สัญญากู้ สัญญาจำนอง | |
ผมได้ทำสัญญากู้และสัญญาจำนอง เพื่อซื้อบ้านเมื่อ 25 มิถุนายน 2539 และได้หยุดส่งเงินชำระหนี้ตั้งแต่เดือน กพ.2542 จนถึงปัจจุบัน สัญญากู้ได้กำหนดชำระหนี้เป็นงวดๆทุกๆสิ้นเดือน แต่ก็มีระบุไว้ในสัญญากู้ด้วยว่า ถ้าลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระงวดใดงวดหนึ่งให้ถือว่าผู้กู้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ทุกงวด และทนายความของธนาคารได้ทำหนังสือแจ้งให้ชำระหนี้พร้อมบอกกล่าวบังคับจำนอง 3 ครั้งเมื่อ 15 มิย. 49, 22 เมษา 52, 14 สค. 55 ทุกครั้งผมก็ไปลงชื่อรับหนังสือดังกล่าวไว้ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ และเมื่อ 16 กค 52 ผมได้ไปพบธนาคารเพื่อขอลดหนี้และธนาคารได้แนะนำให้ผมทำหนังสือเพือขอลดหนี้โดยมีข้อความดังนี้ : "ตามที่ผมได้กู้เงินสินเชื่อเคหะในวงเงิน 650,000 บาทและได้ชำระต้นเงินบางส่วนแล้วคงเหลือ 5 แสนกว่าบาท และข้าพเจ้าได้หยุดส่งชำระหนี้เนื่องจากประสบปัญหาอย่างรุนแรงทางด้านหน้าที่การงานและครวบครัวทั้งได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ผมจึงขอความอนุเคราห์จากธนาคาร ขอชำระหนี้ปิดบัญชีจำนวน 650,000 บาท ส่วนดอกเบี้ยที่เหลือขอความอนุเคราะห์ลดให้ทั้งหมด สำหรับค่าประกันภัยประมาณ 3,000 บาทและค่าหนังสือทวงถาม ผมจะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งสิ้น" พอวันที่ 17 สค 52 ธนาคารก็มีหนังสือตอบตกลงตามข้อเสนอของผม แต่เนื่องจากเกิดการผิดพลาดบางอย่างทำให้ผมไม่มีเงินไปชำระตามที่ผมขอลดหนี้ไว้.... ผมขอเรียนถามดังนี้ครับ (1)หนี้ทั้งหมดตามสัญญากู้นี้ขาดอายุความแล้วหรือไม่ครับ? (2)การที่ผมไปลงชื่อรับหนังสือทนายฯ และการทำหนังสือขอลดหนี้ต่อธนาคารโดยมีข้อความดังกล่าวและการที่ธนาคารมีหนังสือตอบตกลงมา การกระทำทั้งหมดนี้มีผลต่ออายุความของหนี้อย่างไรหรือไม่ครับ? (3)จากเหตุการณ์ที่เล่ามา ธนาคารยังมีสิทธิขอให้ศาลยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นๆของผมได้หรือไม่ครับ? -ขอบคุณล่วงหน้าครับ- | |
ผู้ตั้งกระทู้ สุชัย :: วันที่ลงประกาศ 2012-09-15 23:29:11 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2305859) | |
(1)หนี้ทั้งหมดตามสัญญากู้นี้ขาดอายุความแล้วหรือไม่ครับ? ตอบ - โดยหลักของกฎหมายแล้ว หนี้เงินที่ต้องผ่อนทุนคืนเป็นงวด ๆ มีกำหนดอายุความ 5 ปี ตาม มาตรา 193/33 แต่แม้ว่าหนี้ประธานตามสัญญาเงินกู้จะขาดอายุความแล้ว เจ้าหนี้ผู้รับจำนองก็ยังคงมีสิทธิที่จะบังคับจำนองได้ไม่มีขาดอายุความในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิ แต่จะเรียกเอาดอกเบี้ยค้างชำระเกิน 5 ปี ไม่ได้ ตาม มาตรา 745 ซึ่งหมายความว่าหนี้ตามสัญญากู้ยืมขาดอายุความแล้วก็ตาม เนื่องจากสัญญาจำนองจะระงับสิ้นไปต้องเป็นไปตามมาตรา 744 แต่ใน อนุมาตรา (1) ยกเว้นไว้ว่าหนี้ประธานระงับไปด้วยเหตุอื่นไม่ใช่ระงับเพราะเหตุขาดอายุความ มาตรา 193/33 สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ให้มีกำหนดอายุความห้าปี มาตรา 744 อันจำนองย่อมระงับสิ้นไป (2)การที่ผมไปลงชื่อรับหนังสือทนายฯ และการทำหนังสือขอลดหนี้ต่อธนาคารโดยมีข้อความดังกล่าวและการที่ธนาคารมีหนังสือตอบตกลงมา การกระทำทั้งหมดนี้มีผลต่ออายุความของหนี้อย่างไรหรือไม่ครับ? ตอบ - อายุความสะดุดหยุดลงเมื่อลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ แต่การรับสภาพหนี้โดยหลักแล้วจะต้องรับสภาพก่อนหนี้ขาดอายุความ ในกรณีตามที่ถามมาเท่าที่พิจารณาตามข้อเท็จจริง หนี้ตามสัญญากู้ยืมน่าจะขาดอายุความ (ไม่แน่ใจครับเพราะมีวันที่ 14 สิงหาคม 55 เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่อย่างไรรก็ตาม การทำหนังสือรับสภาพดังกล่าวอาจถือได้ว่าเป็นการรับสภาพความรับผิดซึ่งตีความได้ว่ากระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ารับสภาพหนี้แล้วก็ได้ หรือก็เป็นไปตามคำตอบข้อ 1 มาตรา 193/14 อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้
(3)จากเหตุการณ์ที่เล่ามา ธนาคารยังมีสิทธิขอให้ศาลยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นๆของผมได้หรือไม่ครับ? ตอบ - คำตอบตามข้อ 1. เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิบังคับจำนองได้โดยไม่มีอายุความตามสัญญาจำนอง เพราะจำนองยังไม่ระงับครับ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายลีนนท์0859604258 วันที่ตอบ 2012-10-06 06:20:47 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2305861) | |
หนี้ประธานขาออายุความแต่บังคับจำนองได้ หนี้ตามสัญญากู้เงินซึ่งเป็นหนี้ประธานขาดอายุความ แต่จำนองเป็นทรัพย์สิทธิซึ่งจะระงับสิ้นไปก็แต่โดยกรณีต้องตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 744 ที่บัญญัติเหตุจำนองระงับไว้ใน (1) ถึง (6) โจทก์จึงมีสิทธิบังคับเอาชำระหนี้จำนองได้ แต่ไม่อาจบังคับเอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระในการจำนองเกินกว่าห้าปีตามที่มาตรา 745 บัญญัติห้ามไว้เท่านั้น โจทก์มีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์จำนองเท่านั้น และตามสัญญาจำนองกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ร้อยละ 13.75 ต่อปี ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงของคู่สัญญา จึงมิใช่เบี้ยปรับ ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกนางศุภวรรณ ผู้จัดการมรดกของนายจิมฮวด เข้าเป็นจำเลยร่วมศาลชั้นต้นอนุญาต จำเลยร่วมให้การว่า คดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 (2) และมาตรา 1754 วรรคสาม โจทก์ไม่ได้บอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยร่วม จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยร่วม โจทก์มีสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยเพียง 5 ปี และดอกเบี้ยมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วนชอบที่จะปรับลดลง ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมฎีกา ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมในประการต่อไปมีว่า โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้จำนองมีสิทธิบังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 190971 ตำบลบางจาก อำเภอพระโขนงกรุงเทพมหานคร ที่นายจิมฮวดและจำเลยที่ 2 ร่วมกันจดทะเบียนจำนองประกันหนี้ตามฟ้องไว้ต่อโจทก์และโจทก์ได้บอกกล่าวบังคับจำนองโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า แม้หนี้ตามสัญญากู้เงินซึ่งเป็นหนี้ประธานจะขาดอายุความ แต่จำนองเป็นทรัพย์สิทธิซึ่งจะระงับสิ้นไปก็แต่โดยกรณีต้องตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 744 ที่บัญญัติว่า เหตุจำนองระงับไว้ใน (1) ถึง (6) โจทก์จึงมีสิทธิบังคับเอาชำระหนี้จำนองได้ แต่ไม่อาจบังคับเอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระในการจำนองเกินกว่าห้าปี ตามที่มาตรา 745 บัญญัติห้ามไว้เท่านั้น ดังนั้น เมื่อโจทก์ได้มีหนังสือตามเอกสารหมาย จ.2 ไปยังจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองจึงเป็นการบอกกล่าวบังคับจำนองโดยชอบตามมาตรา 728 แล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมในข้อที่ว่าโจทก์มิได้บอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 1 ในฐานะทายาทโดยธรรม จึงไม่ถือว่าเป็นการบอกกล่าวบังคับจำนองโดยชอบนั้น เป็นข้ออ้างที่รับฟังไม่ได้ เพราะจำเลยที่ 1 เป็นทายาทโดยธรรมของนายจิมฮวดอยู่แล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมข้อนี้ฟังไม่ขึ้น สำหรับประเด็นฎีกาข้อสุดท้ายของจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมว่าอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ถือเป็นเบี้ยปรับ ชอบที่ศาลจะต้องปรับลดลงให้แก่ฝ่ายลูกหนี้นั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์มีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์จำนองเท่านั้น และตามสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.11 กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้คืออัตราร้อยละ 13.75 ต่อปี ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงของคู่สัญญา อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจึงมิใช่เบี้ยปรับ ฎีกาของจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมข้อนี้ฟังไม่ขึ้น อนึ่ง โจทก์มีสิทธิบังคับเอาชำระหนี้จำนองสำหรับเงินต้นที่ค้างชำระจำนวน 370,470.30 บาท กับดอกเบี้ยที่ระบุไว้ในสัญญาจำนองอัตราร้อยละ 13.75 ต่อปี ย้อนหลังวันฟ้องขึ้นไป 5 ปี คือนับแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2539 การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์ได้รับชำระหนี้จำนอง 370,470.30 บาท พร้อมดอกเบี้ย 9,927.16 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ของต้นเงิน 370,470.30 บาท นับแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2539 จึงเป็นการพิพากษาให้จำเลยรับผิดเกินกว่าความรับผิดตามกฎหมาย ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้อ้างมาในฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246 และมาตรา 247” พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ในฐานะทายาทโดยธรรมของนายจิมฮวด จำเลยที่ 2 และจำเลยร่วมในฐานะผู้จัดการมรดกนายจิมฮวด ร่วมกันรับผิดชำระหนี้จำนองจำนวน 370,470.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13.75 ต่อปี นับแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 190971 ตำบลบางจาก อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ คำขออื่นของโจทก์ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2012-10-06 06:36:46 |
[1] |