ให้เช่าบ้าน ตัดน้ำตัดไฟได้หรือไม่? | |
มีทาวเฮาส์ให้คนเช่า แล้วคนเช่าไม่ยอมจ่ายค่าเช่ามา 4 เดือนแล้ว ขอห้องคืนก็ไม่คืน ไล่ออกก็ไม่ยอมออก ก็ยังหน้าด้านอยู่ เราจะทำอย่างไรได้บ้าง แจ้งตัดน้ำตัดไฟเลยได้มั๊ยค่ะ | |
ผู้ตั้งกระทู้ วริษฐา :: วันที่ลงประกาศ 2011-08-10 14:11:44 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2215148) | |
บอกเลิกสัญญาเช่า ที่ถูกต้องก็ต้องฟ้องขับไล่ครับ โดยทำหนังสือแจ้งบอกเลิกสัญญาไปก่อน แต่กรณีที่ถามว่าจะตัดน้ำตัดไฟ ก็เป็นวิธีการหนึ่งซึ่งอาจจะยุ่งยากสำหรับทางเรา (ผู้ให้เช่า) เพราะต้องไปแจ้งทางการปะปาและการไฟฟ้า เขาคงต้องมาถอดมาตรวัดออกไป ซึ่งภายหลังก็คงต้องไปแจ้งขอใช้และติดตั้งใหม่ครับ ถ้าไม่มีสัญญาให้สิทธิกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินที่ให้เช่าได้ ก็พิจารณาดูหน่อยครับว่าการกระทำใด ๆ อันอาจมีปัญหาว่าบุกรุกหรือไม่ครับ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-09-11 16:50:44 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2215150) | |
ผู้ให้เช่าตัดน้ำตัดไฟ การที่ผู้ให้เช่าไม่จ่ายกระแสไฟฟ้าและน้ำประปาให้แก่ผู้เช่าและต่อมาผู้ให้เช่าได้ใส่กุญแจไม่ให้ผู่เช่าเข้าไปใช้สถานที่เช่าเป็นการกระทำภายหลังสัญญาเช่าได้สิ้นสุดลงโดยได้กำหนดเวลาให้ผู้เช่าพอสมควรแล้ว จึงไม่เป็นการละเมิด ผู้เช่าไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3921/2535 โจทก์เช่าพื้นที่ในโรงแรมของจำเลยที่ 1 เปิดกิจการร้านเสริมสวยและตัดผม แต่ได้เปิดกิจการอาบ อบ นวด ขึ้นนอกเหนือข้อตกลงในสัญญาและโจทก์รู้เห็นยินยอมให้พนักงานนวดของโจทก์ค้าประเวณีกับแขกที่มาพักโรงแรม เป็นการฝ่าฝืนต่อศีลธรรมอันดีของประชาชนถือได้ว่าโจทก์ได้ใช้ทรัพย์สินที่เช่าเพื่อการอย่างอื่นนอกจากที่ใช้กันตามประเพณีนิยมปกติหรือการดังกำหนดไว้ในสัญญาเช่า เมื่อจำเลยบอกกล่าวแล้วโจทก์ละเลยไม่ปฏิบัติตาม จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 554 เมื่อจำเลยที่ 1 ผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว สัญญาเช่าจึงเป็นอันสิ้นสุดลง โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์ในสถานที่เช่าอีกต่อไป การที่จำเลยไม่จ่ายกระแสไฟฟ้าและน้ำประปาให้โจทก์และต่อมาจำเลยได้ใส่กุญแจไม่ให้โจทก์เข้าไปใช้สถานที่เช่าเป็นการกระทำภายหลังสัญญาเช่าได้สิ้นสุดลงโดยได้กำหนดเวลาให้โจทก์พอสมควรแล้ว จึงไม่เป็นการละเมิด โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายที่ขาดรายได้จากกิจการของโจทก์และค่าชดเชยที่จ่ายให้แก่พนักงานของโจทก์นับแต่วันที่สัญญาเช่าได้สิ้นสุดลง โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของโรงแรมรอยัลออคิดเชอราตัน จำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นลูกจ้างบริหารและดูแลกิจการโรงแรมของจำเลยที่ 1 โจทก์ได้เช่าสถานที่ในโรงแรมของจำเลยที่ 1 เพื่อประกอบกิจการร้านเสริมสวยและตัดผม พื้นที่109 ตารางเมตร มีกำหนด 3 ปี ค่าเช่าเดือนละ 19,600 บาท ในการเช่าโจทก์ต้องจ่ายเงินช่วยค่าก่อสร้างจำนวน 500,000 บาท ค่าบริการใช้สถานที่ รวมทั้งเครื่องปรับอากาศโทรศัพท์ กระแสไฟฟ้าและน้ำประปาเดือนละ 10,400 บาท ต่างหากจากค่าเช่าและโจทก์เป็นผู้รับภาระในเรื่องการออกแบบ การก่อสร้างและตกแต่งภายในสถานที่เช่าเอง ต่อมาเดือนพฤษภาคม 2528 จำเลยที่ 2 ที่ 3 ขัดขวางและกลั่นแกล้งการประกอบกิจการของโจทก์ โดยได้ตัดกระแสไฟฟ้ามิให้โจทก์ประกอบกิจการในร้านของโจทก์ และต่อมาจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ใส่กุญแจปิดประตูไม่ให้โจทก์เข้าไปประกอบกิจการร้านของโจทก์ จำเลยทั้งสามเป็นฝ่ายผิดสัญญาและกระทำละเมิดต่อโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์รวม 3,230,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี และค่าขาดประโยชน์เดือนละ 300,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยที่ 1 ให้การกับฟ้องแย้งว่า ในระหว่างอายุสัญญาเช่าโจทก์ได้กระทำผิดสัญญาเช่าและสัญญาว่าด้วยการบริการ กล่าวคือโจทก์ให้พนักงานหญิงของโจทก์แอบแฝงทำการค้าประเวณีกับแขกที่มาพักในโรงแรมและผู้ที่มาใช้บริการในร้านเสริมสวยและตัดผมของโจทก์ตลอดมา ไม่รักษาสถานที่เช่า เฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ ให้สะอาดได้มาตรฐาน เป็นการผิดวัตถุประสงค์ในการเช่าและผิดสัญญาเช่า จำเลยที่ 1 ได้บอกกล่าวให้โจทก์เลิกกิจการค้าประเวณีและปรับปรุงตกแต่งสถานที่เช่าให้สะอาดเรียบร้อยได้มาตรฐานตามที่ทำสัญญาไว้หลายครั้ง แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตาม จำเลยที่ 1 จึงได้บอกเลิกสัญญาเช่าและมีสิทธิเข้าครอบครองสถานที่เช่าตามสัญญาเช่าจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตามฟ้อง การกระทำของโจทก์ทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายต่อภาพพจน์และชื่อเสียงของโรงแรมและไม่สามารถหาผู้เช่ารายใหม่ได้ จึงขอถือเอาคำให้การเป็นฟ้องแย้ง ขอให้ขับไล่โจทก์และบริวารขนย้ายทรัพย์สินเฉพาะที่โจทก์มีสิทธิออกไปให้จำเลยที่ 1 กลับเข้าครอบครองสถานที่เช่าและให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1 รวมเป็นเงิน 1,365,000 บาทกับค่าเสียหายเดือนละ 30,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าโจทก์จะขนย้ายทรัพย์สินออกจากสถานที่เช่า จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นลูกจ้างและรับจ้างบริหารดูแลกิจการโรงแรมของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตามฟ้อง โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ว่า โจทก์ไม่เคยให้พนักงานหญิงของโจทก์ทำการค้าประเวณีกับแขกที่มาพักอาศัยในโรงแรมและผู้ที่มาใช้บริการในร้านของโจทก์ โจทก์ใช้และรักษาสถานที่เช่าตามสมควรตามลักษณะการประกอบกิจการของโจทก์ ไม่เคยปล่อยปละละเลยโจทก์มิได้ผิดสัญญาหรือทำละเมิด จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าและไม่ได้รับความเสียหายตามฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์พร้อมบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปและส่งมอบสถานที่เช่าให้จำเลยที่ 1 เข้าครอบครองให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 127,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าว และค่าเสียหายอีกเดือนละ19,600 บาท นับแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 1 คำขอนอกจากนี้ให้ยก โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตามฟ้องและยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ในปัญหาข้อแรก สัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.2ระบุว่า โจทก์เช่าพื้นที่ในโรงแรมของจำเลยที่ 1 เพื่อประกอบกิจการร้านเสริมสวยและตัดผม แต่โจทก์เบิกความว่า กิจการอาบ อบ นวดโจทก์ได้รับอนุญาตด้วยวาจาจากนายแลดผู้บริหารของจำเลยที่ 1คนก่อนให้ดำเนินการได้ จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีเอกสารหมาย ล.32 ซึ่งเป็นแบบสอบถามความคิดเห็นของแขกผู้มาพักโรงแรมประกอบคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ว่า นายแลดเคยได้รับคำร้องเรียนของนายอี วิลคินสันแขกชาวอังกฤษผู้หนึ่งว่า ห้องนวดในโรงแรมกำลังดำเนินกิจการแบบซ่องโสเภณีโดยคิดค่าบริการพิเศษครั้งละ 1,000 บาท นายแลดไม่พอใจมากได้แจ้งให้โจทก์ทราบและขอให้แก้ไขตามเอกสารหมาย ล.33เมื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 เข้ามาเป็นผู้บริหารโรงแรมต่อจากนายแลดก็เคยได้รับแบบสอบถามความคิดเห็นเป็นคำร้องเรียนจากแขกชาวต่างประเทศหลายรายในทำนองตำหนิบริการของโรงแรมว่า ถูกพนักงานนวดในโรงแรมชักชวนให้ร่วมประเวณีโดยคิดค่าบริการครั้งละ 1,000 บาท ซึ่งไม่ตรงกับความประสงค์ของแขกที่ต้องการให้นวดอย่างเดียว ทำให้แขกไม่พอใจอย่างมาก เช่น เอกสารหมาย ล.37 ของนายคริส ชาวสวีเดนเอกสารหมาย ล.39 ของนายจัง พอล โรบิดูฟ ชาวแคนาดา จำเลยที่ 1ก็ได้แจ้งให้โจทก์ทราบทุกครั้งเพื่อขอให้เลิกกิจการดังกล่าวเสียดังปรากฏตามเอกสารหมาย ล.35 ล.38 แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบจากโจทก์นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ยังมีบันทึกรายงานเหตุการณ์ประจำวันของนายวิวัฒน์ กอสุวรรณ พนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่ 1ตามเอกสารหมาย ล.24 ถึง ล.29 ประกอบคำเบิกความของนายวิวัฒน์ว่า ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ นายวิวัฒน์ได้พบพนักงานนวดของโจทก์ขึ้นไปให้บริการแขกในห้องพักของโรงแรมหลายครั้งหลายหนโดยมิได้อนุญาตจากทางโรงแรม เป็นการฝ่าฝืนกฎข้อบังคับของโรงแรม โดยมีนายพิชิต ปริยนิธิคุปต์ ผู้บังคับบัญชาของนายวิวัฒน์เบิกความรับรองและนายพิชิตก็ได้รายงานให้จำเลยที่ 2 ทราบเช่นเดียวกันตามเอกสารหมาย ล.31 ส่วนโจทก์เบิกความว่าไม่เคยให้พนักงานของโจทก์ค้าประเวณีกับแขกของโรงแรมโดยมีพนักงานของโจทก์หลายคนเบิกความสนับสนุน ศาลฎีกาเห็นว่า พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารหลายฉบับ ซึ่งเป็นบันทึกรายงานเหตุการณ์ประจำวันของพนักงานรักษาความปลอดภัยและเป็นแบบสอบถามความคิดเห็นของแขกผู้มาพักโรงแรมชาวต่างประเทศลงชื่อและที่อยู่ในบันทึกชัดเจนบอกกล่าวมายังจำเลยว่า พนักงานนวดของโจทก์มีพฤติการณ์ค้าประเวณีกับแขกบุคคลเหล่านี้ไม่มีส่วนได้เสียในกิจการของโจทก์และจำเลยที่ 1จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อยิ่งกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่า โจทก์ได้รู้เห็นยินยอมให้พนักงานนวดของโจทก์ค้าประเวณีกับแขกที่มาพักโรงแรมของจำเลยที่ 1 ส่วนข้อที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 3 มาตรวจกิจการของโจทก์โดยกลั่นแกล้งตำหนิติเตียนโจทก์ต่าง ๆเกี่ยวกับการบริการของโจทก์นั้น จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีรายงานการตรวจสอบร้านของโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.40 มาแสดงว่าร้านของโจทก์ตลอดจนอุปกรณ์เครื่องใช้ในร้านสกปรก ไม่ได้มาตรฐานจำนวน 20 รายการได้แจ้งให้โจทก์แก้ไขเลิกบริการเยี่ยงโสเภณีตามเอกสารหมาย ล.41โจทก์รับปากว่าจะแก้ไขปรับปรุงใหม่ทุกรายการตามเอกสารหมาย ล.43จึงเชื่อได้ว่าจำเลยมิได้กลั่นแกล้งโจทก์ดังที่โจทก์อ้าง ศาลฎีกาเห็นว่า การที่โจทก์เช่าพื้นที่ในโรงแรมของจำเลยที่ 1 เปิดกิจการร้านเสริมสวยและตัดผมแต่ได้เปิดกิจการอาบ อบ นวด ขึ้นนอกเหนือข้อตกลงในสัญญาและโจทก์มีพฤติการณ์รู้เห็นยินยอมให้พนักงานนวดของโจทก์ค้าประเวณีกับแขกที่มาพักโรงแรม เป็นการฝ่าฝืนต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน ถือได้ว่าโจทก์ได้ใช้ทรัพย์สินที่เช่าเพื่อการอย่างอื่นนอกจากที่ใช้กันตามประเพณีนิยมปกติหรือการดังกำหนดไว้ในสัญญาเช่า เมื่อจำเลยบอกกล่าวแล้วโจทก์ละเลยไม่ปฏิบัติตามจำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 554 ส่วนปัญหาข้อหลัง เมื่อจำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญาเช่าตามเอกสารหมาย จ.9 แล้ว สัญญาเช่าจึงเป็นอันสิ้นสุดลงนับแต่วันที่16 พฤศจิกายน 2528 โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์ในสถานที่เช่าอีกต่อไป การที่จำเลยไม่จ่ายกระแสไฟฟ้าและน้ำประปาให้โจทก์นับแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2528 และต่อมาในเดือนธันวาคม 2528จำเลยได้ใส่กุญแจไม่ให้โจทก์เข้าไปใช้สถานที่เช่าเป็นการกระทำภายหลังสัญญาเช่าได้สิ้นสุดลงโดยได้กำหนดเวลาให้โจทก์พอสมควรแล้วจึงไม่เป็นการละเมิด โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายที่ขาดรายได้จากกิจการของโจทก์และค่าชดเชยที่จ่ายให้แก่พนักงานของโจทก์นับแต่วันที่สัญญาเช่าได้สิ้นสุดลง ส่วนเงินช่วยค่าก่อสร้างนั้น ตามสัญญาช่วยค่าก่อสร้างเอกสารหมาย จ.5 ข้อ 3 ระบุว่า "...ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ดีก็จะไม่มีการคืนเงินให้ไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น"จำเลยจึงไม่ต้องคืนให้โจทก์ สำหรับค่าตกแต่งภายในและค่าเครื่องใช้ในร้านของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์ได้ลงทุนเพื่อประโยชน์ของโจทก์เองจึงไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยชดใช้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว" พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายถึงวันฟ้องแย้งเป็นเงิน 126,093.33 บาท แก่จำเลยที่ 1 และค่าเสียหายอีกเดือนละ19,600 บาท นับแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2529 จนกว่าโจทก์จะขนย้ายทรัพย์สินออกจากสถานที่เช่าของจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-09-11 16:54:39 |
ความคิดเห็นที่ 3 (2215152) | |
ผู้ให้เช่าล็อกกุญแจห้องเช่าไม่เป็นบุกรุกเพราะสัญญาให้สิทธิทำได้ สัญญาเช่าระบุว่าถ้าผู้เช่าผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่า ผู้ให้เช่าย่อมทรงสิทธิในการกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่าตามสัญญานี้โดยพลัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นการขาดเจตนาที่จะกระทำผิดฐานบุกรุก คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5396/2549 โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่า จำเลยที่ 1 จึงให้จำเลยที่ 2 ไปล็อกกุญแจปิดร้านอาหารเพื่อมิให้โจทก์เช่าต่อไป โดยจำเลยที่ 1 คิดว่าตนเองมีอำนาจกระทำการได้ตามสัญญาเช่าที่ระบุว่าถ้าผู้เช่าผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าภายในกำหนดเวลาที่กำหนดไว้ ผู้ให้เช่าย่อมทรงสิทธิในการกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่าตามสัญญานี้โดยพลัน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการขาดเจตนาที่จะกระทำผิดฐานบุกรุก ทั้งข้อสัญญาดังกล่าวมิได้ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนและมิได้เป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรมจำเลยทั้งสองไม่มีความผิดฐานบุกรุก โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2542 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองร่วมกันบุกรุกเข้าไปในสวนอาหารและห้องอาหารชื่อร้านไม้ไทย เลขที่ 663/16 ซอยรามคำแหง 127 ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร อันเป็นเคหสถานที่โจทก์ครอบครองและใช้ประโยชน์ โดยจำเลยที่ 1 จ้างวานให้จำเลยที่ 2 นำกุญแจไปปิดล็อกประตูทางเข้าออกห้องอาหารและสถานที่เก็บอาหารโดยไม่มีเหตุอันสมควรเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข จำเลยที่ 2 ได้ข่มขืนใจให้นายจีระศักดิ์ กระฉอดนอก ผู้ดูแลสถานที่ของโจทก์สละการครอบครองทรัพย์สินของโจทก์และให้ออกจากสถานที่ดังกล่าว มิฉะนั้นจะปิดขังไว้ในเคหสถานดังกล่าว นายจีระศักดิ์จึงจำยอมมอบทรัพย์สินต่าง ๆ ของโจทก์ และจำเลยทั้งสองได้ลักเอาทรัพย์สินดังกล่าวไป โดยเข้าครอบครองและใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินดังกล่าวโดยเจตนาทุจริต เป็นเหตุให้โจทก์ขาดประโยชน์จากการทำการค้าไม่น้อยกว่าวันละ 10,000 บาท และต้องสูญเสียทรัพย์สินเป็นมูลค่า 821,020 บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 364, 365, 337, 334 และ 83 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ประทับฟ้องความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 364, 365 ประกอบด้วยมาตรา 83 ไว้พิจารณา จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ โจทก์อุทธรณ์ โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยที่ 1 ได้ให้จำเลยที่ 2 ไปปิดกุญแจร้านอาหารที่โจทก์เช่าจากจำเลยที่ 1 ในราคาเดือนละ 45,000 บาท กำหนดชำระค่าเช่าภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน เริ่มทำสัญญาเช่าตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2541 เป็นต้นไป มีกำหนด 3 ปี โจทก์ได้ชำระค่าเช่าเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคม 2541 ภายหลังวันที่ 5 ของเดือนดังกล่าว ซึ่งจำเลยที่ 1 ก็รับเงินค่าเช่าไว้พร้อมกับได้ต่อว่าโจทก์ที่ชำระค่าเช่าไม่ตรงตามสัญญา ส่วนในเดือนมกราคม 2542 โจทก์ก็ไม่ชำระค่าเช่าแก่จำเลยที่ 1 จนกระทั่งวันที่ 22 มกราคม 2542 จำเลยที่ 1 จึงให้จำเลยที่ 2 ไปปิดกุญแจร้านที่โจทก์เช่าจากจำเลยที่ 1 ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานบุกรุกตามฟ้องหรือไม่ โจทก์อ้างตนเองกับนายจีระศักดิ์ กระฉอดนอก เบิกความเป็นพยานว่า โจทก์ได้เช่าร้านของจำเลยที่ 1 ทำเป็นร้านอาหารเป็นเวลา 3 ปี เริ่มสัญญาตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2541 คิดค่าเช่าเดือนละ 45,000 บาท โดยชำระค่าเช่าภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน เห็นว่า ตามทางนำสืบของโจทก์ยอมรับว่า ในเดือนพฤศจิกายน และธันวาคม 2541 โจทก์ชำระค่าเช่าให้แก่จำเลยที่ 1 ภายหลังวันที่ 5 ของทุกเดือนและในเดือนมกราคม 2542 โจทก์ยังไม่ชำระค่าเช่าให้แก่จำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 1 จะยอมรับค่าเช่าจากโจทก์ในเดือนพฤศจิกายน และเดือนธันวาคม 2541 ไว้ก็ตามแต่ได้มีการต่อว่าโจทก์เกี่ยวกับเรื่องการชำระราคาค่าเช่าที่ไม่ตรงตามสัญญา ดังนั้นจะถือว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับเป็นปริยายว่าไม่ถือกำหนดเวลาเรื่องการชำระค่าเช่าให้ตรงเวลาเป็นสาระสำคัญหาได้ไม่ เมื่อถึงเดือนมกราคม 2542 โจทก์ก็ยังไม่ชำระค่าเช่าให้แก่จำเลยภายในวันที่ 5 มกราคม 2542 อีก วันที่ 22 มกราคม 2542 จำเลยที่ 1 จึงถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าและให้จำเลยที่ 2 ไปล็อกกุญแจปิดร้านอาหารเพื่อมิให้โจทก์เช่าต่อไป การกระทำของจำเลยที่ 1 คิดว่าตนเองมีอำนาจกระทำได้ตามสัญญาเช่าข้อ 11 ที่ระบุว่าถ้าผู้เช่าผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าภายในกำหนดเวลาที่กำหนดไว้ ผู้ให้เช่าย่อมทรงสิทธิในการกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่าตามสัญญานี้โดยพลัน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการขาดเจตนาที่จะกระทำผิดฐานบุกรุก ที่โจทก์อ้างว่า ข้อสัญญาดังกล่าวเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม เห็นว่า ข้อสัญญาดังกล่าวมิได้ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนและมิได้เป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรมแต่อย่างใด ส่วนฎีกาข้ออื่นของโจทก์ไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว" พิพากษายืน. | |
ผู้แสดงความคิดเห็น admin วันที่ตอบ 2011-09-11 16:59:12 |
ความคิดเห็นที่ 4 (3771170) | |
สัญญาเช่ามีข้อตกลงผู้ให้เช่ามีสิทธิเข้าครอบครองสถานที่เช่าไม่เป็นบุกรุก คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12265 - 12266/2556
สัญญาเช่าระหว่างโจทก์ร่วมที่ 1 กับจำเลยที่ 1 มีข้อความระบุชัดเจนว่ามีกำหนดอายุของสัญญาเช่าเป็นเวลา 15 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2529 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2544 ซึ่งเป็นการเช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 3 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 538 บัญญัติให้ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าสัญญาเช่าทุกฉบับมีข้อตกลงในข้อ 7.9 ว่า เมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลงไม่ว่าด้วยสาเหตุประการใดก็ตาม ผู้เช่าจะต้องออกจากสถานที่เช่าทันที ผู้ให้เช่ามีสิทธิเข้าครอบครองสถานที่เช่า ขนย้ายทรัพย์สินของผู้เช่าออกจากสถานที่เช่าได้โดยปราศจากความรับผิดใด ๆ ข้อตกลงดังกล่าวไม่ขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ย่อมใช้บังคับได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น สัญญาเช่าระหว่างโจทก์ร่วมที่ 1 กับจำเลยที่ 1 จึงสิ้นสุดลงในวันที่ 30 กันยายน 2544 ตามที่ระบุไว้ในสัญญา เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการต่อสัญญาเช่าหรือทำสัญญาเช่ากันใหม่ การที่จำเลยที่ 1 กับพวกกลับเข้าครอบครองพื้นที่เช่าโดยใช้ไม้กระดานปิดกั้นและขนย้ายทรัพย์สินของโจทก์ร่วมที่ 1 ออกจากพื้นที่เช่าไปเก็บไว้ในที่อื่นและพร้อมกับปิดประกาศ ณ บริเวณพื้นที่เช่าชั้นที่ 1 และชั้นที่ 3 ว่า สัญญาเช่าสิ้นสุดลงแล้วให้ผู้ที่อ้างว่าเป็นเจ้าของนำหลักฐานไปรับทรัพย์สินคืน จึงเป็นการใช้สิทธิโดยชอบตามข้อตกลงแห่งสัญญาเช่า การกระทำของจำเลยที่ 1 กับพวกจึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก และฐานทำให้เสียทรัพย์ สำหรับข้อหาลักทรัพย์ ได้ความจากพยานโจทก์และโจทก์ร่วมที่ 1 ว่ามีการรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินของโจทก์ร่วมที่ 1 ออกจากพื้นที่เช่าไปเก็บไว้ที่ลานจอดรถชั้นที่ 3 และโกดังชั้นที่ 6 บางส่วนนำไปไว้ที่ทิ้งขยะชั้นล่าง แต่ไม่มีพยานหลักฐานใดยืนยันว่าจำเลยทั้งหกเอาไปซึ่งทรัพย์สินของโจทก์ร่วมที่ 1 ทั้งการที่จำเลยที่ 1 กับพวกรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินออกจากพื้นที่เช่าก็เพื่อนำไปเก็บรักษาไว้เพื่อให้ผู้ที่อ้างว่าเป็นเจ้าของนำหลักฐานไปรับทรัพย์สินคืน และยังอ้างด้วยว่าทรัพย์สินนั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ตามข้อตกลงในสัญญาถือว่าจำเลยทั้งหกขาดเจตนาทุจริต จึงไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์
อนึ่ง ตามฟ้องโจทก์ขอคืนของกลางตามบัญชีทรัพย์ที่ตรวจพบแก่โจทก์ร่วมที่ 1 ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่ได้มีคำสั่งเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าทรัพย์ของกลางตามบัญชีทรัพย์เป็นของโจทก์ร่วมที่ 1 จึงให้คืนแก่เจ้าของตาม ป.วิ.อ. มาตรา 49 และ 186 (9) ส่วนการคืนหรือใช้ราคาทรัพย์อื่น ๆ เมื่อจำเลยทั้งหกไม่ได้กระทำผิด จึงไม่มีหน้าที่ต้องคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น admin วันที่ตอบ 2015-02-12 14:19:35 |
[1] |