางเจ้าพนักงานตำรวจตรวจพบการกระทำผิดของจำเลยจึงเข้าจับกุมแต่จำเลยได้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจ โดยขับรถยนต์คันที่พาคนต่างด้าวมาหลบหนีและพุ่งเข้ารถยนต์ของทางราชการนั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ต่างกรรมต่างวาระกันอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91

           การที่จำเลยร่วมกันขับรถหลบหนีและพุ่งเข้าชนรถยนต์ของทางราชการจนเกิดการเสียหายนั้น จำเลยมีเจตนาที่จะกระทำขึ้นและได้กระทำในวาระเดียวกันอันเป็นวิธีการอย่างหนึ่งเพื่อหลบหนีการจับกุมของเจ้าพนักงานตำรวจ ดังนั้น ความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่กับความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
________________________________

          โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2543 เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ จำเลยทั้งสองร่วมกันให้ความช่วยเหลือคนต่างด้าว สัญชาติลาวจำนวน 20 คน ซึ่งเป็นผู้มีภูมิลำเนาอยู่ที่ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 โดยจำเลยทั้งสองได้ช่วยซ่อนเร้นและช่วยเหลือคนต่างด้าวทั้งยี่สิบคนดังกล่าวด้วยการให้โดยสารรถยนต์จากตำบลนาตาล กิ่งอำเภอนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อพาไปส่งที่จังหวัดปทุมธานี โดยจำเลยทั้งสองรู้อยู่ว่าเป็นคนต่างด้าวสัญชาติลาว และได้เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายดังกล่าว ทั้งนี้จำเลยทั้งมีเจตนาที่จะช่วยคนต่างด้าวทั้งยี่สิบคนดังกล่าวให้พ้นจากการจับกุมภายหลังจากที่จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดแล้ว ร้อยตำรวจเอกปารเมศร์จันทรทิพย์ กับพวก ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจประจำสถานีตำรวจภูธรอำเภอตระการพืชผลพบเห็นการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นความผิดซึ่งหน้าและได้แสดงตัวเข้าจับกุมจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองได้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของร้อยตำรวจเอกปารเมศร์ กับพวก โดยการขับรถยนต์คันที่พาคนต่างด้าวมาดังกล่าวหลบหนีและขับพุ่งเข้าชนรถยนต์หมายเลขโล่ 27172 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่งอยู่ในความครอบครองดูแลรักษาใช้ประโยชน์ในราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยอยู่ในความครอบครองดูแลรักษาใช้ประโยชน์ในราชการของร้อยตำรวจเอกปารเมศร์ ซึ่งจอดขวางทางป้องกันไม่ให้รถคันที่จำเลยทั้งสองขับหลบหนี ทำให้รถยนต์ของทางราชการดังกล่าวได้รับความเสียหายคิดเป็นจำนวนเงิน 45,350 บาท เพื่อขัดขวางไม่ให้ร้อยตำรวจเอกปารเมศร์กับพวก ปฏิบัติการตามหน้าที่เข้าจับกุมจำเลยทั้งสอง เหตุทั้งหมดเกิดที่ตำบลนาตาล กิ่งอำเภอนาตาล และตำบลคำเจริญ อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานีเกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 64 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 138, 358

          จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ

          ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองพ.ศ. 2522 มาตรา 64 (ที่ถูกมาตรา 64 วรรคหนึ่ง) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138,356 (ที่ถูกมาตรา 358 ประกอบมาตรา 83) การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรม ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานช่วยคนต่างด้าวจำคุกคนละ 2 ปี ฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน จำคุกคนละ 6 เดือน ฐานทำให้เสียทรัพย์ จำคุกคนละ 1 ปี รวมจำคุกคนละ 3 ปี 6 เดือน จำเลยทั้งสองรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกคนละ 1 ปี 9 เดือน พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีและรายงานการสืบเสาะพินิจจำเลยแล้ว เห็นว่าไม่สมควรรอการลงโทษ
          จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่กับความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ เป็นการกระทำผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ความผิดฐานช่วยเหลือคนต่างด้าวให้ลงโทษจำคุกคนละ 6 เดือน เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกคนละ 3 เดือน รวมโทษความผิดสองกระทง จำคุกคนละ 9 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

          จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกมีว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดกรรมเดียวกันหรือไม่ จำเลยทั้งสองฎีกาว่าการที่จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันนำคนต่างด้าวขึ้นรถยนต์แล้วพาหลบหนีจนเป็นเหตุทำให้รถที่จำเลยทั้งสองร่วมกันขับพุ่งชนรถยนต์หมายเลขโล่ 27172 ได้รับความเสียหายและถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนั้น เป็นการกระทำความผิดต่อเนื่องกันจึงเป็นความผิดกรรมเดียวกันแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท เห็นว่า ความผิดตามมาตรา 64 วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 นั้น เพียงแต่ผู้กระทำรู้ว่ามีคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 แล้ว ยังให้ที่พักอาศัย ซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวพ้นจากการจับกุมก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว คดีนี้ได้ความว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้ให้คนต่างด้าวสัญชาติลาวจำนวน20 คน โดยสารรถยนต์จากตำบลนาตาล กิ่งอำเภอนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อไปส่งที่จังหวัดปทุมธานี โดยรู้ว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นคนต่างด้าวและเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดตามมาตรา 64 วรรคหนึ่งแล้ว ส่วนที่ต่อมาระหว่างทางเจ้าพนักงานตำรวจพบการกระทำผิดของจำเลยทั้งสองเข้าจับกุม แต่จำเลยทั้งสองได้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจ โดยขับรถยนต์คันที่พาคนต่างด้าวมาหลบหนีและพุ่งเข้ารถยนต์หมายเลขโล่ 27172 นั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ต่างกรรมต่างวาระกันอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 แต่การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันขับรถหลบหนีและพุ่งเข้าชนรถยนต์ของทางราชการจนเกิดการเสียหายนั้น จำเลยทั้งสองมีเจตนาที่จะกระทำขึ้นและได้กระทำในวาระเดียวกันอันเป็นวิธีการอย่างหนึ่งเพื่อหลบหนีการจับกุมของเจ้าพนักงานตำรวจ ดังนั้น ความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่กับความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น"


          พิพากษายืน

( ทวีวัฒน์ แดงทองดี - พินิจ เพชรรุ่ง - โนรี จันทร์ทร )

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-08-01 22:28:19



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล