ReadyPlanet.com


บันทึกข้อตกลงหลังทะเบียนหย่ายกที่ดินให้ลูก


พ่อกับแม่หย่ากันยกสินสมรสทั้งหมดให้ลูก3คนและให้ลูกอยู่กับพ่อหลังบันทึกการหย่า  มีที่ดิน150ตารางวา  ผ่านมา20ปีพ่อกับแม่ยังไม่เซ็นโอนให้  พ่อกับแม่ต่างมีครอบครัวใหม่ พ่อมีบุตรใหม่แต่แม่ไม่มีบุตรใหม่ ตอนนี้พ่อก็เสียชีวิตแล้ว แม่ก็อยู่กับสามีใหม่และบุตรคนที่สอง แม่ไม่ยอมเซ็นยกให้แถมจะฟ้องเอาคืนทั้งหมดเพราะไม่อยากยกให้บุตรคนที่สามที่เป็นบุตรบุญธรรม ทําอย่างไรดีค่ะที่จะให้แม่เซ็นโอนและไม่ฟ้องเอาคืน  แม่อยู่ต่างจังหวัด



ผู้ตั้งกระทู้ ขอคําตอบ :: วันที่ลงประกาศ 2012-09-09 10:48:09


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (2304339)

การที่บิดา มารดา ตกลงกันโดยทำบันทึกหลังทะเบียนหย่าว่า ยกทรัพย์สินที่เป็นสินสมรสให้แก่บุตรนั้น เป็นกรณีที่คู่สัญญามีข้อตกลงกันเพื่อประโยชน์ของบุตรซึ่งมิได้เป็นคู่สัญญาด้วย จึงถือว่าเป็นบุคคลภายนอก ตามกฎหมายแล้วสัญญาดังกล่าวจะมีผลแก่บุคคลภายนอกหรือบุตรได้นั้น บุคคลภายนอกจะต้องแสดงเจตนาแก่บิดามารดาซึ่งเป็นลูกหนี้ว่าจะขอรับเอาทรัพย์สินนั้นจากสัญญาที่บิดา มารดาตกลงกันตามบันทึกหลังทะเบียนหย่า ดังนั้นแนะนำให้ติดต่อสำนักงานอัยการเพื่อเรียกให้มารดาโอนที่ดินให้ให้ได้ แต่จะฟ้องเองไม่ได้เพราะกฎหมายห้ามมิให้ฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่ง และ คดีอาญา

มาตรา 374  ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งทำสัญญาตกลงว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกไซร้ ท่านว่าบุคคลภายนอกมีสิทธิจะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้โดยตรงได้
ในกรณีดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้นตั้งแต่เวลาที่แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น

มาตรา 1562  ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้ แต่เมื่อผู้นั้นหรือญาติสนิทของผู้นั้นร้องขอ อัยการจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวก็ได้

ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายลีนนท์0859604258 วันที่ตอบ 2012-09-29 10:35:24


ความคิดเห็นที่ 2 (2304352)

ยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ลูกตามบันทึกการหย่า

บิดามารดาตกลงยกที่ดินให้ลูกจะมีผลเมื่อลูกแสดงเจตนารับเอาสัญญายกให้จากบิดามารดานั้นตามสัญญา เมื่อได้แสดงเจตนาแล้วสิทธิในที่ดินย่อมตกได้แก่ลูกทันที บิดามารดาไม่อาจยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงข้อตกลงได้ การให้ในลักษณะนี้ไม่ต้องไปจดทะเบียนต่อสำนักงานที่ดินก็มีผลผูกพัน
 
คำพิพากษาศาลฎีกาที่  6478/2541
 
          ในบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่า กับบันทึกการหย่าซึ่งโจทก์จำเลยได้ทำขึ้นต่างหาก มีข้อความระบุว่าโจทก์จำเลยตกลงยินยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินรวม 7 แปลงให้แก่บุตรทั้งสอง โดยระบุหมายเลขที่ดินทุกแปลงไว้อย่างชัดแจ้งการที่จำเลยทำข้อตกลงดังกล่าวโดยโจทก์เป็นคู่สัญญาจึงเป็นการทำสัญญาเพื่อชำระหนี้แก่บุตรทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 วรรคหนึ่ง แม้จะไม่ได้นำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายย่อมผูกพันจำเลยให้ปฏิบัติตาม ข้อตกลงนั้น กรณีหาใช่การให้หรือคำมั่นว่าจะให้ อสังหาริมทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525,526 ไม่ ภายหลังที่โจทก์จำเลยทำบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าแล้ว จำเลยผิดสัญญาไม่ยอมไปโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่บุตรทั้งสอง โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่บุตรทั้งสอง ตามข้อสัญญาแต่จำเลยเพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ในฐานะ คู่สัญญาและได้กระทำการแทนบุตรทั้งสองซึ่งเป็น ผู้เยาว์ได้แสดงเจตนาแก่จำเลยที่จะถือเอาประโยชน์ จากข้อตกลงในสัญญานั้นแล้วจำเลยจะยกเหตุว่า บุตรทั้งสองยังไม่ได้แสดงเจตนามายังจำเลยเพื่อให้ ระงับสิทธินั้นหาได้ไม่ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 375
 

มาตรา 374  ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งทำสัญญาตกลงว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกไซร้ ท่านว่าบุคคลภายนอกมีสิทธิจะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้โดยตรงได้
ในกรณีดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้นตั้งแต่เวลาที่แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น

มาตรา 375  เมื่อสิทธิของบุคคลภายนอกได้เกิดมีขึ้นตามบทบัญญัติแห่งมาตราก่อนแล้ว คู่สัญญาหาอาจจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธินั้นในภายหลังได้ไม่

มาตรา 525  การให้ทรัพย์สินซึ่งถ้าจะซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น ท่านว่าย่อมสมบูรณ์ต่อเมื่อได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ในกรณีเช่นนี้ การให้ย่อมเป็นอันสมบูรณ์โดยมิพักต้องส่งมอบ
 
มาตรา 526  ถ้าการให้ทรัพย์สินหรือให้คำมั่นว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว และผู้ให้ไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นแก่ผู้รับไซร้ท่านว่าผู้รับชอบที่จะเรียกให้ส่งมอบตัวทรัพย์สินหรือราคาแทนทรัพย์สินนั้นได้ แต่ไม่ชอบที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนอย่างหนึ่งอย่างใดด้วยอีกได้
________________________________
 
          โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์กับจำเลยได้แต่งงานและจดทะเบียนสมรสกันเกิดบุตรด้วยกัน 2 คน คือ นายเขมพันธ์ จันทร์ชมภู และนางสาวจีรพันธ์ จันทร์ชมภู ต่อมาโจทก์จำเลยได้จดทะเบียนหย่ากันและทำบันทึกต่อท้ายทะเบียนหย่าว่า ให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเลขที่ 25, 100, 102, 810, 810 (ที่ถูก 812), 826 พร้อมสิ่งปลูกสร้างและที่ดินเลขที่ 542 ให้แก่บุตรทั้ง 2 คนดังกล่าวแต่จำเลยมิได้ปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลง ขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินหรือสิทธิของที่ดินตามฟ้องให้แก่นายเขมพันธ์กับนางสาวจีรพันธ์ โดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

          จำเลยให้การว่า จำเลยไม่จำต้องปฏิบัติตามบันทึกต่อท้ายทะเบียนหย่าเพราะทรัพย์สินที่ระบุในบันทึกเป็นสินส่วนตัวของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
          ในระหว่างสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นสอบคู่ความแล้วคู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงว่า โจทก์และจำเลยจดทะเบียนหย่าจากการเป็นสามีภริยากัน และได้ทำบันทึกต่อท้ายทะเบียนการหย่า ลงวันที่ 11 มกราคม 2536 ทำต่อหน้าเจ้าพนักงานปกครองอำเภอเมืองอุดรธานี จำเลยสละประเด็นข้อพิพาทที่ว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนาจะผูกพันตามบันทึกการหย่าและแบ่งสินสมรสศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย

          ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินเลขที่ 25หมายเลข 5443 (เลขทะเบียน 86) จำนวน 1 ไร่ 2 งาน82 ตารางวา ที่ดินเลขที่ 100 หมายเลข 5443 (เลขทะเบียน 1761)จำนวน 3 งาน 20 ตารางวา และที่ดินเลขที่ 102 หมายเลข 5443(เลขทะเบียน 1763) จำนวน 1 ไร่ (ตำบลโพธิ์ชัย อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี) ที่ดินเลขที่ 810 (ที่ถูกเป็น 812) หมายเลข 5443 (เลขทะเบียน 4319) จำนวน 6 ไร่ 2 งาน ที่ดินเลขที่ 810 หมายเลข 5443 (เลขทะเบียน 4319) จำนวน 11 ไร่ 1 งาน 40 ตารางวา ที่ดินเลขที่ 526 หมายเลข 5443 (เลขทะเบียน 5859) จำนวน 1 งาน 68 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างและที่ดินเลขที่ 542 หมายเลข 5443 (เลขทะเบียน 3868) จำนวน 96 ตารางวา(ตำบลหนองบัว อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี) ให้แก่นายเขมพันธ์ และนางสาวจีรพันธ์ จันทร์ชมภู ร่วมกันโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

          จำเลยอุทธรณ์
          ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
          จำเลยฎีกา
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าโจทก์จำเลยเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายเกิดบุตรด้วยกัน 2 คน เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2536 โจทก์กับจำเลยได้จดทะเบียนหย่าและทำบันทึกท้ายทะเบียนหย่าระบุยกที่ดินรวม 7 แปลงตามฟ้องให้แก่นายเขมพันธ์และนางสาวจีรพันธ์ บุตรทั้งสอง ตามบันทึกการหย่าลงวันที่ 11 มกราคม 2536 คดีมีปัญหาต้อง วินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่าบันทึกต่อท้ายทะเบียนหย่าที่ระบุให้จำเลยยกทรัพย์สินตามฟ้องให้แก่บุตรทั้งสอง มีผลใช้บังคับตามกฎหมายหรือไม่ จำเลยฎีกาว่าข้อความที่ปรากฏในบันทึกท้ายทะเบียนหย่านั้นเป็นเพียงคำมั่นว่าจำเลยจะให้อสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นสินส่วนตัวของจำเลยให้แก่บุตรทั้งสองคนโดยเสน่หา ซึ่งตกอยู่ในบังคับมาตรา 525, 526 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หาใช่เป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก และภายหลังที่จำเลยได้จดทะเบียนหย่าตามข้อตกลงดังกล่าว ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้จดทะเบียนยกทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่บุตรทั้งสองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายแต่อย่างใด บันทึกท้ายทะเบียนหย่าจึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายและไม่ผูกพันจำเลยนั้นเห็นว่า ในบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่า กับบันทึกการหย่าซึ่งโจทก์จำเลยได้ทำขึ้นต่างหาก ก็มีข้อความระบุว่าโจทก์จำเลยคู่กรณีทั้งสองฝ่ายตกลงยินยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินรวม 7 แปลงตามฟ้องให้แก่นายเขมพันธ์ จันทร์ชมภู กับ เด็กหญิงจีรพันธ์ จันทร์ชมภู บุตรทั้งสองโดยระบุหมายเลขที่ดินทุกแปลงไว้โดยชัดแจ้ง การที่จำเลยทำข้อตกลงดังกล่าวโดยโจทก์เป็นคู่สัญญาด้วย เป็นการทำสัญญาเพื่อชำระหนี้แก่บุตรทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 วรรคหนึ่ง แม้จะไม่ได้นำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ย่อมผูกพันจำเลยให้ปฏิบัติตามข้อตกลงนั้น จึงมิใช่การให้หรือคำมั่นว่าจะให้อสังหาริมทรัพย์อันตกอยู่ในบังคับมาตรา 525, 526 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังที่จำเลยอ้าง

          ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเพราะไม่ปรากฏว่าบุตรทั้งสองของโจทก์จำเลยยังไม่ได้แสดงเจตนามายังจำเลยจะถือเอาประโยชน์จากข้อสัญญานั้นเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ความว่าภายหลังที่โจทก์จำเลยทำบันทึกข้อตกลงนั้นแล้วจำเลยผิดสัญญาไม่ยอมไปโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องให้แก่บุตรทั้งสองของโจทก์กับจำเลย โจทก์จึงมอบหมายให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยไปจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องให้แก่บุตรทั้งสองตามข้อสัญญา ตามหนังสือบอกกล่าวลงวันที่ 6 พฤษภาคม 2536ซึ่งจำเลยได้ทราบแล้วแต่เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ในฐานะคู่สัญญาและได้กระทำการแทนบุตรทั้งสองซึ่งเป็นผู้เยาว์ได้แสดงเจตนาแก่จำเลยที่จะถือเอาประโยชน์จากข้อตกลงในสัญญานั้นแล้ว จำเลยจะยกเหตุดังกล่าวเพื่อให้ระงับสิทธินั้นหาได้ไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 375 และที่จำเลยอ้างว่า จำเลยได้ทำบันทึกข้อตกลงระบุยกทรัพย์สินให้แก่บุตรทั้งสองเป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม โดยจำเลยเข้าใจว่าทรัพย์สินนั้นเป็นสินสมรส จึงเป็นข้อตกลงที่ใช้บังคับไม่ได้ ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 นั้น เห็นว่าประเด็นข้อต่อสู้ดังกล่าวจำเลยได้แถลงสละประเด็นไว้แล้วตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่3 สิงหาคม 2538 ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัย

