สวัสดีค่ำ  คือเมื่อปี 41 ดิฉันได้เป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งเค้าทำคอนโดขาย ขณะที่ทำงานดิฉันได้เซ็นเอกสารให้นายจ้างหลายฉบับ โดยนายจ้างที่ทำคอนโดเป็นหุ้นส่วนกับญาติของดิฉันเอง ซึ่งวันที่เค้าให้ไปเซ็นเอกสารนั้นไปขณะที่ธนาคารเลิกงานแล้ว เค้าพาไปโดยบอกว่าให้ไปเซ็นรับทราบเกี่ยวกับเอกสารของคอนโดให้หน่อย เพราะเค้าทำสัญญากู้เงินกับธนาคารไว้เกี่ยวกับคอนโดที่ดิฉันทำงานอยู่ ซึ่งเจ้าของบอกว่าเป็นเอกสารรับทราบธรรมดา ไม่ใช่สัญญาเงินกู้แต่อย่างใด ดิฉันจึงยอมเซ็น โดยดิฉันเซ็นเป็นคนที่ 5 ต่อมาธนาคารได้เลิกไป (ศรีนคร) และดิฉันก็ได้ลาออกและไปทำงานอื่นตามปกติ และเจ้าของคอนโดก็ได้ถูกฟ้องล้มละลายแต่เค้าก็ยังคงอยู่อาศัยและดูแลคอนโดฯ อยู่และเปิดให้เช่าตามปกติจนถึงทุกวันนี้ และดิฉันก็ไม่ได้ติดต่อกับเค้าเลยตั้งแต่ลาออกจากงานมา จนเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ปีนี้(54) มีหมายศาลส่งไปที่บ้านต่างจังหวัด ฟ้องร้องดิฉันเป็นจำเลยที่ 5 โดยในข้อความบอกว่านายจ้างเดิมได้ทำสัญญากู้เงินเพื่อทำเงินไปทำธุรกิจอื่นๆ ณ จังหวัดอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับคอนโดมิเนียมที่ดิฉันเคยทำอยู่ เป็นจำนวนเงินถึง 16,781,575.29 บาท โดยมีดิฉันและคนอื่นๆ อีก 4 คนที่เหลือเป็นผู้ค้ำประกัน ศาลฯ จึงได้สั่งให้ยึดทรัพย์ของจำเลยทั้ง 5 ขายทอดตลาด โดยหมายศาลที่ส่งมาได้ระบุวันที่ปิดหมาย 7 กรกฎาคม 2548 (ศาลฟ้องวันที่ 26 มกราคม 44) ดิฉันอยากทราบว่า

1. อยู่ๆก็กลายเป็นผู้ค้ำร่วมได้อย่างไร

2.ดิฉันมีชื่อเป็นเจ้าของบ้านหรือทรัพย์สิน ณ จังหวัดที่เจ้าเอาไปยื่นกู้กับธนาคารได้อย่างไรโดยที่ดิฉันไม่ทราบเลย

3. คดีนี้มีอายุความกี่ปี

4. ดิฉันสามารถฟ้องร้องอดีตนายจ้างได้หรือไม่ในข้อหาใด (ทำงานตั้งแต่ปี 41)

5. ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลายปีดิฉันไม่ทราบเลยว่าถูกฟ้องร้องจะทำอย่างไรได้บ้าง และดิฉันจะถูกยึดทรัพย์ที่หามาได้ปัจจุบันหรือไม่

*** หมายที่ได้รับ ลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2548  โดยผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้รับเนื่องจากไม่สามารถติดต่อดิฉันได้ ซึ่งดิฉันก็ไม่ทราบเรื่องมาก่อน***