ReadyPlanet.com


อยากทราบว่าถ้าให้ไกล่เกลี่ยแล้วเราจะทำยังไงต่อ


อยากทราบว่าถ้าเป็นคดีร่วมกันทำร้ายร่างกายศาลให้ไกล่เกลี่ยแล้วมันจะเป็นยังไงต่อไป ถ้ายอมความกันได้ ศาลจะตัดสินจำคุกหรือไม่ อยากทราบจริงๆค่ะ



ผู้ตั้งกระทู้ Snoopy :: วันที่ลงประกาศ 2011-07-25 14:23:58


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (2205650)

ถ้าไกล่เกลี่ยกันได้ศาลก็จะปรานีลงโทษสถานเบา ตามปกติก็มีโทษปรับ และรอการลงโทษครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-08-14 09:22:35


ความคิดเห็นที่ 2 (2205654)

ฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย จำคุก 6 เดือน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  2884/2550


          จำเลยไม่ได้มีเจตนาที่จะชิงทรัพย์ของผู้เสียหายมาแต่แรก แต่สาเหตุเนื่องจากผู้เสียหายกับจำเลยมีเรื่องวิวาทกันก่อน จำเลยสู้ไม่ได้จึงพาพรรคพวกคือ ส. และ ท. มารุมทำร้ายผู้เสียหายในภายหลัง ที่จำเลยเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปน่าจะเป็นผลพลอยได้จากการที่ผู้เสียหายถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บแล้วมากกว่า มิฉะนั้นจำเลยคงไม่พูดประโยคว่า “มึงทำกูเจ็บ ก็ต้องเอาของมึง” ซึ่งมีลักษณะเป็นการแก้แค้นจากการถูกผู้เสียหายทำร้ายมาก่อน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายและลักทรัพย์ของผู้เสียหาย
________________________________

          โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 297, 339 และบวกโทษจำคุก 6 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2487/2544 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษในคดีนี้ กับขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน คือสร้อยคอทองคำ โทรศัพท์เคลื่อนที่และเงินสด 300 บาท แก่ผู้เสียหาย

          จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ

          ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบมาตรา 83, 335 (1) วรรคแรก เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย จำคุก 6 เดือน ฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน จำคุก 1 ปี คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาและจำเลยพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิด มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน และ 6 เดือน ตามลำดับ บวกโทษจำคุก 6 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2487/2544 รวมจำคุก 15 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 23,300 บาท แก่ผู้เสียหาย ข้อหาอื่นให้ยก

          โจทก์อุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสาม ลงโทษจำคุก 10 ปี คำให้การในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน รวมโทษจำคุกฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นที่ศาลชั้นต้นลงโทษอีก 3 เดือน และบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้อีก 6 เดือนแล้ว รวมจำคุก 7 ปี 5 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

          จำเลยฎีกา
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “...พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า ก่อนที่จำเลยจะพาพรรคพวกมาทำร้ายผู้เสียหายนั้น ผู้เสียหายกับจำเลยมีเรื่องวิวาทกันมาก่อนแล้ว แต่จำเลยสู้ไม่ได้จึงวิ่งหนีไปตามพรรคพวกของจำเลยคือ นายสุรพงษ์ บุญมี และนายทรงกรต บุญมี มารุมทำร้ายผู้เสียหายโดยจำเลยใช้เหล็กแป๊บตีผู้เสียหายที่ศีรษะจนล้มลง จากนั้นจำเลย นายสุรพงษ์ และนายทรงกรตก็ร่วมกันรุมทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับบาดเจ็บ แล้วนายสุรพงษ์และนายทรงกรตขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไป จำเลยคงอยู่ในที่เกิดเหตุเพียงคนเดียว จำเลยเข้าไปเตะที่ใบหน้าผู้เสียหาย 1 ครั้ง พร้อมกับพูดว่า “มึงทำกูเจ็บ ก็ต้องเอาของมึง” แล้วกระชากเอาสร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท พระเครื่องเลี่ยมทองคำ 1 องค์ โทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง และเงินสดอีก 300 บาท ของผู้เสียหายหลบหนีไป เห็นว่า จำเลยไม่ได้มีเจตนาที่จะชิงทรัพย์ของผู้เสียหายมาแต่แรก แต่สาเหตุเนื่องจากผู้เสียหายกับจำเลยมีเรื่องวิวาทกันก่อน จำเลยสู้ไม่ได้จึงพาพรรคพวกคือนายสุรพงษ์และนายทรงกรตมารุมทำร้ายผู้เสียหายในภายหลัง ที่จำเลยเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไป น่าจะเป็นผลพลอยได้จากการที่ผู้เสียหายถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บแล้วมากกว่า มิฉะนั้นจำเลยคงไม่พูดประโยคว่า “มึงทำกูเจ็บ ก็ต้องเอาของมึง” ซึ่งมีลักษณะเป็นการแก้แค้นจากการถูกผู้เสียหายทำร้ายมาก่อน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายและลักทรัพย์ของผู้เสียหายตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานชิงทรัพย์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”

          พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
 
( ประทีป ปิติสันต์ - ประจักษ์ เกียรติ์อนุพงศ์ - นุรักษ์ มาประณีต )

 

ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2011-08-14 09:31:30


ความคิดเห็นที่ 3 (2205657)

โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี

จำเลยทั้งสามมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายให้จำคุกคนละ 6 เดือน และปรับคนละ 3,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยทั้งสามเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 4 เดือน และปรับคนละ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และให้คุมประพฤติจำเลยทั้งสามไว้โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน มีกำหนด 1 ปี
 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  920/2549
 

          ก่อนเกิดเหตุ เวลาประมาณ 22 นาฬิกา จำเลยทั้งสามนั่งดื่มสุราอยู่ในร้านคาราโอเกะห่างจากโต๊ะผู้เสียหายที่นั่งดื่มสุราเช่นกันเพียงประมาณ 1 เมตร ระหว่างที่นั่งอยู่ในร้านคาราโอเกะจำเลยทั้งสามและผู้เสียหายต่างก็ร้องเพลงคาราโอเกะ ต่อมาเวลาประมาณ 1 นาฬิกาของวันรุ่งขึ้น ผู้เสียหายกลับบ้านก่อนจำเลยทั้งสามประมาณ 5 นาที จากนั้นจำเลยทั้งสามได้ไปหาผู้เสียหายที่บ้านและขอร้องให้ผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์ไปส่งอย่างเปิดเผย ไม่ได้ปิดบังหรืออำพรางตัว ผู้เสียหายตกลงโดยให้จำเลยทั้งสามนั่งรถจักรยานยนต์ไปด้วย เมื่อรถวิ่งไปได้ประมาณ 100 เมตร จำเลยทั้งสามจึงทำร้ายผู้เสียหายโดยการเตะและกระทืบ ก่อนที่จะทำร้ายผู้เสียหาย จำเลยทั้งสามไม่ได้เรียกร้องเอารถจักรยานยนต์หรือทรัพย์สินอื่นของผู้เสียหายก่อน หลังจากจำเลยทั้งสามทำร้ายผู้เสียหายแล้ว ได้ขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายออกไปจากที่เกิดเหตุเพียง 100 เมตร ก็จอดรถทิ้งไว้โดยจอดไว้ริมถนนข้างบ้าน ว. ผู้ใหญ่บ้านท้องที่ที่เกิดเหตุโดยเปิดเผยและเสียบกุญแจรถคาไว้ทั้งที่จำเลยทั้งสามสามารถนำรถจักรยานยนต์ไปได้โดยสะดวก เพราะไม่มีผู้ใดติดตามและเป็นยามวิกาล จากนั้นจำเลยทั้งสามพากันไปนอนที่บ้านของจำเลยที่ 1 มิได้หลบหนีและเมื่อทราบว่าเจ้าพนักงานตำรวจติดตามหาตัวจำเลยทั้งสาม จำเลยทั้งสามก็ยินยอมให้ ว. พาไปมอบตัวต่อพนักงานสอบสวนโดยดี และให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า มีเจตนาเพียงทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น ไม่ประสงค์จะเอาทรัพย์สินของผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยทั้งสามมิได้มุ่งประสงค์ต่อผลในการจะแสวงหาประโยชน์จากทรัพย์สินโดยแท้จริง การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงขาดเจตนาทุจริตในการลักทรัพย์ ถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดฐานลักทรัพย์ของผู้เสียหาย การที่จำเลยทั้งสามกระทำการดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ จำเลยทั้งสามคงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้เสียหายเท่านั้น
________________________________

          โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340

          จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

          ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบมาตรา 83 ให้จำคุกคนละ 6 เดือน และปรับคนละ 3,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยทั้งสามเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 4 เดือน และปรับคนละ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และให้คุมประพฤติจำเลยทั้งสามไว้โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหาอื่นให้ยก

          โจทก์อุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 10 ปี ทางนำสืบของจำเลยทั้งสามเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 6 ปี 8 เดือน

          จำเลยทั้งสามฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยทั้งสามร่วมกันชกต่อยเตะทำร้ายร่างกายนายสวนเพชรผู้เสียหายแล้วขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปจอดไว้ที่ข้างบ้านนายวันชัยซึ่งอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 100 เมตร และหลบหนีไป ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามมีว่า จำเลยทั้งสามกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยทั้งสามนั่งดื่มสุราอยู่ในร้านคาราโอเกะ วี พี สาขา 2 ห่างจากโต๊ะผู้เสียหายที่นั่งดื่มสุราเช่นกันเพียงประมาณ 1 เมตร โดยผู้เสียหายนั่งดื่มสุราตั้งแต่เวลาประมาณ 22 นาฬิกา จนถึงเวลาประมาณ 1 นาฬิกาของวันรุ่งขึ้น และจำเลยทั้งสามเข้ามานั่งก่อนผู้เสียหาย แล้วผู้เสียหายกลับบ้านก่อนประมาณ 5 นาที ในระหว่างนั่งอยู่ที่ร้านจำเลยทั้งสามและผู้เสียหายต่างก็ร้องเพลงคาราโอเกะ ดังนั้น จำเลยทั้งสามและผู้เสียหายย่อมจดจำกันได้ จำเลยทั้งสามไปหาผู้เสียหายที่บ้านและขอร้องให้ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งอย่างเปิดเผย ไม่ได้ปิดบังหรืออำพรางตัว จากนั้นจึงทำร้ายผู้เสียหาย ก่อนที่จะทำร้ายผู้เสียหายก็ไม่ปรากฏว่า จำเลยทั้งสามเรียกร้องเอารถจักรยานยนต์หรือทรัพย์สินอื่นของผู้เสียหายก่อน หากจำเลยทั้งสามต้องการปล้นทรัพย์ผู้เสียหายย่อมจะต้องปิดบังหรืออำพรางตัวและไม่น่าจะต้องให้ผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์ไปส่งก่อน เพราะย่อมทราบดีว่าผู้เสียหายต้องจดจำได้ว่าเป็นกลุ่มบุคคลที่นั่งดื่มสุราอยู่ใกล้กันในร้านอาหารเป็นเวลานานและจำเลยที่ 1 ก็ไม่น่าจะมอบบัตรเอทีเอ็มของจำเลยที่ 1 ให้นายสิทธิวัฒน์ยึดถือไว้ด้วยเพราะจะเป็นหลักฐานให้ติดตามจับกุมได้ง่าย นอกจากนั้นยังปรากฏอีกว่า หลังจากจำเลยทั้งสามทำร้ายผู้เสียหายแล้ว ได้ขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายออกไปจากที่เกิดเหตุเพียง 100 เมตร ก็จอดรถทิ้งไว้โดยจอดไว้ริมถนนข้างบ้านนายวันชัยผู้ใหญ่บ้านท้องที่ที่เกิดเหตุโดยเปิดเผยและเสียบกุญแจรถคาไว้ ทั้งที่จำเลยทั้งสามสามารถนำรถจักรยานยนต์ไปได้โดยสะดวกเพราะไม่มีผู้ใดติดตามและเป็นยามวิกาล แต่จำเลยทั้งสามหาได้กระทำไม่ แต่กลับจอดทิ้งไว้และพากันไปนอนที่บ้านของจำเลยที่ 1 มิได้หลบหนีไปไหนและเมื่อทราบว่าเจ้าพนักงานตำรวจติดตามหาตัวจำเลยทั้งสาม จำเลยทั้งสามก็ยินยอมให้นายวันชัยพาไปมอบตัวต่อพนักงานสอบสวนโดยดีและให้การต่อพนักงานสอบสวนในทันทีทันใดว่า มีเจตนาเพียงแต่ทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น ไม่ประสงค์จะเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยทั้งสามดังกล่าวจึงเป็นพฤติการณ์ที่เห็นได้ว่า จำเลยทั้งสามกระทำไปโดยมิได้มุ่งประสงค์ต่อผลในการจะแสวงหาประโยชน์จากทรัพย์สินดังกล่าวโดยแท้จริง การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงขาดเจตนาทุจริตในการลักทรัพย์ ถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดฐานลักทรัพย์ของผู้เสียหาย การที่จำเลยทั้งสามกระทำการดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสามข้อหานี้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังขึ้น

          พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

( ชัชลิต ละเอียด - สมชัย จึงประเสริฐ - บุญรอด ตันประเสริฐ )

ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา - นายสุจินต์ ขำไชโย
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 - นายประเสริฐ โอนพรัตน์วิบูล
             

ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2011-08-14 09:39:22



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล