ReadyPlanet.com


เรียกค่าสินไหม กรณี รถเก๋งชนคนตาย 2 บาดเจ็ดสาหัด 1


ท่านครับ ขอถามแทนเพื่อนหน่อยนะครับ คือว่า เมื่อเวลาประมาณตี 2 พ่อแม่และน้องชายโดยสารรถสามล้อเครื่องไปขายของตลาดสดตามปกติ โดยพ่อเป็นคนขับ แล้วมีรถเก่งคันหนึ่งวิ่งข้ามเลนมาชน คนขัมมีอาการมึนเมา ทำให้แม่และลูกเสียชีวิตทันที และพ่อบาดเจ็บสาหัส อยากทราบว่าเราจะเรียกค่าสินใหมทดแทนในกรณีนี้ ได้ประมาณเท่าใดครับ
ข้อมูล ครอบครัวนี้ยากจน มีลูกๆ ให้ดูแลอีก 3 คน ยังเรียนอยู่ พ่ออายุ ประมาณ 40-50 แม่อายุประมาณเท่ากัน ส่วนลูกชายอายุ 18 ปี ช่วยหน่อยครับสงสารมาก สงสารเด็ก ส่วนพ่อที่มีชีวิตอยู่ นิ้วก็ขาดด้วย
รับรองเป็นความจริงทุกประการ
 



ผู้ตั้งกระทู้ ครู บ้านนอก :: วันที่ลงประกาศ 2011-02-15 17:52:27


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (2153823)

คำถามของคุณเป็นการเน้นสอบถามจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนซึ่งสามารถเรียกได้ตามกฎหมาย มาตรา 443   

ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้นค่าสินไหมทดแทนได้แก่ ค่าปลงศพรวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นๆ อีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาลรวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทำให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฏหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

การเรียกค่าขาดไร้อุปการะ เป็นการเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูซึ่งบิดามารดา และบุตรมีหน้าที่ต่อกัน เมื่อบุคคลใดถูกทำละเมิดจากบุคคลอื่นจนเสียชีวิตเป็นเหตุให้ผู้ที่มีสิทธิได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูจากบุคคลที่เสียชีวิตนับตั้งแต่วันเสียชีวิตถึงวันที่เขามีอายุ 60 -65 ปี(ซึ่งถือเป็นวัยชรา) โดยคำนวณว่าถ้าเขามีชีวิตอยู่เขามีความสามารถที่จะอุปการะเลี้ยงดูเราได้เดือนละเท่าใดเป็นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  6393/2551

  ตามกรมธรรม์ประกันภัยระบุจำนวนเงินจำกัดความรับผิด กรมธรรม์ประกันภัยนี้ให้ความคุ้มครองเฉพาะสัญญาข้อที่มีจำนวนเงินจำกัดความรับผิดระบุไว้เท่านั้น ในข้อสัญญาดังกล่าวไม่ระบุถึงต้องรับผิดในส่วนค่าขาดไร้อุปการะด้วยการที่จำเลยจ่ายเงินไปเห็นได้ชัดว่าเป็นค่าปลงศพเท่านั้น การจ่ายเงินค่าซ่อมรถก็เป็นค่าเสียหายต่อทรัพย์สินซึ่งค่าเสียหายทั้งสองรายการนี้ต้องจ่ายตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จำเลยที่ 1 ทำไว้กับจำเลยร่วมเท่านั้น ในการทำละเมิดเป็นเหตุให้บุตรของโจทก์ทั้งสองถึงแก่ความตาย โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 443 วรรคสาม ประกอบมาตรา 1563 ไม่ว่าในขณะเกิดเหตุผู้ตายจะได้อุปการะเลี้ยงดูโจทก์ทั้งสองจริงหรือไม่ และในอนาคตจะอุปการะกันหรือไม่ การที่โจทก์ทั้งสองถอนฟ้องจำเลยร่วมที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ขอให้ศาลเรียกเข้ามานั้น ไม่มีผลเกี่ยวกับจำเลยทั้งห้าเพราะคดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้จำเลยทั้งห้าชดใช้ค่าขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย ไม่ใช่ค่าปลงศพและค่าเสียหายต่อทรัพย์สินของกรมธรรม์ประกันภัย จึงไม่เป็นการปลดหนี้ให้แก่จำเลยร่วมอันจะมีผลทำให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 หลุดพ้นจากความรับผิดในส่วนนี้ ทั้งการที่โจทก์ทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยร่วมว่าไม่ติดใจเรียกร้องอะไรอีกนั้น เป็นกรณีเฉพาะการประนีประนอมยอมความกันในเรื่องค่าซ่อมรถเท่านั้น
 

          โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าอุปการะเลี้ยงดูจำนวน 200,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสองพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

          จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
          จำเลยที่ 3 และที่ 5 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

          ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ยื่นคำร้องขอให้เรียกบริษัททิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เข้ามาเป็นจำเลยเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
          จำเลยร่วมให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง

          ระหว่างพิจารณา โจทก์ทั้งสองขอถอนฟ้องสำหรับจำเลยร่วม อ้างเหตุว่าจำเลยร่วมชำระค่าสินไหมทดแทนเต็มตามสัญญาประกันภัยแล้ว ศาลชั้นต้นอนุญาตและให้จำเลยจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยร่วมออกจารสารบบความ

          ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 มกราคม 2542 (วันถัดจากวันฟ้อง) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสองโดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท

          จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
          ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

          จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “...มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า โจทก์ทั้งสองมีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะตามฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 ฎีกาว่าการที่จำเลยร่วมได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยแก่โจทก์ทั้งสองแล้วหนี้ละเมิดย่อมระงับไป ทั้งการที่โจทก์ถอนฟ้องจำเลยร่วมย่อมทำให้จำเลยทั้งห้าได้รับประโยชน์ ภาระหนี้ตามฟ้องจึงเหลือเพียง 48,000 บาท เท่านั้น เห็นว่าตามกรมธรรม์ประกันภัยระบุจำนวนเงินจำกัดความรับผิดว่า กรมธรรม์ประกันภัยนี้ให้ความคุ้มครองเฉพาะสัญญาข้อที่มีจำนวนเงินจำกัดความรับผิดระบุไว้เท่านั้น สัญญาหมวดที่ 2 ส่วนที่ 1 ข้อ 2 ความรับผิดตาม พ.ร.บ. 50,000 บาท หรือ 80,000 บาทต่อหนึ่งคน 10,000,000 บาทต่อหนึ่งครั้ง ข้อ 2.1 ความรับผิดต่อความบาดเจ็บหรือมรณะส่วนเกิน พ.ร.บ. 150,000 บาทต่อคน 1,000,000 บาทต่อหนึ่งครั้ง ข้อ 2.3 ความรับผิดต่อทรัพย์สิน 1,000,000 บาทต่อหนึ่งครั้ง ในข้อสัญญาดังกล่าวไม่ระบุถึงต้องรับผิดในส่วนค่าขาดไร้อุปการะด้วย นอกจากนี้ความรับผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประกันภัยจากรถ พ.ศ.2535 มาตรา 4 (เดิม) บัญญัติว่า ค่าเสียหายเบื้องต้นในกรณีความเสียหายต่อชีวิตหมายความว่า ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการจัดการศพผู้ประสบภัยซึ่งถึงแก่ความตาย ทั้งนี้ ตามรายการและจำนวนเงินที่กำหนดในกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 20 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวซึ่งก็ไม่หมายถึงค่าขาดไร้อุปการะอีก การที่จำเลยร่วมจ่ายเงินไป 135,000 บาท ก็ระบุว่าค่าปลงศพตาม พ.ร.บ.65,000 บาท ค่าปลงศพ ร.ย. 2.1 (ข้อ 2.1) 70,000 บาท เห็นได้ชัดว่าเป็นค่าปลงศพเท่านั้น การจ่ายค่าซ่อมรถเป็นเงิน 17,000 บาท ก็เป็นค่าเสียหายต่อทรัพย์สินซึ่งค่าเสียหายทั้งสองรายการนี้ต้องจ่ายตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จำเลยที่ 1 ทำไว้กับจำเลยร่วมเท่านั้นในการทำละเมิดเป็นเหตุให้บุตรของโจทก์ทั้งสองถึงแก่ความตาย โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรคสาม ประกอบมาตรา 1563 ไม่ว่าในขณะเกิดเหตุผู้ตายจะได้อุปการะเลี้ยงดูโจทก์ทั้งสองหรือไม่ และในอนาคตจะอุปการะกันหรือไม่ การที่โจทก์ทั้งสองถอนฟ้องจำเลยร่วมที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ขอให้ศาลเรียกเข้ามานั้น ไม่มีผลเกี่ยวกับจำเลยทั้งห้าเพราะคดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้จำเลยทั้งห้าชดใช้ค่าขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย ไม่ใช่ค่าปลงศพและค่าเสียหายต่อทรัพย์สินตามกรมธรรม์ประกันภัย จึงไม่เป็นการปลดหนี้ให้แก่จำเลยร่วมอันจะมีผลทำให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 หลุดพ้นจากความรับผิดในส่วนนี้ ทั้งการที่โจทก์ทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยร่วมว่าไม่ติดใจเรียกร้องอะไรอีกนั้น เป็นกรณีเฉพาะการประนีประนอมยอมความกันในเรื่องค่าซ่อมรถ 17,000 บาท เท่านั้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น

          อนึ่ง คดีนี้จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โดยมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นกรรมการผู้กระทำการในนามบริษัทเท่านั้น จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงไม่ต้องผูกพันร่วมรับผิดด้วยเป็นส่วนตัว จึงต้องแก้ไขให้ถูกต้อง”

          พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4

ผู้แสดงความคิดเห็น admin วันที่ตอบ 2011-02-15 21:08:40



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล