ปรึกษาปัญหาที่ดิน | |
เรื่องมันเริ่มขึ้นมาประมาณ 7-8ปีที่แล้ว ลุงและยายได้นำที่ดินไปขาย โดยทำสัญญาไว้ (ไม่แน่ใจว่ามีพยานหรือเปล่า เขาไม่ให้ดูสัญญา) ณ อบต. ที่ดิน 1 ไร่ 2 งาน ราคา 3,000บาท แปลงนั้นมาเรื่อยๆ ตอนนี้ปลูกลำไย ได้ผลผลิตดี ทางผู้ซื้อได้มาทวงสิทธิ์ให้ ถ้าคิดดูในทางของผู้ซื้อ เขามีสิทธิ์เนื่องจากเขาจ่ายเงินให้เราแล้วและสัญญาได้รับความยินยอมทั้งสองฝ่ายครบ | |
ผู้ตั้งกระทู้ chaiyon :: วันที่ลงประกาศ 2011-07-27 20:57:24 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2208670) | |
1. เขาสามารถฟ้องข้อหายักยอกทรัพย์ได้หรือไม่ ตอบ การยักยอกนั้นต้องเป็นการครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นแล้วไม่ยอมคืน แต่ในกรณีตามที่ถามมานั้นไม่ปรากฏว่าทรัพย์นั้นเป็นของผู้อื่นแต่ประการใด เพราะเป็นชื่อของลุบงและยายซึ่งผู้ซื้อจะอ้างความเป็นเจ้าของไม่ได้เพราะการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งหมายความว่าต้องไปโอนกันที่สำนักงานที่ดิน เมื่อไม่ไปโอนกันดังกล่าวย่อมเป็นโมฆะ มาตรา 352 ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่น เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคล ที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าทรัพย์นั้นได้ตกมาอยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิด เพราะผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิดไปด้วยประการใด หรือเป็นทรัพย์ สินหายซึ่งผู้กระทำความผิดเก็บได้ ผู้กระทำต้องระวางโทษแต่เพียง กึ่งหนึ่ง 2. ที่ดินส่วนนี้เป็นสิทธิ์ครอบครองของใคร ตอบ ก็เป็นสิทธิของเจ้าของที่ดินที่มีชื่อในโฉนดที่ดิน 3. ถ้าฟ้องร้องเราจะมีสิทธิ์ชนะคดีหรือไม่ ตอบ ต้องได้เห็นคำฟ้องเสียก่อนครับว่าเขามีหลักฐานอะไรบ้าง? 4. เอกสารซื้อขายสมบูรณ์หรือไม่ ในเมื่อไม่มีลายเซ็นต์ของเจ้าหน้าที่ (เพราะถ้ามีคงโอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้) แต่ไม่แน่ใจว่ามีพยานหรือเปล่า เขาไม่ให้ดูสัญญาที่ทำกันไว้ ตอบ ควรนำเอกสารหลักฐานไปปรึกษาทนายความดีกว่าครับ โทร 085 9604258
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-08-23 16:41:16 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2208680) | |
ความผิดฐานยักยอก คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4823/2552 โจทก์ประกอบกิจการให้เช่าซื้อรถแท็กซี่ มีเจ้าของรถแท็กซี่นำรถมาร่วมกิจการกับโจทก์โดยใช้ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถและมอบให้โจทก์นำรถแท็กซี่ออกให้เช่าซื้อ แต่สัญญาเช่าซื้อทำกันระหว่างเจ้าของรถแท็กซี่กับผู้เช่าซื้อ กำหนดชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายวัน ในการนี้ โจทก์ว่าจ้างจำเลยที่ 1 เป็นผู้เก็บค่าเช่าซื้อแทน จำเลยที่ 1 เก็บค่าเช่าซื้อไว้แล้วไม่ส่งให้โจทก์ เบียดบังเอาเงินค่าเช่าซื้อที่รับไว้แทนโจทก์ไปโดยทุจริต จึงมีความผิดฐานยักยอก และแม้เงินดังกล่าวจะมิใช่ของโจทก์ แต่โจทก์ต้องส่งเงินดังกล่าวให้แก่เจ้าของรถหลังจากหักค่าใช้จ่ายของโจทก์แล้ว โจทก์จึงอยู่ในฐานะผู้เสียหาย มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, มาตรา 83 และมาตรา 91 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องและโจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่ โจทก์มีนางสาวปิยาภาเป็นพยานเบิกความว่า พยานเป็นกรรมการคนหนึ่งของโจทก์ เดิมโจทก์ประกอบธุรกิจให้เช่ารถแท็กซี่ ต่อมาปี 2539 เปลี่ยนธุรกิจเป็นให้เช่าซื้อรถแท็กซี่ มีเจ้าของรถแท็กซี่นำรถมาร่วมกิจการดังกล่าวกับโจทก์เฉพาะคดีนี้จำนวน 12 คัน โดยมอบให้โจทก์นำรถแท็กซี่ออกให้เช่าซื้อ ในการนี้เจ้าของรถแท็กซี่ให้โจทก์ใช้ชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แต่สัญญาเช่าซื้อทำกันระหว่างเจ้าของรถแท็กซี่กับผู้เช่าซื้อ กำหนดชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายวัน โจทก์ว่าจ้างจำเลยที่ 1 เป็นผู้เก็บค่าเช่าซื้อแทน จำเลยที่ 1 มอบให้จำเลยที่ 2 ไปเก็บค่าเช่าซื้อโดยจะบันทึกการรับเงินในสมุดของผู้เช่าซื้อ และจำเลยที่ 2 ยังต้องลงในสมุดบัญชีของโจทก์พร้อมกับนำค่าเช่าซื้อส่งให้โจทก์ทุกวัน พยานเป็นผู้รวบรวมเงินไว้เมื่อถึงสิ้นเดือนจะหักค่าใช้จ่ายแล้วเฉลี่ยเงินส่วนที่เหลือให้แก่เจ้าของรถทุกคัน ในข้อนี้โจทก์มีนายวรเชษฐ์และนายอุเทนเจ้าของและผู้เช่าซื้อรถแท็กซี่หมายเลขทะเบียน 7ท-1376 กรุงเทพมหานคร นางทิพย์สุดาและนายอุ่นเจ้าของและผู้เช่าซื้อรถแท็กซี่หมายเลขทะเบียน 7ท-9049 กรุงเทพมหานคร กับนายสุพลผู้เช่าซื้อรถแท็กซี่หมายเลขทะเบียน 7ท-1185 กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีนายจงเป็นเจ้าของเป็นพยานเบิกความยืนยันถึงทางปฏิบัติระหว่างโจทก์ เจ้าของรถแท็กซี่และจำเลยทั้งสอง ตามคำเบิกความของนางสาวปิยาภา โดยค่าเช่าซื้อส่วนที่นายอุเทนชำระให้แก่จำเลยที่ 2 จำนวน 12,600 บาท และส่วนที่นายอุ่นชำระให้แก่จำเลยที่ 2 จำนวน 10,200 บาท กับส่วนที่นายสุพลชำระให้แก่จำเลยที่ 2 จำนวน 22,800 บาทนั้น จำเลยทั้งสองไม่ได้ส่งให้กับโจทก์ ประกอบกับค่าเช่าซื้อที่จำเลยที่ 1 รับจากผู้เช่าซื้อจำนวน 17 ครั้ง ตามสมุดบันทึกของผู้เช่าซื้อทั้ง 12 เป็นเงินจำนวนถึง 112,200 บาท ซึ่งเป็นค่าเช่าซื้อที่รับจากผู้เช่าซื้อระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม 2541 ถึงวันที่ 22 มิถุนายน 2541 โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้ปฏิเสธความถูกต้องแท้จริงของเอกสารดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ส่งค่าเช่าซื้อดังกล่าวที่รับไว้แทนโจทก์ให้แก่โจทก์เป็นรายวัน นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังเบิกความรับว่า เมื่อประมาณปี 2541 โจทก์เร่งรัดให้จำเลยที่ 1 เก็บค่าเช่าซื้อ บ่งชี้ให้เห็นว่าโจทก์โดยนางสาวปิยาภาพบความผิดปกติในเรื่องดังกล่าว อันนำไปสู่การตรวจสอบการชำระค่าเช่าซื้อตามสมุดบันทึกของผู้เช่าซื้อ จนพบว่าจำเลยที่ 1 รับค่าเช่าซื้อไว้แล้วไม่ส่งให้โจทก์ พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ส่อเจตนาว่าจะไม่ส่งค่าเช่าซื้อที่รับไว้แทนโจทก์ดังกล่าวให้โจทก์ อันเป็นการเบียดบังเอาเงินค่าเช่าซื้อที่รับไว้แทนโจทก์ไปโดยทุจริต จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานยักยอกตามฟ้อง การที่จำเลยที่ 1 นำค่าเช่าซื้อที่รับไว้ไปแจ้งความและได้รับคำแนะนำจากเจ้าพนักงานตำรวจว่าให้นำไปฝากธนาคารก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 1 พ้นผิด และแม้เงินดังกล่าวจะมิใช่เงินของโจทก์ แต่โจทก์ก็ต้องส่งเงินดังกล่าวให้เจ้าของรถหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 กระทำความผิดจนเกิดความเสียหายแก่โจทก์ โจทก์ย่อมอยู่ในฐานะผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้ ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ไม่ปรากฏว่ามีส่วนได้เสียจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ทั้งยังได้ความจากจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งระงับไม่ให้จำเลยที่ 2 นำค่าเช่าซื้อที่เก็บมาได้ส่งให้โจทก์ จำเลยที่ 2 ย่อมต้องกระทำตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 ผู้เป็นนายจ้าง พยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่พอฟังว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาในส่วนของจำเลยที่ 2 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล แต่ในส่วนของจำเลยที่ 1 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 1 เดือน รวม 17 กระทง จำคุก 17 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ( พิษณุ ดำรงเกียรติวัฒนา - พิทยา บุญชู - สิทธิชัย พรหมศร ) ศาลแขวงพระนครใต้ - นางชื่นอารี ชุ่มจิตร
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2011-08-23 16:59:22 |
ความคิดเห็นที่ 3 (2208682) | |
ผู้มีชื่อในทะเบียนที่ดินเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6113/2550 ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ซึ่งระบุชื่อจำเลยแต่ผู้เดียวเป็นเจ้าของ กรณีจึงต้องด้วยหลักเกณฑ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 ที่บัญญัติว่า "ถ้าทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดไว้ในทะเบียนที่ดิน ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง" เมื่อผู้ร้องอ้างว่าผู้ร้องมีสิทธิครอบครองร่วมด้วยครึ่งหนึ่ง ทั้งที่ปรากฏว่าที่ดินพิพาทระบุว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองแต่ผู้เดียว โจทก์ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าว ภาระการพิสูจน์หรือหน้าที่นำสืบในคดีย่อมตกแก่ผู้ร้องที่จะต้องนำสืบให้ได้ความตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า นางแก้ว โพธิ์ทอง ซึ่งเป็นมารดาของผู้ร้องและจำเลยได้ยกที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 1446 ตำบลพระแท่น อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ให้แก่ผู้ร้องกับจำเลยคนละครึ่ง แต่ใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองโดยตกลงว่าจะใส่ชื่อผู้ร้องในภายหลังและผู้ร้องได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ขอให้ศาลมีคำสั่งให้กันส่วนของผู้ร้อง โจทก์ยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทพร้อมบ้านที่ปลูกอยู่บนที่ดินร่วมกับจำเลยคนละครึ่งหรือไม่ ผู้ร้องเบิกความถึงเหตุผลแห่งการที่ที่ดินพิพาทระบุชื่อจำเลยเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของนางแก้วซึ่งเป็นมารดาของผู้ร้องและจำเลย ต่อมานางแก้วประสงค์จะยกที่ดินพิพาทให้ผู้ร้องกับจำเลยคนละครึ่ง แต่เนื่องจากต้องการนำที่ดินไปจำนองธนาคารจึงใส่ชื่อจำเลยเป็นเจ้าของคนเดียวก่อน จำเลยจึงได้ทำหนังสือให้สัญญาไว้ว่าจะต้องใส่ชื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของรวมในภายหลัง เห็นว่า แม้ผู้ร้องจะมีนางแก้วและจำเลยมาเบิกความรับรองข้อตกลงก็ตามแต่พยานผู้ร้องทุกคนดังกล่าวล้วนเป็นเครือญาติใกล้ชิดและมีส่วนได้เสียโดยตรงในคดีนี้ทั้งสิ้น จึงมีน้ำหนักน้อย อีกทั้งยังปรากฏว่ามีบุคคลที่ได้ลงชื่อเป็นพยานในข้อตกลงอีก 2 คน คือ นายสนอง สุขภิญโญ และนายเล็ก สุทธิบุตร แต่ผู้ร้องก็หาได้นำบุคคลทั้งสองมาเบิกความเป็นพยานต่อศาลไม่ และในประการสำคัญที่สุด คือ ข้ออ้างตามทางนำสืบของพยานผู้ร้องที่พยานผู้ร้องทั้งสามคนเบิกความตรงกันว่าเหตุที่ต้องใส่ชื่อจำเลยเป็นเจ้าของคนเดียวก่อนเนื่องจากจะต้องนำที่ดินพิพาทไปจำนองธนาคารนั้น แม้ผู้ร้องจะพยายามนำสืบว่าทำขึ้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2537 อันเป็นเวลาภายหลังวันที่นางแก้วยกที่ดินพิพาทให้จำเลยเพียงวันเดียว ดังที่ปรากฏในสารบัญจดทะเบียนหลัง น.ส.3 ก. ที่ระบุว่าการจดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้จำเลยกระทำในวันที่ 17 ตุลาคม 2537 และต่อมาวันที่ 4 พฤศจิกายน 2537 จำเลยก็ได้นำที่ดินพิพาทไปจำนองไว้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรซึ่งสอดคล้องตรงกันกับข้อเท็จจริงที่ผู้ร้องพยายามนำสืบต่อศาลก็ตามแต่ข้อนำสืบดังกล่าวก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะสนับสนุนให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแต่ผู้เดียวก่อนแต่อย่างใด เพราะแม้หากจะใส่ชื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทด้วย ทั้งจำเลยและผู้ร้องก็สามารถนำที่ดินพิพาทไปจำนองกับธนาคารหรือโจทก์ได้เว้นแต่ว่าผู้ร้องและจำเลยจะตั้งใจสมคบกันที่จะฉ้อฉลธนาคารรวมทั้งโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้มาแต่ต้น ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงก็ต้องถือว่าผู้ร้องมีเจตนาที่จะใช้สิทธิโดยไม่สุจริตมาตั้งแต่แรก เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5 ที่บัญญัติว่า "ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี ในการชำระหนี้ก็ดี บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต" ผู้ร้องย่อมไม่อาจอ้างการฉ้อฉลหรือกระทำโดยไม่สุจริตดังกล่าวมาร้องขอความยุติธรรมจากศาลได้พยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำสืบดังที่ได้วินิจฉัยมาจึงขัดต่อเหตุผลและมีพิรุธไม่น่าเชื่อถือ ส่วนที่ผู้ร้องอ้างในฎีกาว่า คดีนี้โจทก์มิได้นำสืบหักล้างพยานหลักฐานของผู้ร้องศาลล่างทั้งสองชอบที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของผู้ร้องนั้น เห็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ซึ่งระบุชื่อจำเลยแต่ผู้เดียวเป็นเจ้าของ กรณีจึงต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ที่บัญญัติว่า "ถ้าทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดไว้ในทะเบียนที่ดิน ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง" เมื่อผู้ร้องอ้างว่าผู้ร้องมีสิทธิครอบครองร่วมด้วยครึ่งหนึ่ง ทั้งที่ปรากฏว่าที่ดินพิพาทระบุว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองแต่ผู้เดียว โจทก์ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าว ภาระการพิสูจน์หรือหน้าที่นำสืบในคดีนี้ย่อมตกแก่ผู้ร้องที่จะต้องนำสืบให้ได้ความตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง เมื่อพยานหลักฐานของผู้ร้องดังที่ได้วินิจฉัยมาไม่เพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทร่วมกับจำเลยครึ่งหนึ่งดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้างแล้ว แม้โจทก์จะมิได้นำพยานมาสืบหักล้าง ศาลก็ไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงตามที่ผู้ร้องนำสืบได้ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษาต้องกันให้ยกคำร้องของผู้ร้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน ( ธานิศ เกศวพิทักษ์ - นินนาท สาครรัตน์ - วีระศักดิ์ นิศามณี ) มาตรา 1373 ถ้าทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดไว้ในทะเบียนที่ดิน ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2011-08-23 17:02:07 |
ความคิดเห็นที่ 4 (2208693) | |
หนังสือสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับนางฮามีด๊ะเป็นสัญญาขายฝากอสังหาริมทรัพย์ที่มีลักษณะเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด การทำสัญญาซื้อขายกันเอง จึงตกเป็นโมฆะ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3970/2548 ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่า หนังสือสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับ ฮ. เป็นสัญญาขายฝากที่มีลักษณะเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด การทำสัญญาซื้อขายกันเองเป็นโมฆะ โจทก์ไม่อาจกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์ในบ้านที่ซื้อขายกันตามสัญญาขายฝากดังกล่าวได้ ส่วนหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่กรมประชาสงเคราะห์ตกลงยอมให้โจทก์ใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทได้ มีลักษณะเป็นสัญญาเช่าทรัพย์สิน ซึ่งเป็นบุคคลสิทธิ โจทก์ไม่อาจบังคับผู้อื่นนอกจากคู่สัญญาได้ จำเลยครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทอยู่ก่อนโดยโจทก์ยังมิได้เข้าครอบครองที่ดินและบ้านพิพาท ถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิตามสัญญาเช่าของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ที่โจทก์ฎีกาว่า อ. ผู้ให้จำเลยเช่าที่ดินพร้อมบ้านพิพาท มิได้รับโอนสิทธิและได้รับอนุญาตจากกรมประชาสงเคราะห์การครอบครองของ อ. จึงเป็นการครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายมาตั้งแต่ต้น การเข้าอยู่อาศัยในที่ดินและบ้านพิพาทของจำเลยจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์นั้น มิได้เป็นการโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ที่วินิจฉัยมาแต่อย่างใด เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับ ฮ. เป็นสัญญาขายฝากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอย่างหนึ่ง จึงต้องทำตามแบบตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคหนึ่ง ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ย่อมตกเป็นโมฆะ ขณะที่ ฮ. โอนสิทธิในบ้านและที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ และกรมประชาสงเคราะห์ทำหนังสืออนุญาตให้โจทก์ใช้ประโยชน์ในที่ดินและบ้านดังกล่าว โจทก์ไม่อาจเข้าครอบครองทำประโยชน์ได้เนื่องจากจำเลยครอบครองอยู่ แสดงว่าโจทก์ไม่เคยเข้าไปยึดถือครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทเลย โจทก์ย่อมไม่ได้สิทธิครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1367 การที่จำเลยยังคงครอบครองและทำประโยชน์อยู่ในบ้านและที่ดินอยู่นั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ อันจะทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ ________________________________ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ ห้ามมิให้เข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไป และให้ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ในอัตราเดือนละ 1,500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์ภาค 9 รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้ ส่วนที่โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่อยู่ในแนวเขตนิคมสร้างตนเอง กรมประชาสงเคราะห์ ซึ่งเป็นที่ดินของทางราชการ การทำสัญญาซื้อขายบ้านที่ปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว จึงไม่ต้องจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่เพียงแต่ส่งมอบการครอบครองและได้ปฏิบัติมาตามระเบียบหรือกฎเกณฑ์ที่ทางราชการได้กำหนดก็เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายและถือว่าผู้นั้นมีสิทธิแล้วนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติจากคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 9 ว่า สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับนางฮามีด๊ะเป็นสัญญาขายฝากอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอย่างหนึ่ง จึงต้องอยู่ภายในบังคับแห่งแบบของสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ตามที่กำหนดไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคหนึ่ง กล่าวคือ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ย่อมตกเป็นโมฆะ อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดบัญญัติว่าการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ซึ่งปลูกสร้างอยู่บนที่ดินของทางราชการ ได้รับยกเว้นไม่ต้องทำตามแบบของมาตรา 456 วรรคหนึ่ง ดังกล่าวข้างต้นด้วย ส่วนที่โจทก์ฎีกาในปัญหาประการต่อมาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินและบ้านพิพาทแล้วนั้น เห็นว่า ป.พ.พ. มาตรา 1367 บัญญัติถึงหลักเกณฑ์การได้มาซึ่งสิทธิครอบครองว่า บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง ข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังและโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาโต้เถียงรับฟังเป็นยุติว่า ขณะที่นางฮามีด๊ะโอนสิทธิในบ้านและที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ และกรมประชาสงเคราะห์ทำหนังสืออนุญาตให้โจทก์ใช้ประโยชน์ในที่ดินและบ้านดังกล่าว โจทก์ไม่อาจเข้าครอบครองทำประโยชน์ได้ เนื่องจากจำเลยครอบครองอยู่ แสดงว่าโจทก์เพียงแต่ได้รับโอนสิทธิจากผู้ได้รับสิทธิจากกรมประชาสงเคราะห์เท่านั้น แต่โจทก์ยังไม่เคยเข้าไปยึดถือครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทเลย โจทก์ย่อมยังไม่ได้มาซึ่งสิทธิครอบครองในบ้านและที่ดินพิพาทตามมาตรา 1367 ดังกล่าวข้างต้น ข้อกล่าวอ้างตามฎีกาของโจทก์แม้จะรับฟังได้ว่ากรมประชาสงเคราะห์ได้ทำหนังสืออนุญาตให้โจทก์เข้าใช้ประโยชน์ในบ้านและที่ดินดังกล่าวถูกต้องตามระเบียบราชการแล้วก็ตาม ก็มีผลเพียงว่าโจทก์มีสิทธิที่จะเข้าไปครอบครองใช้ประโยชน์ในบ้านและที่ดินพิพาทแล้วเท่านั้น แต่ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้เข้าครอบครองใช้ประโยชน์ โจทก์ย่อมยังไม่ได้มาซึ่งสิทธิครอบครองในบ้านและที่ดินพิพาทตามฟ้อง การที่จำเลยยังคงครอบครองและทำประโยชน์ในบ้านและที่ดินพิพาทอยู่นั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิดังกล่าวของโจทก์ อันจะทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ. ( ธานิศ เกศวพิทักษ์ - วิชัย วิวิตเสวี - เกรียงชัย จึงจตุรพิธ ) ศาลจังหวัดยะลา - นายพัฐวิศ สังข์วรษา
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2011-08-23 17:23:02 |
[1] |