ReadyPlanet.com


ปลอมแปลงเอกสารการหย่า


 พ่อดิฉันพาบุคคลอื่นไปจดทะเบียนหย่า โดยแม่ไม่ทราบเรื่อง  ขณะนี้พ่อเสียชีวิตแล้วขอถามว่า

1 พ่อดิฉันเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ขณะนี้ครอบครัว ดิฉันกำลังฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย  แต่แม่พึ่งทราบเรื่องการปลอมแปลงเอกสารการหย่า  จะมีผล หรือเสียประโยชน์ไหมคะ  เพราะพ่อดิฉันมีลูกนอกสมรสด้วย
2 การฟ้องร้องปลอมแปลงเอกสาร มีค่าใช้จ่ายสูงไหม เจ้าหน้าที่อำเภอ จะเดือดร้อนมากไหม ใจจริง ก็ไม่อยากให้คนอื่นเดือดร้อน  แต่ถ้าเราเสียสิทธิ์ มากเกินไป ก็คงต้องฟ้องร้อง  
ขอคำแนะนำด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ


ผู้ตั้งกระทู้ beansprouts.m :: วันที่ลงประกาศ 2012-10-04 18:43:24


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (2310682)

1 พ่อดิฉันเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ขณะนี้ครอบครัว ดิฉันกำลังฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย  แต่แม่พึ่งทราบเรื่องการปลอมแปลงเอกสารการหย่า  จะมีผล หรือเสียประโยชน์ไหมคะ  เพราะพ่อดิฉันมีลูกนอกสมรสด้วย

ตอบ  - การจดทะเบียนหย่าเป็นโมฆะ ต้องให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนและมีคำสั่ง แต่เนื่องจากพ่อของคุณเสียชีวิตแล้ว อาจจะยุ่งยากในการไต่สวนคำร้อง แต่น่าจะเริ่มที่แจ้งความบุคคลที่ไปจดทะเบียนหย่าแทนแม่ในความผิดฐานปลอมเอกสาร หากรู้ตัวผู้กระทำความผิด ส่วนบุตรนอกกฎหมายของพ่อกับภรรยาใหม่เขาไม่มีสิทธิในเรื่องเรียกค่าขาดไร้อุปการะอยู่แล้วซึ่งไม่ใช่มรดกที่จะตกทอดแก่บุตรนอกกฎหมายเหมือนมรดกเนื่องจากว่าหน้าที่ในการอุปการะเลี้ยงดูตามกฎหมายต้องเป็นบิดาชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น แต่ก็มีสิทธิรับทรัพย์มรดกของผู้ตายเสมือนเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย

มาตรา 443  ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่าปลงศพรวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นๆ อีกด้วย
ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาลรวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย
ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้น ทำให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา 1627  บุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้วและบุตรบุญธรรมนั้นให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดาน เหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายนี้

 

2 การฟ้องร้องปลอมแปลงเอกสาร มีค่าใช้จ่ายสูงไหม เจ้าหน้าที่อำเภอ จะเดือดร้อนมากไหม ใจจริง ก็ไม่อยากให้คนอื่นเดือดร้อน  แต่ถ้าเราเสียสิทธิ์ มากเกินไป ก็คงต้องฟ้องร้อง  

ตอบ - ไปแจ้งความร้องทุกข์ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและพนักงานอัยการจะเป็นโจทก์ฟ้องให้เองครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายลีนนท์0859604258 วันที่ตอบ 2012-10-26 09:46:59


ความคิดเห็นที่ 2 (2310686)

ภริยาเรียกค่าขาดไร้อุปการะ
 
คำพิพากษาศาลฎีกาที่  3757/2553

 
ป.พ.พ. มาตรา 425, 1077, 1087
 
          จำเลยที่ 1 พักอยู่ที่ที่ทำงานและจะให้รถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุเป็นประจำในการทำงาน เหตุรถเฉี่ยวชนกันเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 22 นาฬิกา หลังจากเวลาเลิกงานตามปกติแล้ว ขณะจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุไปเติมน้ำมันแม้จะอยู่นอกเวลาทำงานแต่ก็เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ที่จะต้องปฏิบัติการเพื่อให้เป็นไปตามที่จำเลยที่ 2 มอบหมาย จึงเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2

          ป.พ.พ. มาตรา 1077 (2) ประกอบมาตรา 1087 ที่บัญญัติให้ผู้จัดการซึ่งเป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนไม่จำกัดจำนวนนั้นมิได้ระบุข้อยกเว้นหรือเงื่อนไขแห่งการรับผิดของผู้จัดการในหนี้ของห้างหุ้นส่วนแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยที่ 3 หุ้นส่วนผู้จัดการต้องร่วมรับผิดด้วยจึงชอบแล้ว
 
มาตรา 425  นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น

มาตรา 1077  อันห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น คือห้างหุ้นส่วนประเภทหนึ่ง ซึ่งมีผู้เป็นหุ้นส่วนสองจำพวก ดั่งจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
(1) ผู้เป็นหุ้นส่วนคนเดียวหรือหลายคนซึ่งมีจำกัดความรับผิดเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ตนรับจะลงหุ้นในห้างหุ้นส่วนนั้นจำพวกหนึ่ง และ
(2) ผู้เป็นหุ้นส่วนคนเดียวหรือหลายคนซึ่งต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนไม่มีจำกัดจำนวนอีกจำพวกหนึ่ง

มาตรา 1087  อันห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น ท่านว่าต้องให้แต่เฉพาะผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดเท่านั้นเป็นผู้จัดการ
________________________________
 
          โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำรเสร็จแก่โจทก์ทั้งสาม
          จำเลยทั้งสามให้การ ขอให้ยกฟ้อง
          ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 841,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 26 ธันวาคม 2548) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสาม ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความ 6,000 บาท

          จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
          ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 526,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2548 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสาม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

          จำเลยทั้งสามฎีกา
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ตามที่จำเลยทั้งสามไม่ฎีกาโต้แย้งว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารของจำเลยที่ 2 ซึ่งมีจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเฉลี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์ที่แล่นอยู่ข้างหน้าซึ่งมีนายโจพจน์เป็นคนขับขี่และมีนางเรณูนั่งซ้อนท้ายเป็นเหตุให้นางเรณูถึงแก่ความตาย...

          ปัญหาตามฎีกาต่อไปมีว่า เหตุเฉี่ยวชนเกิดขึ้นขณะจำเลยที่ 1 กระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 หรือไม่ และจำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 หรือไม่โดยจำเลยทั้งสามฎีกาว่าเหตุเกิดขณะจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารไปเติมน้ำมันเวลาประมาณ 22 นาฬิกา หลังจากเวลาเลิกงานตามปกติแล้วจึงเป็นการกระทำนอกทางการที่จ้าง เห็นว่า จากคำเบิกความของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ตอบทนายโจทก์ทั้งสามถามค้านได้ความว่า จำเลยที่ 1 พักอยู่ที่ที่ทำงานและจะใช้รถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุเป็นประจำในการทำงาน ดังนั้น การขับรถไปเติมน้ำมันแม้จะอยู่นอกเวลาทำงานแต่ก็เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ที่จะต้องปฏิบัติการเพื่อให้เป็นไปตามที่จำเลยที่ 2 มอบหมายจึงเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 สำหรับจำเลยที่ 3 ที่จำเลยทั้งสามฎีกาอ้างเหตุว่าไม่ต้องร่วมรับผิดเพราะจำเลยที่ 2 มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะชำระหนี้ได้นั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1077 (2) ประกอบมาตรา 1087 ที่บัญญัติให้ผู้จัดการซึ่งเป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนไม่จำกัดจำนวนนั้นมิได้ระบุข้อยกเว้นหรือเงื่อนไขแห่งการรับผิดของผู้จัดการในหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัดไว้แต่อย่างใด ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยที่ 3 หุ้นส่วนผู้จัดการต้องร่วมรับผิดด้วยจึงชอบแล้ว

          ปัญหาประการสุดท้ายมีว่า โจทก์ทั้งสามควรได้รับค่าสินไหมทดแทนเพียงใดจำเลยทั้งสามฎีกาว่า โจทก์ที่ 1 เป็นสามีของนางเรณูซึ่งตามคดีไทยโบราณฝ่ายชายต้องเป็นฝ่ายหาเลี้ยงครอบครัวโจทก์ที่ 1 จึงไม่สมควรได้รับค่าขาดไร้อุปการะจากนางเรณูผู้เป็นภริยาและโจทก์ที่ 2 กับที่ 3 ควรได้รับค่าขาดไร้อุปการะเป็นเงิน 102,750 บาท กับ 177,750 บาท ตามลำดับ โดยศาลไม่ควรกำหนดดอกเบี้ยสำหรับค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้ให้เพราะเป็นหนี้ในอนาคตนั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1461 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า “สามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตน” นั้น ทั้งสามีและภริยาต่างมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องอุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน มิใช่สามีฝ่ายเดียวที่ต้องให้การอุปการะเลี้ยงดูภริยา ภริยาก็มีหน้าที่ตามกฎหมายต้องอุปการะเลี้ยงดูสามีเช่นเดียวกัน โจทก์ที่ 1 จึงมีสิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะตามกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรคท้ายได้ สำหรับค่าขาดไร้อุปการะของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ผู้เป็นบุตรนั้นจำเลยทั้งสามมิได้ให้เหตุผลว่าเหตุใดโจทก์ที่ 2 จึงควรได้รับจำนวน 102,750 บาท และโจทก์ที่ 3 ควรได้รับจำนวน 177,750 บาท ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าขณะเกิดเหตุโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ยังเป็นผู้เยาว์ มีอายุเพียง 9 ปี และ 3 เดือน ตามลำดับ การที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าขาดไร้อุปการะให้แก่โจทก์ที่ 2 และที่ 3 ได้รับเดือนละ 1,500 บาท นับแต่วันทำละเมิดจนกว่าโจทก์ที่ 2 และที่ 3 จะมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์จึงนับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์และฐานานุรูปของโจทก์ทั้งสามแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข และการกำหนดค่าขาดไร้อุปการะดังกล่าวเป็นการกำหนดให้จำเลยทั้งสามต้องชำระรวมกันครั้งเดียวมิใช่ทะยอยชำระหรือชำระเป็นรายเดือนรายปีต่อไปในภายหน้า จึงไม่ใช่หนี้ในอนาคตดังที่จำเลยทั้งสามฎีกา เมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 206 บัญญัติว่า “ในกรณีหนี้อันเกิดแต่มูลละเมิด ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่ทำละเมิด” อันก่อให้เกิดสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้นับแต่วันทำละเมิดแต่โจทก์ทั้งสามสละสิทธิตามกฎหมายดังกล่าวโดยขอคิดดอกเบี้ยนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป ศาลล่างทั้งสองจึงชอบที่จะให้จำเลยทั้งสามชำระดอกเบี้ยนับแต่วันถัดจากวันฟ้องตามขอได้ นอกจากค่าขาดไร้อุปการะแล้วจำเลยทั้งสามยังฎีกาในส่วนค่าปลงศพที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้ 50,000 บาท ตามฟ้องว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป ศาลฎีกาพิเคราะห์คำเบิกความของโจทก์ที่ 1 ประกอบรายการค่าใช้จ่ายการปลงศพของนางเรณู เอกสารหมาย จ.11 แล้ว เห็นว่า รายการดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและเกี่ยวเนื่องกับการจัดงานศพตามประเพณีทั่วไป แม้รายการที่ 5 ค่าแสดงแม่ไม้มวยไทยหน้าศพอาจจะเป็นความนิยมเชื่อถือเฉพาะรายซึ่งไม่มีความจำเป็นต่อการปลงศพเท่าใดนัก แต่โจทก์ทั้งสามก็ใช้จ่ายในส่วนนี้ไปเพียง 2,000 บาท จึงสมควรให้โจทก์ทั้งสามได้รับค่าปลงศพรวม 50,000 บาท ตามจำนวนที่ขอ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น”
          พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
 
 
( พิศล พิรุณ - พันวะสา บัวทอง - นวลน้อย ผลทวี )
 
 

          
 
 

ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2012-10-26 10:06:49



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล