มีปัญหาการเช่าที่ดินครับ | |
ผมได้เช่าที่ดิน(เป็นที่ดินเปล่า)ของคนรู้จักกันดี เพื่อจะเปิดร้านซ่อมรถ โดยไม่ได้ทำสัญญากัน คือเช่าปากเปล่า สิ่งก่อสร้างทักหมดผมปลูกสร้างเอง ได้ตกลงกันว่าวันไหนผมเลิกหรือจะย้ายสิ่งก่อสร้างผมสามารถรื้อถอนได้ แต่พอผมจะย้าย เจ้าของที่ไม่ยอมให้รื้อถอน เค้าบอกว่าการเช่าที่สื่งปลูกสร้างย่อมตกเป็นของเจ้าที่ ผมขอถามพี่ทนายว่า ผมจะรื้อถอนได้มั้ยครับ กฎหมายมาตราไหนครับ แล้วถ้าผมรื้อถอนเค้าจะแจ้งความผมได้มั้ยครับ | |
ผู้ตั้งกระทู้ วัชระ :: วันที่ลงประกาศ 2011-09-25 20:16:27 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2229385) | |
ตามปกติสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวถือเป็นส่วนควบกับที่ดิน เจ้าของที่ดินย่อมเป็นเจ้าของส่วนควบนั้นคือเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างของคุณด้วย แต่ในกรณีที่มีการเช่าที่ดินและมีข้อตกลงกันว่าให้ปลูกสร้างโรงเรือนได้ จึงเป็นกรณีที่ผู้เช่ามีสิทธิตามสัญญาเช่าที่จะปลูกสร้างและรื้อถอนโรงเรือนนั้นได้ ในกรณีของคุณนั้นไม่มีสัญญาเช่าจึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นแล้วปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นอย่างผู้ที่มีสิทธิ ดังนั้นเมื่อไม่มีสิทธิ โรงเรือนที่ถือว่าเป็นส่วนควบกับที่ดินจึงตกเป็นของเจ้าของที่ดิน คุณไม่มีสิทธิรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างนั้นได้ เพราะไม่มีสัญญาเช่าและมีข้อตกลงกันให้รื้อถอนได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้ หากคุณสามารถพิสูจน์ให้ศาลเชื่อว่า ผู้ให้เช่าเขายินยอมให้ปลูกสร้างจริง คุณก็มีสิทธิรือถอนได้เพราะเป็นการปลูกสร้างโดยอาศัยสิทธิที่เขาอนุญาตแล้ว แต่ประเด็นสำคัญคือ ถ้าผู้ให้เช่าปฏิเสธข้อตกลงดังกล่าว และยังอ้างว่ามีข้อตกลงว่าให้สิ่งปลูกสร้างตกเป็นของเขา อย่างนี้ศาลจะเชื่อใครเพราะต่างฝ่ายต่างอ้างข้อเท็จจริงที่แตกต่างกันไป (หมายเหตุ - สำหรับในเรื่องนี้ ทนายความบางท่านเห็นว่า สิ่งปลูกสร้างไม่เป็นส่วนควบเพราะได้ปลูกสร้างด้วยตกลงกับผู้เช่าแล้ว แม้ข้อตกลงดังกล่าวไม่มีสัญญาหรือทำกันไว้เป็นหลักฐานก็ถือว่าสัญญาเกิดขึ้นแล้วเป็นบุคคลสิทธิใช้บังคับได้ ซึ่งผมพยายามค้นหาคำพิพากษาศาลฎีกาเพื่อนำมาสนับสนุนข้ออ้างนี้อยู่ครับ จะนำมาเสนอเพิ่มเติมต่อไปครับ) มาตรา 144 ส่วนควบของทรัพย์หมายความว่าส่วนซึ่งโดยสภาพแห่งทรัพย์หรือโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์นั้นและไม่อาจแยกจากกันได้นอกจากจะทำลายทำให้บุบสลายหรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือ สภาพไป เจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบของทรัพย์นั้น มาตรา 146 ทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินหรือติดกับโรงเรือนเพียงชั่วคราว ไม่ถือว่าเป็นส่วนควบกับที่ดินหรือโรงเรือนนั้น ความข้อนี้ให้ใช้บังคับแก่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นซึ่งผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้ สิทธินั้นปลูกสร้างไว้ในที่ดินนั้นด้วย
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-11-03 14:38:46 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2231241) | |
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1773/2519 เรือนปลูกในที่ดินของผู้อื่น โดยเจ้าของที่ดินยินยอมให้ปลูกอยู่อาศัย ไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน ผู้ซื้อที่ดินไม่เป็นเจ้าของเรือน เจ้าหนี้ของเจ้าของเรือนยึดเรือนบังคับคดีได้ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-11-11 12:52:55 |
ความคิดเห็นที่ 3 (2231243) | |
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2208/2519 ผู้ร้องปลูกเรือนพิพาทในที่ดินของมารดาโดยได้รับความยินยอมของมารดาให้ปลูก เป็นการปลูกสร้างโรงเรือนซึ่งผู้ร้องมีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกทำลงไว้ จึงไม่กลายเป็นส่วนควบ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 109 | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-11-11 12:55:05 |
ความคิดเห็นที่ 4 (2231247) | |
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1886/2541 คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 39,601 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย โดยให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดไม่เกินกว่าทรัพย์มรดกของนายเส็ง เสียมทองหรือเตี๋ยมทอง ที่ตกทอดได้แก่จำเลยดังกล่าวและให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ค้ำประกันร่วมรับผิดในหนี้ดังกล่าวเป็นเงิน 50,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย หากไม่ชำระหนี้ให้บังคับทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ หากชำระหนี้ได้ไม่ครบให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์จนครบ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย โดยให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดไม่เกินกว่าทรัพย์มรดกของนายเส็งที่ตกทอดให้แก่จำเลยดังกล่าว ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามสัญญาค้ำประกันเป็นเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย และให้รับผิดตามสัญญาจำนอง แต่ทั้งนี้จำเลยที่ 1 รับผิดตามสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองที่ดินเป็นเงินไม่เกิน 770,136.71 บาท พร้อมดอกเบี้ย หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ หากชำระหนี้ได้ไม่ครบให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์จนครบ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จำนองเฉพาะสิ่งปลูกสร้างคือ บ้านเลขที่ 14/2 หมู่ 4ตำบลบางขันแตก อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงครามเจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้ขณะยึดเป็นเงิน 400,000บาท เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า บ้านเลขที่ 14/2 หมู่ที่ 4ตำบลบางขันแตก อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงครามที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องมิใช่ของจำเลยที่ 1 ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด โจทก์ให้การว่า บ้านที่ยึดเป็นส่วนควบของที่ดินซึ่งเป็นของจำเลยที่ 1 ผู้ร้องไม่ได้คัดค้านและไม่ได้แสดงหลักฐานใดว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นของผู้ร้อง ขอให้ยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์ โจทก์ฎีกา พิพากษายืน ป.พ.พ. มาตรา 1359 | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-11-11 13:00:36 |
[1] |