          จำเลยฎีกาปัญหาข้อสุดท้ายว่า ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าทรัพย์สินตามบันทึกการหย่าเป็นสินส่วนตัวของจำเลยและจำเลยต้องปฏิบัติตามบันทึกการหย่านั้นหรือไม่ ซึ่งศาลจะต้องวินิจฉัยก่อนว่าทรัพย์สินตามบันทึกการหย่านั้นเป็นทรัพย์สินประเภทใดของจำเลย แล้วจึงวินิจฉัยว่าจำเลยต้องปฏิบัติตามบันทึกการหย่านั้นหรือไม่ แต่ศาลชั้นต้นได้สั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยทำให้หาข้อยุติไม่ได้ดังกล่าว และเมื่อศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย โจทก์ก็ไม่ทักท้วง จึงถือว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบสนับสนุนตามฟ้อง ศาลต้องยกฟ้องโจทก์นั้น เห็นว่าอำนาจในการวินิจฉัยว่าตามคำฟ้อง คำให้การและคำรับของคู่ความเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังยุติได้หรือไม่ อย่างไรเป็นดุลพินิจของศาลที่จะกระทำได้โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 104 ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น"
          พิพากษายืน
 
 
( ธรรมนูญ โชคชัยพิทักษ์ - สมชัย สายเชื้อ - วิรักษ์ เอื้ออังกูร )
 
 
หมายเหตุ
          ตามปกติเมื่อคู่กรณีตกลงทำสัญญากันแล้ว สัญญานั้นจะมีผลผูกพันเฉพาะบุคคลที่เป็นคู่สัญญาเท่านั้น จะไม่มีผลผูกพันไปถึงบุคคลภายนอก แต่อย่างไรก็ตามหากคู่สัญญาจะตกลงกันเพื่อให้สัญญามีผลไปถึงบุคคลภายนอกก็ย่อมจะสามารถทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 วรรคหนึ่ง และเป็นไปตามหลักเสรีภาพแห่งการแสดงเจตนา และความศักดิ์สิทธิ์ของการแสดงเจตนา แต่จากหลักกฎหมายดังกล่าวกฎหมายจำกัดว่า การทำสัญญาให้มีผลผูกพันบุคคลภายนอกนั้นจะต้องทำเพื่อให้บุคคลภายนอกได้รับประโยชน์เท่านั้น จะทำสัญญาเพื่อให้บุคคลภายนอกได้รับความเสียหายหรือกำหนดให้เป็นผลร้ายแก่บุคคลภายนอกไม่ได้

           สัญญาใดมีข้อกำหนดให้บุคคลภายนอกเป็นผู้รับประโยชน์ถือว่าเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอกทั้งสิ้นซึ่งบุคคลภายนอกในที่นี้ หมายถึง บุคคลอื่นทั้งหมดที่มิใช่คู่สัญญาโดยไม่คำนึงว่าจะมีความเกี่ยวพันเป็นญาติหรือมีสิทธิอย่างใด ๆกับคู่สัญญาหรือไม่ แม้จะปรากฎว่ามีความเกี่ยวพันเป็นญาติกับคู่สัญญา แต่เมื่อคู่สัญญากำหนดให้เป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาก็ถือว่าเป็นบุคคลภายนอกในความหมายนี้เช่น

           คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1366/2516 คู่สัญญาทำสัญญาเช่าซื้อโดยมีข้อสัญญาว่าให้ผู้เช่าซื้อระบุตัวทายาทผู้รับสิทธิในการเช่าซื้อแทนได้เมื่อผู้เช่าซื้อถึงแก่กรรมและผู้เช่าซื้อได้ระบุตัวทายาทผู้รับสิทธิในการเช่าซื้อไว้แล้ว ข้อสัญญาดังกล่าวนี้เป็นข้อสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 ฉะนั้นเมื่อผู้เช่าซื้อถึงแก่กรรม และทายาทผู้รับสิทธิดังกล่าวได้แสดงเจตนาเข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญาต่อผู้ให้เช่าซื้อ ตามมาตรา 374 วรรคสองแล้ว สิทธิในการเช่าซื้อจึงตกเป็นของทายาทผู้รับสิทธิดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ตกเป็นมรดกของผู้ตายต่อไป

           คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 38/2537 บันทึกข้อตกลงแบ่งทรัพย์สินหลังทะเบียนการหย่าระหว่างโจทก์และจำเลย นอกจากโจทก์และจำเลยเป็นคู่สัญญาซึ่งกันและกันแล้ว ยังมีบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นผู้รับประโยชน์แห่งสัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยด้วย คือ แทนที่โจทก์และจำเลยจะแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยาด้วยกันเอง โจทก์และจำเลยกลับยอมให้ที่ดินจำนวน2 แปลง และบ้านอีก 1 หลังจากโจทก์และจำเลยจดทะเบียนหย่ากันสัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาแบ่งทรัพย์ระหว่างสามีภรรยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1532 และเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 374 มิใช่สัญญาให้ จึงไม่ตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 แม้ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เมื่อจำเลยผิดสัญญา โจทก์ในฐานะคู่สัญญาย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา

           กรณีสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอกนี้ เมื่อบุคคลภายนอกแสดงเจตนาเพื่อจะถือเอาประโยชน์ตามสัญญาแล้วก็เกิดสิทธิเรียกร้องแก่บุคคลภายนอก ถือว่าบุคคลภายนอกนั้นเป็นเจ้าหนี้ตามสัญญาโดยตรง มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ตามสัญญาแก่ตนเองได้โดยตรง ไม่ต้องอาศัยสิทธิของคู่สัญญา(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2435/2536) แต่หากบุคคลภายนอกยังไม่ได้แสดงเจตนาถือเอาประโยชน์ตามสัญญา สิทธิเรียกร้องก็ยังไม่เกิดแก่บุคคลภายนอก เมื่อบุคคลภายนอกตายไปทายาทจะแสดงเจตนาถือเอาประโยชน์จากสัญญาแทนไม่ได้เพราะไม่ถือว่าสิทธิดังกล่าวตกทอดเป็นทรัพย์มรดกไปยังทายาทของบุคคลภายนอกนั้น (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2401/2515)

           อย่างไรก็ตามแม้บุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญาทำให้บุคคลภายนอกเป็นเจ้าหนี้โดยตรงตามสัญญาก็ตาม แต่ความผูกพันกันระหว่างคู่สัญญาก็ยังคงมีอยู่ตามที่ทำสัญญากันไว้ ดังนั้น หากอีกฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามสัญญา คู่สัญญาอีกฝ่ายย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้ปฏิบัติตามสัญญาได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2565/2536)

           จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่หมายเหตุนี้ โจทก์และจำเลยทำสัญญายกที่ดินให้แก่บุตรถึงแม้ว่าบุตรจะเป็นทายาทของโจทก์และจำเลยตามกฎหมาย มีสิทธิสืบมรดกของโจทก์และจำเลยในฐานะผู้สืบสันดานก็ตาม แต่เมื่อบุตรไม่ใช่คู่สัญญาเป็นเพียงบุคคลที่ถูกระบุให้รับประโยชน์ตามสัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยเท่านั้นถือว่าโจทก์และจำเลยทำสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 วรรคหนึ่งสามารถใช้บังคับได้และแม้บุตรจะอยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ตามสัญญาโดยตรงก็ตาม หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาโจทก์ในฐานะที่เป็นคู่สัญญาก็ยังมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาได้
           ธีรศักดิ์เงยวิจิตร
 
 

ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2012-09-29 11:46:41


ความคิดเห็นที่ 3 (4361691)

           คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6388/2550  

บันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าเป็นสัญญาแบ่งทรัพย์สินตาม ป.พ.พ. มาตรา 1532 เมื่อนายทะเบียนจดทะเบียนการหย่าให้แล้ว ถือว่าได้มีการแบ่งทรัพย์สินกันเรียบร้อยแล้ว 
 
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความลีนนท์ 085-9604258 วันที่ตอบ 2020-02-22 12:56:04



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล