ReadyPlanet.com


แต่งงานไม่ได้จดทะเบียนสมรส


ดิฉันกับสามีแต่งงานปี 2540 ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ที่ผ่านมาช่วยกันทำมาหากิน จนมีทรัพย์สิน และเงินสด ดังนี้

บ้านพร้อมที่ดิน 1 หลัง ชื่อร่วม ที่ดินเปล่า 1 แปลง ชื่อร่วม เงินสดในธนาคารทหารไทย ชื่อร่วมเงื่อนไขคนใดคนหนึ่งเบิกได้ เงินสดในธนาคารกรุงศรี ชื่อสามีคนเดียว(เป็นเงินที่ทำมาด้วยกัน) ปัจจุบันมีปัญหาซึ่งอยู่ด้วยกันไม่ได้ ดิฉันได้แยกมาอยู่คนเดียว โดยที่ดิฉันได้นำสมุดธนาคารทหารไทยติดตัวมาด้วย ดิฉันขอเรียนถามท่านว่าถ้าดิฉันเบิกเงินในธนาคารหทหารไทย (เบิกหมด)ดิฉันจะมีความผิดมั้ยค่ะ ทั้งแพ่ง และ อาญา จริงๆแล้วทรัพย์สินทั้งหมดต้องแบ่งกันยังไงค่ะ ดิฉันขอเรียนถามเบื้องต้นเท่านี้ค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ



ผู้ตั้งกระทู้ ศรียา (a_varissareeya-at-hotmail-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2011-08-15 21:48:52


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (2217274)

สามี ภริยา ที่อยู่กินร่วมกันและทำมาหาได้ร่วมกันเปรียบเสมือนหุ้นส่วนชีวิต ทรัพย์สินที่ได้ทั้งหมดจึงเป็นทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ต้องแบ่งกันคนละครึ่ง

ในกรณีตามคำถามนั้นเงินสดในธนาคารทหารไทยมีชื่อร่วมกัน แม้จะมีข้อตกลงกับธนาคารว่าคนใดคนหนึ่งมีสิทธิเบิกถอนเงินในธนาคารได้ก็ต้องได้ความว่าได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งโดยพฤติการณ์ที่สามีภริยาไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ และคุณได้แยกตัวออกมาจากบ้านและนำสมุดธนาคารทหารไทยติดตัวมาด้วยนั้น และตามคำถามว่า ถ้าจะเบิกเงินในธนาคารทหารไทยทั้งหมดเลยในทางอาญาย่อมมีเจตนาลักทรัพย์ได้ ส่วนในทางแพ่งแน่นอนว่าสามีมีสิทธิที่จะฟ้องเรียกคืนกรรมสิทธิ์รวมได้อยู่แล้วครับ

คำถามว่าทรัพย์สินทั้งหมดจะแบ่งกันอย่างไร  เห็นว่าทรัพย์สินที่มีชื่อร่วมกันนั้น ชัดเจนว่าแบ่งคนละครึ่งหนึ่ง ส่วนเงินฝากในธนาคารกรุงศรีอยุธยานั้นมีชื่อสามีเป็นเจ้าของบัญชีแต่เพียงผู้เดียว หากพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่สินส่วนตัวหรือทั้งสองฝ่ายมีเจตนาชัดแจ้งว่าให้เป็นสินส่วนตัวของสามี ก็ต้องแบ่งกันคนละครึ่งครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-09-17 10:02:11


ความคิดเห็นที่ 2 (2217278)

 สามีภรรยาไม่จดทะเบียนสมรสกันจะแบ่งทรัพย์สินกันอย่างไร?

   หากไม่มีการจดทะเบียนสมรสกันแล้วทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างที่อยู่กินด้วยกันเช่นจำเลยกับนายวินัยคดีนี้ก็จะต้องพิจารณาว่าจำเลยกับนายวินัยได้ร่วมกันใช้เงินที่ทำมาหาได้ร่วมกันมาซื้อที่ดินดังกล่าวหรือไม่ หากได้ความว่าเป็นการทำมาหาได้มาด้วยกันก็ถือว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมถ้าไม่ใช่ก็ไม่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  5050/2541

          จำเลยมีภริยาชื่อ อ. โดยจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายต่อมาจำเลยกับโจทก์ได้อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา และได้รับจ้างทำทองรูปพรรณและดูแลกิจการรับจ้างทำทองรูปพรรณจนถึงวันที่ 27 มีนาคม 2536 แล้วได้เลิกร้างกันในระหว่างที่โจทก์อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยนั้น จำเลยได้ทรัพย์สินมาคือ ที่ดินมีโฉนดและอาคารพาณิชย์และนำไปจำนองไว้แก่ธนาคาร สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จำนวน 2 คัน สิทธิตามสัญญาเช่า อาคารศูนย์การค้า เครื่องทองรูปพรรณในร้านทองเครื่องใช้ไฟฟ้า โทรทัศน์ วิทยุ นาฬิกาข้อมือวิทยุโทรศัพท์และเข็มขัดเงิน การที่โจทก์กับจำเลยได้ประกอบกิจการรับจ้างทำทองรูปพรรณร่วมกัน แม้โจทก์จะไม่ได้ร่วมลงทุนเป็นทรัพย์สิน แต่โจทก์ก็ได้ลงทุนด้วยแรงงาน ดังนั้น ทรัพย์สินที่โจทก์และจำเลยทำมาหาได้ระหว่างที่อยู่กินร่วมกันดังกล่าวย่อมเป็นของโจทก์และจำเลยคนละเท่า ๆ กันโจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขอแบ่งส่วนของโจทก์จากจำเลยได้แต่การประกอบกิจการรับจ้างทำทองรูปพรรณของโจทก์ที่ทำร่วม กับจำเลยได้แยกต่างหากจากการที่จำเลยประกอบกิจการรับจ้าง ทำทองรูปพรรณร่วมกับ อ. ภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย โดยจำเลยได้นำเงินส่วนที่จำเลยทำมาหาได้ร่วมกับโจทก์ กับเงินส่วนที่ เป็นสินสมรสของจำเลยกับ อ. ไปซื้อทรัพย์ที่พิพาทระคนปนกัน ไม่ได้ความแน่ชัดว่าเป็นเงินส่วนใดมากกว่ากัน จึงต้องแบ่งทรัพย์ที่พิพาทดังกล่าวเป็นสี่ส่วน เป็นของจำเลย สองส่วน คือส่วนที่จำเลยทำมาหาได้ร่วมกับโจทก์หนึ่งส่วน และส่วนของจำเลยที่มีอยู่ในฐานะที่เป็นสินสมรสระหว่าง จำเลยกับ อ. อีกหนึ่งส่วน โจทก์คงมีสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลยได้เพียงหนึ่งในสี่ส่วน สำหรับทรัพย์ที่พิพาท ส่วนที่เป็นที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจำเลยได้มาหลังจาก โจทก์อยู่กินเป็นภริยาจำเลยแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิ หนึ่งในสี่ส่วน ส่วนดินและสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยกู้เงิน จากธนาคารมาซื้อ และจำเลยได้จำนองที่ดินดังกล่าวแก่ธนาคาร โจทก์ต้องรับผิดชอบในหนี้จำนองดังกล่าวร่วมกับจำเลย ตามส่วนของโจทก์ที่มีอยู่ในทรัพย์สินดังกล่าว คือจำนวน หนึ่งในสี่ส่วนด้วย
______________________________

          โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยอยู่กินฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันตั้งแต่ปี 2527 จนถึงวันที่ 27 มีนาคม 2536มีบุตรชายด้วยกัน 1 คน ขณะนี้พักอาศัยอยู่กับจำเลย และในขณะที่อยู่กินด้วยกันโจทก์ จำเลย และภริยาจำเลยอีกคนหนึ่งช่วยกันทำการค้ารับจ้างทำทองรูปพรรณ ค้าขายทองรูปพรรณ ซื้อที่ดินหรือที่ดินพร้อมอาคารแล้วขาย ทำให้เกิดผลกำไรนำมาซื้อใหม่มีทรัพย์สินที่ร่วมกันทำมาหาได้ทั้งหมดประมาณ 41,836,000 บาทเมื่อโจทก์จำเลยแยกจากกัน โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยแบ่งทรัพย์สินแก่โจทก์หนึ่งในสาม คิดเป็นเงิน 13,945,000 บาท แต่จำเลยไม่ยอมแบ่ง ทำให้โจทก์เสียหายขาดประโยชน์อันควรได้ จึงขอคิดค่าขาดประโยชน์ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 13,945,000บาท นับแต่วันที่ 27 มีนาคม 2536 ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 1 เดือนเป็นเงิน 81,340 บาท และให้จำเลยแบ่งทรัพย์สินให้โจทก์หนึ่งในสามโดยใส่ชื่อโจทก์เข้าถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามโฉนดที่ดินดังระบุไว้ในบัญชีทรัพย์รายการที่ 1 ถึงที่ 3 ทุกโฉนด สัดส่วนหนึ่งในสามของที่ดินแต่ละแปลง หากจำเลยไม่ยอมจดทะเบียนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากทรัพย์สินข้างต้นแปลงใดแปลงหนึ่งหรือทั้งหมดถูกจำหน่ายจ่ายโอนไปก่อนศาลพิพากษา หรือไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนเป็นของโจทก์ได้ ให้จำเลยใช้ราคาเป็นเงินตามที่ระบุไว้ในบัญชีทรัพย์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยชำระเงินค่าสิทธิต่าง ๆ ที่มีอยู่ คือสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ 2 คัน เป็นเงินจำนวน 400,000 บาท สิทธิตามสัญญาเช่าอาคารเลขที่ 270ชั้นที่ 1 ห้องบีจี 37 ถนนสุขุมวิท แขวงบางจาก เขตพระโขนงกรุงเทพมหานคร เป็นเงินจำนวน 1,000,000 บาท เงินค่าทองรูปพรรณและทองคำแท่ง เป็นเงิน 3,116,666 บาท ให้จำเลยส่งมอบทรัพย์สินตามบัญชีทรัพย์รายการที่ 9 ถึงที่ 12 แก่โจทก์ หากส่งมอบไม่ได้ให้ใช้เป็นเงินตามที่ระบุไว้ ให้จำเลยใช้ราคาทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์รายการที่ 8 เป็นจำนวนเงิน 14,000 บาท เงินค่าดอกเบี้ยนับแต่วันทวงถามถึงวันฟ้องในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 13,945,000บาท เป็นเงิน 81,340 บาท และขอคิดดอกเบี้ยจากต้นเงิน13,945,000 บาท ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินต้น และจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินเสร็จสิ้น

          จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง

          ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งทรัพย์สินแก่โจทก์หนึ่งในสามโดยระบุชื่อโจทก์เข้าถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในโฉนดที่ดินเลขที่ 236538, 236539, 236540,236541 เลขที่ดิน 10184, 10185, 10186, 10187 ตำบลบางนาอำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร พร้อมอาคารพาณิชย์ จำนวน 4 ห้องราคา 6,000,000 บาท ที่ดินโฉนดเลขที่ 20884, 20885, 22411,22412, 5898 (บางส่วน) เลขที่ดิน 565, 566, 688, 689 และ 21ตำบลไทรใหญ่ อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี เนื้อที่ดิน 7 ไร่ 2 งาน 32 ตารางวา ราคา 3,032,000 บาท ที่ดินโฉนดเลขที่ 242070,242071, 242072 เลขที่ดิน 7150, 7151, 7152 ตำบลพระโขนงอำเภอคลองเตย (พระโขนง) กรุงเทพมหานคร พร้อมอาคารพาณิชย์จำนวน 3 ห้อง ราคา 6,600,000 บาท โดยระบุให้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมหนึ่งในสาม หากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และหากไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนได้ให้จำเลยใช้ราคาเป็นเงินหนึ่งในสามของราคาทรัพย์ตามคำพิพากษาและให้จำเลยชำระเงินค่าสิทธิต่าง ๆ แก่โจทก์ คือสิทธิในรถยนต์ยี่ห้อวอลโว่ และรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นแอคคอร์ดเป็นเงิน 400,000 บาท สิทธิตามสัญญาเช่าอาคารศูนย์การค้าโครงการอิมพิเรียลเวิลด์ สำโรง เลขที่ 270 ชั้นที่ 1 ห้องบีจี 37 ถนนสุขุมวิท แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพมหานครจำนวนเงิน 1,000,000 บาท เงินค่าทองรูปพรรณในร้านรุ่งตะวันจำนวน 666,000 บาท ให้จำเลยส่งมอบทรัพย์รายการที่ 9, 10, 11, 13คือเครื่องใช้ไฟฟ้า โทรทัศน์ วีดีโอ วิทยุ นาฬิกาข้อมือ ยี่ห้อราเฟล วิทยุโทรศัพท์หมายเลข 9170485 เข็มขัดเงิน หนัก 449 กรัม แก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาเป็นเงิน 40,800 บาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

          นางอโนชา กล่อมน้อยผู้ร้องสอดยื่นคำร้องอ้างว่าทรัพย์สินพิพาทตามฟ้องที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งแก่โจทก์นั้นเป็นทรัพย์สินของผู้ร้องที่ได้ร่วมกันทำมาหาได้ร่วมกับจำเลยและเป็นสินสมรสส่วนของผู้ร้อง โจทก์มิได้ร่วมทำมาหาได้ในทรัพย์สินพิพาทกับจำเลย โจทก์อยู่ในฐานะบริวารหรือนางบำเรอหรือลูกจ้างเท่านั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาและคำบังคับให้จำเลยแบ่งทรัพย์สินพิพาทแก่โจทก์จึงเป็นการกระทบกระเทือนสิทธิของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงต้องร้องสอดเข้ามาในชั้นบังคับคดีขอให้ศาลไต่สวนคำร้องแล้วพิพากษาว่าทรัพย์สินที่ศาลได้มีคำพิพากษาให้จำเลยแบ่งแก่โจทก์นั้นเป็นทรัพย์สินของผู้ร้องห้ามโจทก์เกี่ยวข้องและมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ยกเลิกหรือแก้ไขคำพิพากษาและคำบังคับดังกล่าวด้วย

          ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลมีคำวินิจฉัยในส่วนของผู้ร้องในคำพิพากษาแล้ว คำร้องของผู้ร้องไม่มีเหตุตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) จึงไม่รับคำร้อง

          จำเลยและผู้ร้องสอดอุทธรณ์
          ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ และจำหน่ายคดีของผู้ร้องสอดออกจากสารบบความ

          โจทก์ฎีกา
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า จำเลยมีภริยาชื่อนางอโนชาโดยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2523 ตามใบสำคัญการสมรสเอกสารหมาย ล.1 จำเลยและนางอโนชามีอาชีพรับจ้างทำทองรูปพรรณอยู่ที่บ้านเลขที่ 1998/49 ถนนสุขุมวิทแขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ต่อมาปี 2527จำเลยกับโจทก์ได้อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา โจทก์มีอาชีพเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนศรีวิกรม์ เมื่อปี 2531 โจทก์มีบุตรกับจำเลย 1 คน ชื่อเด็กชายกิติพงษ์ กล่อมน้อย โจทก์จึงลาออกจากครู และได้ทำทองรูปพรรณและดูแลกิจการรับจ้างทำทองรูปพรรณอยู่ที่บ้านเลขที่ 53 ซอยสุขุมวิท 42/1 แขวงคลองเตยเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร โจทก์อยู่กินกับจำเลยจนถึงวันที่27 มีนาคม 2536 แล้วได้เลิกร้างกัน ในระหว่างที่โจทก์อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยนั้น จำเลยได้ทรัพย์สินมาคือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 236538, 236539, 236540 และ 236541ตำบลบางนา อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร พร้อมอาคารพาณิชย์4 ห้อง ที่ดินโฉนดเลขที่ 20884, 20885, 224111,22412 และที่ดินเนื้อที่ 2 ไร่ ในที่ดินโฉนดเลขที่ 5898 ตำบลไทรใหญ่ อำเภอไทรน้อยจังหวัดนนทบุรี ที่ดินโฉนดเลขที่ 242070, 242071 และ 242072ตำบลพระโขนง อำเภอคลองเตย (พระโขนง) กรุงเทพมหานครพร้อมอาคารพาณิชย์ 3 ห้อง โดยที่ดินและอาคารพาณิชย์ดังกล่าวจำนองไว้แก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อวอลโว่ 1 คัน สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า แอคคอร์ด 1 คัน สิทธิตามสัญญาเช่าอาคารศูนย์การค้าโครงการอิมพิเรียลเวิลด์ เลขที่ 270 ถนนสุขุมวิทตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการห้องบีจี 37 (ชั้นที่ 1) เครื่องทองรูปพรรณในร้านทองรุ่งตะวันในโครงการอิมพิเรียลเวิลด์ เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรทัศน์ วิทยุ นาฬิกาข้อมือยี่ห้อราเฟล วิทยุโทรศัพท์หมายเลข 9170485เข็มขัดเงิน โดยทรัพย์ทั้งหมดเป็นทรัพย์ที่พิพาท

          มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์จำเลยเป็นหุ้นส่วนร่วมกันทำมาหาได้ซึ่งทรัพย์พิพาทตามฟ้องหรือไม่เพียงใด ศาลฎีกาวินิจฉัยพยานหลักฐานโจทก์จำเลยแล้วเห็นว่าจำเลยมีกิจการรับจ้างทำทองที่ทำร่วมกับนางอโนชาภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายอยู่ก่อนแล้ว การที่จำเลยจัดการให้โจทก์ซึ่งเป็นภริยาอีกคนหนึ่งทำทองรูปพรรณและควบคุมดูแลลูกจ้างในสถานที่อีกแห่งหนึ่งหลังจากที่โจทก์เลิกอาชีพครูเพราะมีบุตรกับจำเลย ต่อมาโจทก์กับจำเลยได้จดทะเบียนตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดอรุณวรรณรุ่งสุวรรณ มีโจทก์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ โดยจดทะเบียนการค้าเพื่อประกอบการรับจ้างทำทองรูปพรรณเพชร พลอย นาค เงินพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยต้องการให้โจทก์ซึ่งเป็นภริยาคนหนึ่งได้ประกอบกิจการรับจ้างทำทองรูปพรรณร่วมกับจำเลย แยกต่างหากจากกิจการที่จำเลยได้ทำร่วมกับนางอโนชาภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ก่อนแล้ว เพื่อที่โจทก์จะได้มีอาชีพและรายได้สำหรับการดำรงชีพและเลี้ยงดูบุตรที่เกิดจากจำเลยซึ่งทำให้โจทก์มีรายได้สามารถเปิดบัญชีเงินฝากประจำในธนาคารโดยมีชื่อเป็นผู้ฝากเงินร่วมกับจำเลยเป็นจำนวนเงินถึง 200,000 บาท และโจทก์ได้ฝากเงินประเภทออมทรัพย์ตามสมุดคู่ฝากเอกสารหมาย จ.13 ซึ่งเคยมียอดเงินฝากสูงสุดถึง 370,403.38 บาท และมีรายการนำเงินเข้าฝากไม่ได้เท่ากันทุกเดือนอันที่จะแสดงว่าจำเลยจ่ายเงินเดือนหรือค่าจ้างแก่โจทก์แต่ปรากฏว่า บางเดือนมีการฝากเงินหลายครั้ง โดยบางครั้งฝากเงินเป็นจำนวนเกินกว่า 100,000 บาท พฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่าโจทก์กับจำเลยได้ประกอบกิจการรับจ้างทำทองรูปพรรณร่วมกันโจทก์หาได้เป็นลูกจ้างดังที่จำเลยกล่าวอ้างไม่แม้โจทก์จะไม่ได้ร่วมลงทุนเป็นทรัพย์สิน แต่โจทก์ก็ได้ลงทุนด้วยแรงงาน ดังนั้นทรัพย์สินที่โจทก์และจำเลยทำมาหาได้ระหว่างที่อยู่กินร่วมกันย่อมเป็นของโจทก์และจำเลยคนละเท่า ๆ กัน โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขอแบ่งส่วนของโจทก์จากจำเลยได้ แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการประกอบกิจการรับจ้างทำทองรูปพรรณของโจทก์ที่ทำร่วมกับจำเลยได้แยกต่างหากจากการที่จำเลยประกอบกิจการรับจ้างทำทองรูปพรรณร่วมกับนางอโนชา และไม่ปรากฏว่าทรัพย์สินที่โจทก์อ้างว่าจำเลยได้มาระหว่างอยู่กินร่วมกันนั้น จำเลยได้เอาเฉพาะเงินส่วนที่โจทก์และจำเลยทำมาหาได้ร่วมกันไปซื้อมาและได้ความจากคำของโจทก์เองว่า ทรัพย์สินที่ซื้อมาได้ลงชื่อจำเลยไว้เพียงผู้เดียวโดยจำเลยบอกโจทก์ว่ามีภริยา 2 คน ทำตัวลำบาก เช่นนี้จึงน่าเชื่อว่าจำเลยได้นำเงินส่วนที่จำเลยทำมาหาได้ร่วมกับโจทก์ กับเงินส่วนที่เป็นสินสมรสของจำเลยกับนางอโนชาไปซื้อทรัพย์ที่พิพาทระคนปนกัน และเมื่อไม่ได้ความแน่ชัดว่าเป็นเงินส่วนใดมากกว่ากันจึงต้องแบ่งทรัพย์ที่พิพาทดังกล่าวเป็นสี่ส่วน โดยเป็นของจำเลยสองส่วน คือส่วนที่จำเลยทำมาหาได้ร่วมกับโจทก์หนึ่งส่วนและส่วนของจำเลยที่มีอยู่ในฐานะที่เป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับนางอโนชาอีกหนึ่งส่วน โจทก์คงมีสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลยได้เพียงหนึ่งในสี่ส่วน