1. ดิฉันไม่เข้าใจคะว่า การแจ้งเกิดหลังจากเด็กคลอดที่ รพ. / ใบสูติบัตร / การรับรองบุตร คือเอกสารชุดเดียวกันไหมคะใบไหนออกก่อน ใบไหนออกทีหลัง ไม่รู้เรื่องเลยคะ เพราะแฟนดิฉันก็ไม่มั่นใจว่าเด็กคนนั้นจะเป็นลูกหรือป่าว เพราะแฟนดิฉันบอกว่าป้องกันทุกครั้ง เราตกลงกันว่าจะรอผลพิสูจน์ DNA หลังจากเด็กคลอดคะ ซึ่งก่อนที่จะทราบผล DNA ดิฉันกลัวว่าทางฝ่ายผู้หญิงจะเอาเอกสารมาให้แฟนดิฉันลงชื่อหรือเซ็นต์ชื่ออะไรก่อนคะ ซึ่งเครียดมาก แฟนดิฉันควรลงชื่อในเอกสารอะไรไหมคะกรณีที่ไม่มั่นใจว่าเด็กเป็นลูก

ตอบ - เด็กที่เกิดมาทุกคนจะต้องแจ้งเกิดต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองแล้วทางเจ้าหน้าที่จะออกสูติบัตรให้ผู้แจ้ง ส่วนการรับรองบุตร ทางบิดาจะเป็นผู้รับรอง ส่วนมารดา และบุตร ต้องให้ความยินยอมด้วยซึ่งเด็กจะให้ความยินยอมได้จะต้องรู้ว่าใครเป็นบิดาแล้ว อย่างน้อยควรมีอายุประมาณ 8 - 9 ปี ในกรณีที่เด็กไม่อานให้ความยินยอมได้ก็ต้องไปร้องขอให้ศาลมีคำสั่งยินยอมแทนตัวเด็กครับ ดังนั้นใบสูติบัตร และใบรับรองบุตรเป็นเอกสารคนละประเภทกันครับ

มาตรา 1548 บิดาจะจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายได้ต่อเมื่อได้รับความยินยอมของเด็กและมารดาเด็ก
ในกรณีที่เด็กและมารดาเด็กไม่ได้มาให้ความยินยอมต่อหน้านายทะเบียน ให้นายทะเบียนแจ้งการขอจดทะเบียนของบิดาไปยังเด็กและมารดาเด็ก ถ้าเด็กหรือมารดาเด็กไม่คัดค้านหรือไม่ให้ความยินยอมภายในหกสิบวันนับแต่การแจ้งนั้นถึงเด็กหรือมารดาเด็ก ให้สันนิษฐานว่าเด็กหรือมารดาเด็กไม่ให้ความยินยอม ถ้าเด็กหรือมารดาเด็กอยู่นอกประเทศไทยให้ขยายเวลานั้นเป็นหนึ่งร้อยแปดสิบวัน

ในกรณีที่เด็กหรือมารดาเด็กคัดค้านว่าผู้ขอจดทะเบียนไม่ใช่บิดา หรือไม่ให้ความยินยอม หรือไม่อาจให้ความยินยอมได้ การจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรต้องมีคำพิพากษาของศาล
เมื่อศาลได้พิพากษาให้บิดาจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรได้ และบิดาได้นำคำพิพากษาไปขอจดทะเบียนต่อนายทะเบียน ให้นายทะเบียนดำเนินการจดทะเบียนให้

2. และการรับรองบุตรนั้น สิทธิที่ทางฝ่ายหญิงจะได้รับมีอะไรบ้าง สิทธิที่ฝ่ายชายจะได้รับมีอะไรบ้าง สิทธิที่เด็กจะได้รับมีอะไรบ้าง

ตอบ - การรับรองบุตรทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างบุตรกับบิดา ชอบด้วยกฎหมาย มีสิทธิและหน้าที่ต่อกันตามที่กฎหมายรับรองครับ เช่น มีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกันตามกฎหมาย

มาตรา 1563  บุตรจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา
 
มาตรา 1564  บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์
บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วแต่เฉพาะผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้