ทำสัญญาเช่าไว้ แต่เจ้าของบ้านไปโดนแบงค์ยึด | |
คือวว่า ผม ได้ เช่าตึกหลัง นึง โดยต่อสัญญา ทุก 5 ปี โดย แบ่งสัญญาเป็น 2 ฉบับ ฉบับแรก 3 ปี ฉบับ หลัง 2 ปี (ฉบับหลังจะทำไว้ล่วงหน้าพร้อมกับฉบับแรกเลยเลย) ก็อยู่มา สิบปีแล้ว และเมื่อ 3ปีก่อนก็เพิ่งครบสัญญา5ปี ก็ ทำกันใหม่อีก2ฉบับเหมือนเดิม(5ปี) เท่ากับว่าตอนนี้ สามารถอยู่ได้อีก 2 ปี ก่อนหมดสัญญา ปัญหาอยู่ที่ว่า เมื่อ ไม่นานนี้ มีหมายศาลมาแจ้งเจ้าของบ้านแต่บังเอิญผมไปเจอเข้า เนื้อความว่า คดีดำที่ ...../2550 คดีแดงที่ ......./2550 โจทย์=ธนาคาร จำเลย=เจ้าของบ้าน วันที่ 10 / 01 /54 ถึง...นาง...เจ้าของบ้าน ให้นำส่ง เอกสารสิทธิที่ดินโฉนดดังกล่าวไปยังศาลนับแต่วันที่ทราบคำสั่ง หากไม่ทำตาม ศาลอนุญาตให้ดำเนินการขายทอดตลาดได้ โดยใช้สำเนาเอกสารสิทธิ์แทน
ผมเลยเข้าใจว่า เจ้าของบ้าน เอาตึไปเข้าแบงก์แล้วโดนยึด ตัดสินแล้วด้วย ยังงี้ก็เท่ากับตึกนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของแบงก์ แล้วสัญญาเช่าที่ผมทำไว้กับเจ้าของบ้าน จะมียังคงผลอยู่รึป่าวครับ หรือเป็นโมฆะ ผมมีสิทธิ์อยู่ครบสัญญารึป่าว (เพราะต่อสัญญาทีนึง ผมก็จ่ายเงินค่าเช้าเป็นเงินก้อนทุกๆ5ปี แล้วจ่ายค่าเช้าเป็นรายเดือนต่างหากแต่ในสัญญาจะไม่ได้ลงรายละเอียดเงินก้อนที่จ่ายให้จะระบุแต่ว่า ค่าเช่ารายเดือนซึ่งก็จ่ายตามนั้นอยู่แล้ว) ถ้าอยู่ต่อไม่ได้ผมคงต้องหาที่อยู่ใหม่เลยแล้วเงินที่จ่ายไปก็ฟรีเลย ยังไงรบกวนพี่ๆช่วยทีนะครับ ว่าผมต้องทำยังไงดี หรือต้องทำอะไรต้องติดต่อประสานงานกับที่ไหนบ้าง หรือว่าทำอะไรไม่ได้เลย ขอบคุณครับ
| |
ผู้ตั้งกระทู้ nuyguitar :: วันที่ลงประกาศ 2011-01-25 16:29:07 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2148215) | |
ตามกฎหมายแล้ว สัญญาเช่าที่เกินสามปี ถ้าไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ บังคับกันได้ 3 ปี แต่ในกรณีของคุณผมเข้าใจว่า สัญญาแรก 3 ปีได้ผ่านพ้นไปแล้ว ปัจจุบันกำลังผูกพันกันตามสัญญาที่ 2 คือ 2 ปี (ไม่ต้องบอกใครว่าคุณทำสัญญาเช่า 2 ฉบับ) ในกรณีเจ้าหนี้จะดำเนินการขายทอดตลาด และมีผู้ซื้อรายใหม่มาอ้างสิทธิเจ้าของกรรมสิทธิ์และฟ้องขับไล่ คุณอาจอ้างอำนาจพิเศษจากสัญญาเช่านั้นได้ ในกรณีที่ศาลพิพากษาให้คุณออก คุณมีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่าเช่าคืนได้ (กรณีจ่ายล่วยหน้า) แต่จะมีปัญหาเรื่องการทำสัญญา 2 ฉบับหลีกเลี่ยงการจดทะเบียนการเช่านั้น ผมไม่แน่ใจครับ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-01-25 23:23:08 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2148216) | |
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1658/2546 คดีก่อนจำเลยฟ้องขับไล่โจทก์ว่าสัญญาเช่าที่ทำกันไว้ 7 ปี ใช้บังคับได้เพียง 3 ปีและโจทก์ผิดสัญญาเช่าเพราะไม่ชำระค่าเช่าสัญญาเช่าจึงเป็นอันเลิกกัน โจทก์ให้การว่ามิได้ผิดสัญญาเช่า ขอให้ยกฟ้อง การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ว่าสัญญาเช่ามีกำหนด3 ปี ขึ้นไป แต่ไม่ได้จดทะเบียนจึงตกเป็นโมฆะ ขอให้จำเลยคืนเงินมัดจำตามสัญญาเช่าให้แก่โจทก์ ย่อมเป็นการขัดกับคำให้การของโจทก์ในคดีก่อนเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตทั้งคำฟ้องคดีนี้ก็เป็นเรื่องที่ให้ศาลวินิจฉัยเกี่ยวกับสัญญาเช่าในทรัพย์สินเดียวกับคดีก่อนที่สืบเนื่องมาจากประเด็นเดียวกับที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยในคดีก่อน จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144แม้ว่าโจทก์จะได้ฟ้องคดีนี้ไว้ก่อนที่ศาลในคดีก่อนจะได้วินิจฉัยชี้ขาดก็ตาม แต่เมื่อศาลในคดีก่อนได้พิจารณาชี้ขาดแล้ว ก็ตกอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 144 เช่นกัน โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2541 โจทก์ทำสัญญามัดจำการเช่าตึกแถวกับจำเลย โดยได้มอบเงินมัดจำการเช่าตึกแถวเลขที่ 167/2-4 หมู่ที่ 6 ตำบลท่าโพธิ์อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 200,000 บาท และวันที่ 28 ธันวาคม2541 โจทก์ได้มอบเงินมัดจำการเช่าตึกแถวดังกล่าวให้แก่จำเลยอีก 300,000 บาทต่อมาวันที่ 2 มกราคม 2542 โจทก์ได้ทำสัญญากับจำเลยรวม 5 ฉบับคือ ฉบับที่ 1สัญญาเช่าตึกแถวเลขที่ 167/2-3 ดังกล่าว มีกำหนด 7 ปี นับแต่วันที่ 2 มกราคม2542 ฉบับที่ 2 สัญญาเช่าตึกแถวเลขที่ 167/4 ดังกล่าว มีกำหนด 3 ปี นับแต่วันที่ 2มกราคม 2542 ฉบับที่ 3 สัญญาเช่าตึกแถวเลขที่ 167/4 ดังกล่าว มีกำหนด 4 ปีนับแต่วันที่ 2 มกราคม 2545 ฉบับที่ 4 สัญญาเช่าหอพักชื่อ กุลสตรี ซึ่งตั้งอยู่บนตึกแถวเลขที่ 167/2-4 ดังกล่าว มีกำหนด 7 ปี นับแต่วันที่ 2 มกราคม 2542 และฉบับที่ 5สัญญายืมอุปกรณ์เครื่องใช้และทรัพย์สินภายในร้านยูนิเวอร์ซิตี้มินิมาร์ท ซึ่งตั้งอยู่ที่ตึกแถวเลขที่ 167/2-3 ดังกล่าว โดยมีเงื่อนไขและอยู่ในกำหนดการเช่าตึกแถวดังกล่าว สัญญาเช่าฉบับที่ 1 ฉบับที่ 3 และฉบับที่ 4 มีกำหนด 3 ปีขึ้นไป แต่มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ตึกแถวทั้งหมดตามสัญญาเช่าเป็นสถานที่เดียวกันไม่อาจแบ่งแยกได้ เมื่อส่วนหนึ่งส่วนใดของสัญญาเป็นโมฆะย่อมตกเป็นโมฆะทั้งสิ้น และสัญญามัดจำการเช่าตึกแถวไม่อาจแยกได้ว่ามัดจำการเช่าฉบับละเท่าใด จำเลยต้องคืนเงินมัดจำทั้งหมดให้แก่โจทก์ และโจทก์ต้องส่งมอบตึกแถวที่เช่า อุปกรณ์เครื่องใช้ และทรัพย์สินที่ยืมให้แก่จำเลย โจทก์ได้ชำระค่าเช่าให้แก่จำเลยตลอดมาทุกเดือน ต่อมาจำเลยบอกเลิกสัญญาเช่าทั้งหมดโดยอ้างว่าโจทก์ผิดสัญญาเช่าและจำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลชั้นต้นว่า โจทก์ผิดสัญญาเช่าพร้อมทั้งเรียกค่าเสียหายตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1295/2542 ของศาลชั้นต้นคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น เมื่อสัญญาเช่าเลิกต่อกันและโจทก์มิได้ติดค้างชำระค่าเช่า จำเลยจึงต้องคืนเงินมัดจำจำนวน 200,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2541 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน22,500 บาท และเงินมัดจำจำนวน 30,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2541 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 33,700 บาท ให้แก่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 556,200 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยมิได้ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ แต่ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งแสดงว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การจำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ไต่สวนคำร้อง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้จำเลยได้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยเรื่อง เช่าทรัพย์ ขับไล่ ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 140/2545 ของศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาชี้ขาดแล้วว่า จำเลยซึ่งเป็นโจทก์คดีนี้เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่า การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอ้างว่าสัญญาเช่าเป็นโมฆะโดยอาศัยข้อเท็จจริงในเรื่องการเช่าทรัพย์พิพาทรายเดียวกัน และข้ออ้างอันเป็นเหตุว่าจำเลยคดีนี้เป็นฝ่ายผิดสัญญาและสัญญาเช่าเป็นโมฆะ ต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์เช่นเดียวกับที่ได้มีคำพิพากษาชี้ขาดไปแล้วในคดีก่อน การที่ศาลในคดีนี้จะสั่งคืนหรือริบเงินมัดจำหรือไม่นั้น ศาลต้องพิจารณาเกี่ยวกับสัญญาเช่าพิพาทดังกล่าวเท่ากับโจทก์คดีนี้ขอให้ศาลพิพากษาในประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้วจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 แม้โจทก์คดีนี้จะฟ้องก่อนที่ศาลจะได้วินิจฉัยคดีก่อนก็ตาม เมื่อศาลชั้นต้นได้พิพากษาชี้ขาดคดีก่อนแล้ว และคดีอยู่ระหว่างการอุทธรณ์ กรณีก็ตกอยู่ในบังคับมาตรา 144 ให้ยกฟ้องโจทก์ คดีทั้งสองมีทรัพย์สินที่พิพาท คู่ความและประเด็นเป็นอย่างเดียวกัน แต่คดีที่ผู้ให้เช่าฟ้องขับไล่ผู้เช่าที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้เช่าเป็นฝ่ายผิดสัญญานั้นยังไม่ถึงที่สุดจึงไม่มีผลผูกพันคดีนี้ที่ผู้เช่าฟ้องเรียกมัดจำคืนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ศาลจึงนำมาตรา 144 มาปรับแก่คดีเพราะว่าการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำเพียงแต่คดีใดคดีหนึ่งมีคำพิพากษาหรือคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคดีหรือในประเด็นข้อใดข้อหนึ่งแห่งคดีแล้วไม่ต้องคดีถึงที่สุดก็ห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้นอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้รับวินิจฉัยชี้ขาดแล้วนั้น คดีนี้จึงต้องยกฟ้องเพราะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามมาตรา 144 ไพโรจน์ วายุภาพ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-01-25 23:31:25 |
[1] |