ReadyPlanet.com


ฟ้องบริษัทประกันรถ


ลูกดิฉันขับรถชนกับรถคันอื่นเป็นเหตุให้มีคนเสียชีวิต ทางบริษัทประกันให้ดิฉันซึ่งเป็นผู้เอาประกันเขียนหนังสือให้บริษัทว่าดิฉันยินยอมจ่ายเงินส่วนตัวให้ 200,000.00 บาท (ประกันชั้น 1 โดยถ้ามีผู้เสียชีวิตบริษัทจ่ายให้รายละ 1,000,000.00 บาท ประกันรถวงเงิน 2,500,000.00 บาท)  ซึ่งดิฉันได้จ่ายเงินส่วนตัวให้ญาติผู้ตายในชั้นศาลคดีอาญา 200,000.00 บาท ค่าอื่นอีก 10,000.00 บาท และดิฉันได้จ่ายเงินช่วยค่าปลงศพ 10,000.00 บาท ค่าทนาย 10,000.00 บาท รวมทั้งสิ้น 230,000.00 บาท  ส่วนในชั้นคดีแพ่งได้ตกลงกันเองโดยญาติผู้ตายเรียกเงินรวมค่าซ่อมรถเป็นเงินทั้งสิ้น 1,000,000.00 บาท ซึ่งบริษัทได้จ่ายให้ตามข้อเสนอ ดิฉันมีคำถามว่าส่วนที่ดิฉันจ่ายเงินส่วนตัวไปทั้งหมดนั้น ดิฉันสามารถเรียกคืนจากบริษัทประกันได้หรือไม่ คะ และทำอย่างไร



ผู้ตั้งกระทู้ ริน :: วันที่ลงประกาศ 2012-09-22 13:15:58


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (2307440)

ข้อเท็จจริงของคุณมีรายละเอียดที่ไม่ได้บอกมาคือข้อตกลงในหนังสือยินยอมจ่ายเงิน 200,000 บาท ว่าเป็นเหตุให้ทางบริษัทประกันภัยอ้างไม่รับผิดได้หรือไม่ และรายละเอียดในกรมธรรม์ประกันวินาศภัย ว่าจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในกรณีใดบ้าง และไม่ต้องรับผิดในกรณีใดบ้าง ซึ่งประเพณีทางการค้าบริษัทประกันภัยก็มีหน้าที่จะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ในสัญญาประกันวินาศภัยครับ

 

ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัย

 
คำพิพากษาศาลฎีกาที่  6277/2550

นางสาววรรณวรางค์      โจทก์
บริษัทประกันภัย จำกัด     จำเลย
 
ป.พ.พ. มาตรา 7, 226, 420, 887
ป.วิ.พ. มาตรา 142(6)
 
          โจทก์ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยตามสัญญาประกันภัยในกรณีที่โจทก์ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดเพื่อความเสียหายต่อทรัพย์สินของ ม. และ ส. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเนื่องจากอุบัติเหตุอันเกิดจากการที่โจทก์กระทำละเมิดขับรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลยเฉี่ยวชนรถยนต์ของ ม. และ ส. ได้รับความเสียหาย ดังนั้น โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้ในนามของโจทก์จากจำเลยผู้รับประกันภัยได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 887 ส่วนที่โจทก์จะได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ ม. และ ส. บุคคลภายนอกแล้วหรือไม่นั้น ไม่ใช่สาระสำคัญเพราะมิใช่กรณีรับช่วงสิทธิ

          โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แต่การที่จำเลยปฏิเสธความรับผิดต่อโจทก์ เนื่องจากมีหลักฐานในเบื้องต้นว่าโจทก์ไม่ได้เป็นผู้ขับรถยนต์ในขณะเกิดเหตุ และคนขับรถของโจทก์ไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์อันเป็นเงื่อนไขที่จำเลยจะไม่ต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย จึงเป็นการสู้ความโดยมีเหตุสมควร สมควรกำหนดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอมา
 
________________________________
 
          โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 873,255 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 806,167 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
          จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง

          ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 846,250 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 779,167 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 9 มิถุนายน 2540) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

          จำเลยอุทธรณ์
          ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน

          จำเลยฎีกา
          ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “...พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันชั้นฎีการับฟังได้ว่า จำเลยเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ยี่ห้อมิตซูบิชิของโจทก์ เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2539 ซึ่งอยู่ภายในกำหนดระยะเวลาประกันภัย โจทก์ขับรถยนต์คันดังกล่าวจากเชียงใหม่มุ่งหน้าไปทางอำเภอหางดงระหว่างทางเกิดเฉี่ยวชนกับรถยนต์กระบะของนายสุทัศน์ อ่ำเทศ แล้วรถยนต์ของโจทก์พุ่งข้ามเกาะกลางถนนไปชนกับรถยนต์เก๋งของนางสาวมรกต กิตติคุณชัย และรถยนต์เก๋งของนายพิษณะ วีระสาธรรม ได้รับความเสียหาย ปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนในส่วนของนางสาวมรกตและนายสุทัศน์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยตามข้อตกลงในสัญญาประกันภัยในกรณีที่โจทก์ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดตามกฎหมายเพื่อความเสียหายต่อทรัพย์สินของนางสาวมรกตและนายสุทัศน์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก เนื่องจากอุบัติเหตุอันเกิดจากการที่โจทก์กระทำละเมิดขับรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลยเฉี่ยวชนรถยนต์ของนางสาวมรกตและนายสุทัศน์ได้รับความเสียหายตามกรมธรรม์ประกันภัยหมวดที่ 2 ส่วนที่ 2 ข้อ 2.3 ดังนั้น โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้ในนามของโจทก์จากจำเลยผู้รับประกันภัยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 ส่วนที่โจทก์จะได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางสาวมรกตและนายสุทัศน์บุคคลภายนอกแล้วหรือไม่นั้น ไม่ใช่สาระสำคัญเพราะมิใช่กรณีรับช่วงสิทธิ ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1492/2524 ระหว่างบริษัทยูนิเวอร์แซล อีเล็คทริค (1971) จำกัด โจทก์บริษัทไทยเอเชียประกันภัย จำกัด จำเลย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

          ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า ค่าขาดประโยชน์ของโจทก์มีจำนวนเท่าใด โจทก์มีนางสาววรรณวรางค์ โชติปัญญาวงค์ เบิกความว่า โจทก์จำเป็นต้องใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะในการทำงานจึงต้องเช่ารถของนายอำนวย วิบุญมา เสียค่าเช่ารถเพื่ดใช้ในการทำงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2539 ถึงวันที่ 30 มกราคม 2540 เป็นเวลา 9 เดือน ค่าเช่ารถวันละ 600 บาท รวมเป็นเงิน 162,000 บาท ตามสัญญาเช่ารถยนต์ เมื่อพิจารณาสัญญาเช่ารถยนต์ดังกล่าวแล้วปรากฏว่าโจทก์มีสัญญาเช่ารถยนต์ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2539 ถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2539 วันที่ 15 ธันวาคม 2539 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2539 กับวันที่ 2 มกราคม 2540 ถึงวันที่ 21 มกราคม 2540 รวมระยะเวลา 113 วัน มาแสดงเท่านั้น การเช่ารถยนต์ในช่วงอื่น นอกจากนี้โจทก์เพียงแต่เบิกความลอยๆ ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุนแต่อย่างใด เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับภาพถ่ายความเสียหายของรถยนต์โจทก์ตามภาพถ่ายแล้ว เห็นว่า ระยะเวลา 113 วัน น่าจะพอเพียงสำหรับการซ่อมรถยนต์ของโจทก์ เมื่อศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าขาดประโยชน์ให้โจทก์วันละ 500 บาท โดยจำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน จึงกำหนดค่าขาดประโยชน์ให้โจทก์จำนวน 56,500 บาท ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น

          ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า ค่าซ่อมรถยนต์ของโจทก์มีจำนวนเท่าใด โจทก์มีนางสาววรรณวรางค์ โชติปัญญาวงค์ เบิกความว่า รถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยได้ส่งไปซ่อมที่อู่ณรงค์ชัยการช่าง ทางอู่ตีราคาค่าซ่อมจำนวน 235,636 บาท ตามใบเสนอราคา เห็นว่า จำเลยเป็นผู้จัดส่งรถยนต์ของโจทก์เข้าซ่อมที่อู่ณรงค์ชัยการช่าง แสดงว่าจำเลยมีความเชื่อถือในอู่ดังกล่าว ราคาค่าซ่อมที่เสนอมาจึงน่าจะถูกต้อง จำเลยคงมีนายภูวนาถ เอี่ยมอำพร พนักงานสินไหมของจำเลยเบิกความว่า ค่าซ่อมประมาณ 150,000 บาท เห็นว่า นายภูวนาถเป็นพนักงานของจำเลยย่อมเบิกความในทางที่เป็นคุณแก่จำเลย แต่เป็นคำเบิกความลอยๆ ตามที่ตนคาดคะเนเอาเอง โดยไม่ปรากฏรายละเอียดว่ารายการค่าซ่อมที่ทางอู่ณรงค์ชัยการช่องเสนอราคามานั้นมีรายการใดที่สูงเกินความจริง และที่ว่าราคาตามใบเสนอราคาสามารถต่อรองได้ก็เป็นเพียงการคาดการณ์ว่าจะสามารถต่อรองราคาได้เท่านั้น ไม่อาจรับฟังเป็นความจริงได้ เมื่อพิจารณาประกอบกับภาพถ่ายความเสียหายของรถยนต์โจทก์ตามภาพถ่าย เห็นว่า ค่าซ่อมที่โจทก์เรียกร้องมาเหมาะสมแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

          ปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายมีว่า ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เหมาะสมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์เรียกค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จำเลยปฏิเสธความรับผิดต่อโจทก์ เนื่องจากมีหลักฐานในเบื้องต้นว่าโจทก์ไม่ได้เป็นผู้ขับรถยนต์ของโจทก์ในขณะเกิดเหตุและคนขับรถยนต์ของโจทก์ไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์อันเป็นเงื่อนไขที่จำเลยจะไม่ต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย จึงเป็นการสู้ความโดยมีเหตุสมควร สมควรกำหนดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอมา ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น”

          พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 700,661 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 เมษายน 2539 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5
 
 
( อิศเรศ ชัยรัตน์ - สมศักดิ์ เนตรมัย - วีระชาติ เอี่ยมประไพ )
 
 

          
 
 

ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายลีนนท์0859604258 วันที่ตอบ 2012-10-12 19:25:58



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล