ReadyPlanet.com


รบกวนตอบทีครับ การปลอมแปลงเอกสารบัญชีธนาคาร


บัญชีธนาคารเป็นเอกสารราชการหรือไม่ ถ้าไม่เหมือนกัน มีความผิดฐานปลอมแปลง หนักกว่า หรือเบากว่ากัน

ยังไงบ้างครับ

เรื่องมีอยู่ว่า  ทำบัญชีสลับหน้า เปลี่ยนตังเลขในบัญชี ไปดาวน์รถที่ไฟน์แนนส์ ธนาคารแห่งหนึ่ง แต่ไม่ผ่าน

ผ่านไป  1 เดือน มีเรื่องเข้าใจผิดกันกับเต้นท์ ทางเต้นท์เลยขู่ว่าจะฟ้องเรื่องเอกสาร ธนาคารที่ปลอม

อยากทราบว่า มีความผิดอย่างไรบ้าง

                       แก้ไขยังไงครับ

                      มีการออมชอมได้หรือไม่ครับ

                       ขอบคุณครับ



ผู้ตั้งกระทู้ ผู้ผิดพลาด :: วันที่ลงประกาศ 2011-11-19 14:54:25


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (2238453)

สมุดเงินฝากธนาคารเป็นเอกสารสิทธิ ปลอมรายการในสมุดเงินฝากเป็นการปลอมเอกสารสิทธิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 เป็นความผิดอาญาแผ่นดินไม่สามารถยอมความกันได้

มาตรา 265 ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิ หรือเอกสารราชการ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท

ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-12-14 19:51:16


ความคิดเห็นที่ 2 (2238456)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2603/2548

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยเป็นเพียงผู้ใช้บัตรประจำตัวประชาชนปลอม จำเลยไม่ได้เป็นผู้ทำบัตรประจำตัวประชาชนปลอม ทำนองปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา ทั้งยังขัดกับคำให้การรับสารภาพของจำเลย จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาข้อนี้ของจำเลย ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุกนั้น เห็นว่า การที่จำเลยกับพวกร่วมกันปลอมบัตรประจำตัวประชาชนและสมุดคู่ฝากบัญชีเงินฝากของธนาคารซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่ทางราชการและธนาคารออกให้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นหลักฐานในการแสดงตนของบุคคลและหลักฐานในการฝากและถอนเงิน แล้วจำเลยใช้เอกสารปลอมดังกล่าวเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคาร และสมัครเป็นสมาชิกสินเชื่อบุคคลกับบริษัทบัตรกรุงไทย จำกัด เพื่อขอสินเชื่อ นับเป็นการกระทำที่กระทบต่อความมั่นคงและเป็นภัยต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง แม้จำเลยไม่เคยกระทำความผิดมาก่อนและมีภาระต้องเลี้ยงดูมารดา ก็ยังไม่เป็นเหตุเพียงพอที่จะรับฟังเพื่อรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน แต่โทษจำคุกที่ศาลอุทธรณ์กำหนดมานั้นหนักเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียใหม่เพื่อให้เหมาะสมแก่รูปคดี
อนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม โดยปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง นั้น ไม่ถูกต้อง เพราะโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยปลอมเอกสารสิทธิและจำเลยใช้และอ้างบัตรประจำตัวประชาชนอันเป็นเอกสารราชการปลอม และสมุดคู่ฝากสำหรับบัญชีเงินฝากอันเป็นเอกสารปลอมโดยนำสมุดคู่ฝากสำหรับบัญชีเงินฝากไปทำสำเนาภาพถ่ายเฉพาะหน้าที่จำเลยปลอมแล้วนำสำเนาภาพถ่ายอันเป็นเอกสารปลอมที่จำเลยรับรองถูกต้องพร้อมบัตรประจำตัวประชาชนไปยื่นแสดงต่อพนักงานของบริษัทบัตรกรุงไทย จำกัด การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิกับใช้เอกสารสิทธิปลอม เมื่อจำเลยเป็นผู้ปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมจึงต้องลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 แต่กระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรคสอง แต่จำเลยได้ใช้เอกสารราชการปลอมและใช้บัตรประจำตัวประชาชนปลอมในคราวเดียวกันด้วย ดังนั้น ความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม ใช้เอกสารราชการปลอม และใช้บัตรประจำตัวประชาชนปลอม จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องลงโทษฐานใช้บัตรประจำตัวประชาชนปลอมตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ.2526 มาตรา 14 (3) ประกอบมาตรา 14 (2) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยในความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมจึงเป็นการมิชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง”

พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม (สมุดคู่ฝากบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาหัวหมาก) เมื่อจำเลยเป็นผู้ปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม จึงลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 แต่กระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรคสอง แต่ความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม ใช้เอกสารราชการปลอม และใช้บัตรประจำตัวประชาชนปลอม เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ.2526 มาตรา 14 (3) ประกอบมาตรา 14 (2) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ฐานใช้บัตรประจำตัวประชาชนปลอม จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 2 ปี เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
( สมศักดิ์ เนตรมัย - สุภิญโญ ชยารักษ์ - เฉลิมศักดิ์ บุญยงค์ )


 

ผู้แสดงความคิดเห็น admin วันที่ตอบ 2011-12-14 19:56:15


ความคิดเห็นที่ 3 (4552506)

 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1517/2564

บัตรเดบิต บัตรเดบิตวีซ่าการ์ด บัตรมาสเตอร์การ์ด บัตรเครดิตวีซ่าการ์ด และบัตรเติมเงินวีซ่าการ์ดปลอม ซึ่งเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกให้เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการหรือหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสด หรือใช้เบิกถอนเงินสดจากบัญชีเงินฝากธนาคาร แต่ละใบมีข้อมูลในบัตรของผู้ถือบัตรต่างรายกันและต่างหมายเลขกัน กับออกโดยต่างธนาคารกัน ทั้งโดยสภาพของการปลอมและใช้หรือมีไว้เพื่อใช้บัตรดังกล่าวต้องปลอมทีละใบและใช้แต่ละใบแยกต่างหากจากกัน ดังนี้ จำเลยจึงไม่ได้มีเจตนาเดียวในการปลอมและใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรนั้น แต่มีเจตนาปลอมและใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรดังกล่าวแต่ละฉบับ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันบัตรเดบิต บัตรเดบิตวีซ่าการ์ด บัตรมาสเตอร์การ์ด บัตรเครดิตวีซ่าการ์ด และบัตรเติมเงินวีซ่าการ์ดปลอม เป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกให้เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการหรือหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสด หรือใช้เบิกถอนเงินสดจากบัญชีเงินฝากธนาคาร บัตรดังกล่าวจึงเป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ ตามความหมายของคำว่า เอกสารและเอกสารสิทธิ แห่ง ป.อ. มาตรา 1 (7) และ (9)

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91, 188, 264, 265, 266, 269/1, 269/2, 269/4, 269/7, 334 และริบของกลาง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณาธนาคาร ก. ผู้เสียหายที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญา

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 269/1, 269/2, 269/4 วรรคแรก ประกอบมาตรา 269/7, 334 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานปลอมเอกสารสิทธิและฐานปลอมบัตรอิเล็กทรอนิกส์ เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานปลอมบัตร อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ฐานใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมที่ได้ออกให้เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้าและบริการ เมื่อจำเลยเป็นผู้ปลอมและใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมเอง จึงให้ลงโทษฐานใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมตามมาตรา 269/4 แต่เพียง กระทงเดียว ตามมาตรา 269/4 วรรคสาม ฐานใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมที่ได้ออกให้เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้าและบริการ จำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 30 กระทง เป็นจำคุก 60 ปี ฐานมีเครื่องมือเพื่อใช้หรือให้ได้ข้อมูลในการปลอมบัตรอิเล็กทรอนิกส์ จำคุก 2 ปี ฐานลักทรัพย์ของผู้อื่น จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 3 ปี รวมจำคุก 65 ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว ให้จำคุก 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) ริบบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอม 29 ใบ เครื่องอ่านและเขียนบัตรพลาสติกชนิดแถบแม่เหล็ก ยี่ห้อเอ็มเอสอาร์ เอ็กซ์ 6 (MSR X6) และคอมพิวเตอร์พกพา ส่วนโทรศัพท์เคลื่อนที่ซัมซุง สีดำ รุ่นเอห้า แฟลชไดรฟ์สีขาว ซิมการ์ดโทรศัพท์ 6 อัน และบรรจุภัณฑ์ซิมการ์ดโทรศัพท์ระบบเติมเงิน 8 อัน ให้คืนแก่เจ้าของ ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า เมื่อรวมโทษทุกกระทงความผิดแล้ว ให้จำคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้โดยปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ให้ถูกต้อง อันเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและยังคงลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตาม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และขอให้ลงโทษสถานเบานั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการ รับฟังพยานหลักฐานและการลงโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 3 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยข้อแรกว่า การกระทำของจำเลยฐานปลอมบัตรอิเล็กทรอนิกส์และฐานใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมเป็นการกระทำผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม เห็นว่า บัตรเดบิต บัตรเดบิตวีซ่าการ์ด บัตรมาสเตอร์การ์ด บัตรเครดิตวีซ่าการ์ด และบัตรเติมเงินวีซ่าการ์ดปลอม เป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกให้เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการหรือหนี้อื่นแทน การชำระด้วยเงินสด หรือใช้เบิกถอนเงินสดจากบัญชีเงินฝากธนาคาร แต่ละใบมีข้อมูลในบัตรของผู้ถือบัตรต่างรายกันและต่างหมายเลขกัน กับออกโดยต่างธนาคารกัน ทั้งโดยสภาพของการปลอมและใช้หรือมีไว้เพื่อใช้บัตรดังกล่าวต้องปลอมทีละใบและใช้แต่ละใบแยกต่างหากจาก กัน ดังนี้ จำเลยจึงไม่ได้มีเจตนาเดียวในการปลอมและใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรนั้น แต่มีเจตนา ปลอมและใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรเดบิต บัตรเดบิตวีซ่าการ์ด บัตรมาสเตอร์การ์ด บัตรเครดิต วีซ่าการ์ด และบัตรเติมเงินวีซ่าการ์ดซึ่งเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์แต่ละฉบับ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยข้อต่อไปว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ชอบหรือไม่ โดย จำเลยฎีกาว่า หากจะลงโทษจำเลยต้องปรับบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 นั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า บัตรเดบิต บัตรเดบิตวีซ่าการ์ด บัตรมาสเตอร์การ์ด บัตรเครดิตวีซ่าการ์ด และบัตรเติมเงินวีซ่าการ์ดปลอม เป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกให้เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการหรือหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสด หรือใช้เบิกถอน เงินสดจากบัญชีเงินฝากธนาคาร บัตรดังกล่าวจึงเป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ ตามความหมายของคำว่า เอกสารและเอกสารสิทธิ แห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (7) และ (9) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

พิพากษายืน

ผู้แสดงความคิดเห็น Admin วันที่ตอบ 2024-01-19 07:00:55



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล