บ้านถูกยึดขายทอดตลาด ยังถูกตามทวงหนี้จากแบงค์อีกมโหฬาร | |
สวัสดีค่ะ สามีซื้อคอนโดไว้ เมื่อราวๆปี 37 ก่อนจะแต่งงานกัน กู้กับธนาคารกรุงไทย 240,000 บาท ผ่อนไปได้สักสี่ห้าปี แล้วไม่ได้ผ่อนต่อ ธนาคารจึงเรียกไปขึ้นศาล ศาลให้คุยตกลงกัน จึงมีการเจรจาคุยกับแบงค์ว่าจะจ่ายต่อและก็มีเอกสารมาให้เซ็นวันที่ไปศาล (ไม่รู้ว่าเอกสารอะไร จำไม่ได้ด้วยว่าเซ็นอะไรไป...ยังโกรธตัวเองอยู่ว่าโง่จริงๆ ที่เซ้นอะไรซี๊ซั๊ว) หลังจากไกล่เกลี่ยที่ศาล เราก็ผ่อนไปอีกสักระยะ แล้วไม่ได้ผ่อนอีก เพราะการเงินมันติดขัดค่ะ ศาลมีคำสั่งให้ยึดแล้วขายทอดตลาดไปเมื่อ ธค 46 หลังจากนั้น เราก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไร คิดว่าขายทอดตลาดไปแล้วคงจะจบกันไปแล้ว และ ครอบครัวเราก็ย้ายมาอยู่ต่างประเทศ แทบไม่ได้กลับไปเมืองไทย จดหมายทุกอย่างแม่สามีเป็นคนรับให้ | |
ผู้ตั้งกระทู้ Isara :: วันที่ลงประกาศ 2011-02-23 15:39:18 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2156051) | |
คำถาม: ถ้าเขาจะยึดทรัพย์เรา แบงค์เค้ายึดได้ใช่มั้ยคะ เค้าจะทำมั้ยคะ และจะใช้ระยะเวลาสักเท่าไหร่ ตอบ--- ธนาคารเป็นสถาบันการเงินที่ทำงานมีขั้นตอน หลักเกณฑ์มาตรฐาน ดังนั้น ข้อมูลต่าง ๆ ที่ให้คุณนั้นสามารถขอตรวจสอบกันได้ ขอคำอธิบายได้ และคุณก็แจ้งความประสงค์เจ้าหนี้ไปว่า มีความประสงค์จะประนอมหนี้กับทางเจ้าหนี้ ผมคิดว่าเขาจะให้ความกระจ่างและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี สำหรับคำถามว่าเจ้าหนี้เขาจะยึดทรัพย์หรือไม่ ตอบได้ว่า ถ้าเจ้าหนี้พบทรัพย์สินของคุณแล้วเขาก็ต้องบังคับคดีแน่นอน แต่ทางที่ดีคุณควรไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ศาลที่คุณไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความครั้งสุดท้ายว่า ศาลมีคำพิพากษาไปในวันที่เท่าใด นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว เกิน 10 ปี แล้วหรือยัง ถ้าเกินแล้ว เจ้าหนี้ก็ไม่มีสิทธิที่จะบังคับคดียึดทรัพย์คุณได้อีกต่อไป ส่วนถามว่าเขาจะทำไหม? ระยะเวลานานเท่าใดนั้น ตอบว่า เขาคงทำแน่ แต่ระยะเวลาก็ต้องขึ้นอยู่กับสิทธิตามกฎหมายคือภายใน 10 ปี คำถาม ...ดิฉันควรจะต้องขอเอกสารอะไรจากธนาคารบ้างคะ เพื่อจะได้ประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ ตอบ--- ผมว่าคุณไปติดต่อที่ศาลเพื่อขออ่านสำนวนดูก่อนก็ได้จะได้มีข้อมูลในการต่อรองกับธนาคาร หรือเจ้าหนี้ และเรื่องที่คุณว่ามานี้เกิดขึ้นในปี 2537 ซึ่งในรายละเอียดยังไม่แน่ชัดว่าสิทธิของเจ้าหนี้ที่จะบังคับคดีเอากับทรัพย์สินอื่น ๆ ของคุณสิ้นสุดแล้วหรือไม่?
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-02-24 12:45:31 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2156091) | |
กฎหมายกำหนดไว้ว่า ถ้าได้นำทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดแล้วได้เงินมาชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ไม่พอ ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในส่วนที่ขาดอยู่ แต่ไม่ตัดสิทธิคู่สัญญาที่จะทำสัญญายกเว้นข้อกฎหมายดังกล่าวนี้ได้ ในคดีนี้ เจ้าหนี้ไม่ได้ระบุในข้อสัญญาว่าลูกหนี้จะต้องรับผิดในเงินที่ขาดจำนวนอยู่ภายหลังขายทอดตลาด ลูกหนี้จึงไม่ต้องรับผิด อีกทั้งในคำพิพากษาของศาลมิได้ระบุให้บังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้อีก การที่พนักงานบังคับคดีปฏิเสธที่จะยึดทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้ให้กับโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8851/2551 | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-02-24 15:06:22 |
ความคิดเห็นที่ 3 (2156113) | |
สิ่งปลูกสร้างเป็นส่วนควบของที่ดินที่จำนอง สิ่งปลูกสร้างที่สร้างภายหลังการทำสัญญาจำนองโดยสภาพย่อมติดตรึงตรารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับที่ดินที่เป็นทรัพย์ประธาน เมื่อมีการขายทอดตลาดทรัพย์ประธานซึ่งเป็นทรัพย์ที่จำนอง กฎหมายบอกว่า ผู้รับจำนองจะให้ขายเรือนโรงนั้นรวมไปกับที่ดินด้วยก็ได้ แต่ผู้รับจำนองอาจใช้บุริมสิทธิของตนได้เพียงแก่ราคาที่ดินเท่านั้น (ที่ดินที่จำนอง) ในกรณีที่เจ้าหนี้จำนองไม่มีสิทธิยึดทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้ขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ส่วนที่ขาด เจ้าหนี้ก็ไม่มีสิทธิยึดสิ่งปลูกสร้าง และปัญหาที่จะตามมาคือ ผู้ซื้อที่ดินอาจเรียกให้ลูกหนี้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินของผู้ซื้อจากการขายทอดตลาด ในกรณีเช่นนี้ผลเสียก็จะตกกับลูกหนี้ เพราะการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปย่อมไม่อยู่ในสภาพที่จะขายได้ราคา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3793/2551
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-02-24 16:35:46 |
ความคิดเห็นที่ 4 (2156381) | |
ขอบคุณมากค่ะ คุณลีนนท์ ก่อนอื่นคงต้องติดต่อที่แบงค์ ต่อรองดูก่อนว่าเค้าจะลดลงมาได้สักเท่าไหร่ค่ะ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น Isara วันที่ตอบ 2011-02-25 15:54:30 |
[1] |