สำหรับทรัพย์ที่พิพาทส่วนที่เป็นที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจำเลยได้มาหลังจากที่โจทก์อยู่กินเป็นภริยาจำเลยแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิหนึ่งในสี่ส่วน สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 236538, 236539, 236540 และ 236541 ตำบลบางนา อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร และอาคารพาณิชย์ 4 ห้อง ที่โจทก์อ้างว่าซื้อมาในราคาห้องละ 2,300,000 บาท ปัจจุบันราคาห้องละ 5,000,000 บาท จำเลยนำสืบว่าซื้อมาในราคาห้องละ 900,000 บาท ตามหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินเอกสารหมาย ล.4 ถึง ล.7 เห็นว่า ที่โจทก์อ้างราคาซื้อและราคาปัจจุบันของที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์ดังกล่าวนั้นเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆไม่มีน้ำหนักรับฟัง แต่น่าเชื่อว่าที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์ 4 ห้องราคาเพียงห้องละ 900,000 บาท ตามหนังสือสัญญาซื้อขายซึ่งเป็นเอกสารราชการ รวมเป็นเงิน 3,600,000 บาท ที่ดินโฉนดเลขที่ 20884, 20885, 22411 และ 22412 และที่ดินบางส่วนในที่ดินโฉนดเลขที่ 5898 ตำบลไทรใหญ่ อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรีศาลชั้นต้นฟังว่าราคาไร่ละ 400,000 บาท ที่ดินทั้ง 5 แปลงราคารวม 3,032,000 บาท คู่ความมิได้อุทธรณ์โต้แย้งราคาดังกล่าวฟังได้ว่าราคาที่ดินที่ศาลชั้นต้นกำหนดเป็นราคาที่แท้จริงที่ดินโฉนดเลขที่ 242070, 242071 และ 242072 ตำบลพระโขนงอำเภอคลองเตย (พระโขนง) กรุงเทพมหานคร พร้อมอาคารพาณิชย์3 ห้อง ที่จำเลยซื้อมาในราคาห้องละ 2,200,000 บาท รวมราคา6,600,000 บาท นั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกู้เงินจากธนาคารมาซื้อ และจำเลยได้จำนองที่ดินดังกล่าวแก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด เป็นจำนวนเงิน 3,900,000 บาทตามสำเนาหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเอกสารในสำนวนต่อท้ายคำแถลงสารบาญอันดับที่ 32 และตามสารบัญจดทะเบียนด้านหลังสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.10 แผ่นที่ 9 ถึงที่ 11โจทก์เบิกความว่า จำเลยยังผ่อนชำระเงินแก่ธนาคารอยู่ตรงกับที่จำเลยเบิกความว่า จำเลยผ่อนชำระแก่ธนาคารเดือนละ 70,000 บาทโจทก์จึงต้องรับผิดชอบในหนี้จำนองดังกล่าวร่วมกับจำเลยตามส่วนของโจทก์ที่มีอยู่ในทรัพย์สินดังกล่าว คือจำนวนหนึ่งในสี่ส่วนด้วยโดยคิดจากยอดหนี้จำนวนที่ค้างชำระทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 536 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์จำเลยเลิกร้างกันเป็นต้นไป รถยนต์เก๋งยี่ห้อวอลโว่ หมายเลขทะเบียน 8 ธ - 7942 กรุงเทพมหานครและรถยนต์เก๋งยี่ห้อฮอนด้า หมายเลขทะเบียน 2 ฮ - 6166กรุงเทพมหานคร ตามคำขอท้ายฟ้องและบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องเป็นทรัพย์ที่จำเลยเช่าซื้อมา โดยสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อเป็นเงินรวม 1,200,000 บาท สิทธิการเช่าอาคารในศูนย์การค้าโครงการอิมพิเรียลเวิลด์ อาคารเลขที่ 270 ชั้นที่ 1 ห้องบีจี 37 ฟังได้ว่าราคา 3,000,000 บาท ค่าเครื่องทองรูปพรรณในร้านทองรุ่ตะวันในโครงการอิมพิเรียลเวิลด์ฟังได้ว่าคิดเป็นเงิน 2,000,000 บาท โทรทัศน์ วิทยุ วิดีโอ วิทยุโทรศัพท์และเข็มขัดเงิน ราคารวมกัน 122,500 บาท รวมราคาทรัพย์ที่พิพาททั้งหมดเป็นเงิน 19,554,500 บาท โจทก์เป็นเจ้าของรวมหนึ่งในสี่ของทรัพย์ที่พิพาทดังกล่าว

          พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยแบ่งทรัพย์ที่พิพาทให้แก่โจทก์หนึ่งในสี่ โดยให้จำเลยดำเนินการให้โจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมหนึ่งในสี่ส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 236538, 236539,236540 และ 236541 ตำบลบางนา อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานครพร้อมอาคารพาณิชย์ 4 ห้อง ราคา 3,600,000 บาท ที่ดินโฉนดเลขที่ 242070, 242071 และ 242072 ตำบลพระโขนงอำเภอคลองเตย (พระโขนง) กรุงเทพมหานคร พร้อมอาคารพาณิชย์3 ห้อง ราคา 6,600,000 บาท ที่ดินโฉนดเลขที่ 20884, 20885,22411, 22412 ตำบลไทรใหญ่ อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรีและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมหนึ่งในสี่ส่วนของที่ดินเนื้อที่ 2 ไร่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 5898 ตำบลไทรใหญ่ อำเภอไทรน้อยจังหวัดนนทบุรี รวมราคาที่ดินในจังหวัดนนทบุรี 3,032,000 บาทเฉพาะที่ดินโฉนดเลขที่ 242070, 242071 และ 242072พร้อมอาคารพาณิชย์ 3 ห้อง โจทก์จะต้องรับผิดชอบชำระหนี้จำนองที่จำเลยได้จำนองที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์ดังกล่าวไว้แก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด เป็นจำนวนหนึ่งในสี่ของยอดหนี้จำนองที่ค้างชำระธนาคารกรุงเทพ จำกัด ณ วันที่ 28 มีนาคม 2536ทั้งนี้ให้โจทก์ชำระเงินเป็นจำนวนหนึ่งในสี่ส่วนของยอดเงินที่จำเลยได้ผ่อนชำระหนี้จำนองดังกล่าวแก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัดตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2536 จนถึงวันอ่านคำพิพากษานี้ให้แก่จำเลยเสียก่อน หากจำเลยไม่ดำเนินการให้โจทก์เป็นเจ้าของรวมในที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์ดังกล่าวให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยหากไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนได้ให้จำเลยใช้ราคาเป็นเงินหนึ่งในสี่ของราคาที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์ที่พิพาท โดยให้หักเงินในส่วนที่โจทก์ต้องรับผิดชอบชำระหนี้จำนองที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์ข้างต้นออกเสียก่อน ให้จำเลยแบ่งสิทธิในสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์เก๋งยี่ห้อวอลโว่หมายเลขทะเบียน 8 ธ - 7942 กรุงเทพมหานคร และรถยนต์เก๋งยี่ห้อฮอนด้า หมายเลขทะเบียน 2 ช - 6166 กรุงเทพมหานครรวมค่าสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ 1,200,000 บาท สิทธิตามสัญญาเช่าอาคารโครงการอิมพิเรียลเวิลด์ เลขที่ 270 ถนนสุขุมวิทตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการห้องบีจี 37 (ชั้นที่ 1) ราคา 3,000,000 บาท แบ่งเครื่องทองรูปพรรณในร้างทองรุ่งตะวันราคา 2,000,000 บาท โทรทัศน์ วิดีโอวิทยุ นาฬิกาข้อมือยี่ห้อราเฟล วิทยุโทรศัพท์หมายเลข 9170485และเข็มขัดเงิน ราคารวมกัน 122,500 บาท ให้แก่โจทก์หนึ่งในสี่ส่วนหากแบ่งไม่ได้ให้จำเลยใช้เงินจำนวน 1,580,625 บาท แก่โจทก์แทนคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่เกินมาจำนวน 17,045 บาท แก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

( ชลอ บุณยเนตร - ไพฑูรย์ แสงจันทร์เทศ - บุญอินทร์ ส่งเสริมสกุล )

 
         

ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2011-09-17 10:05:13



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล