เรื่องโฉนดที่ดินของยายมีชื่อแม่ผมห้อยอยู่ด้วย | |
ผมต้องการรู้ว่า โฉนดที่ดิน(ของคุณยาย)ที่คุณยาย ให้มีชือของคุณเเม่ผมห้อยอยู่ด้วย เเต่ตอนนี้เเม่ของผม รู้สึกว่าจะทะเลาะกับคุณยายเนื่องจากเเม่ติดการพนัน เเม่สามารถทำอะไรกับที่ดิน ที่มีชื่อเเม่ห้อยอยู่ได้หรือเปล่า (คุณยายยังมีชีวิตอยู่) เเละคุณยายจะสามารถถอนชื่อเเม่ออกจากใบโฉนดหรือเปล่า ถ้าข้อมูลน้อยเกินไปขอโทษทีนะคับผมไม่ค่อยรู้เรื่องผมพึ่งอายุ 14 ตอบด้วยคับ | |
ผู้ตั้งกระทู้ 111 :: วันที่ลงประกาศ 2013-04-24 22:51:03 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2358738) | |
โฉนดที่ดินเป็นเอกสารมหาชน โฉนดที่ดินมีชื่อคุณยานและแม่ร่วมกันเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมสันนิษฐานว่า ทั้งสองคนมีส่วนเป็นเจ้าของเท่ากัน คุณยายไม่มีสิทธิเอาชื่อแม่ออก เว้นแต่จะเป็นการถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายลีนนท์0859604258 วันที่ตอบ 2013-05-19 11:22:18 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2358739) | |
โฉนดมีชื่อใครถือว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์มีส่วนเป็นเจ้าของเท่ากัน จำเลยให้การว่า เดิมจำเลย นางชุบ นายวัฒนา และนายอุดม เป็นเจ้าของร่วมกันในที่ดินพิพาทโดยตกลงแบ่งแยกการครอบครองเป็นสัดส่วนตลอดมาเป็นเวลากว่า 40 ปี นางชุบ และนายอุดมไม่เคยมายุ่งเกี่ยวกับที่ดินส่วนที่จำเลยครอบครอง ต่อมาโจทก์ทั้งเจ็ดซื้อที่ดินพิพาทจากนางชุบ นายวัฒนา และนายอุดม โจทก์ทั้งเจ็ดย่อมได้สิทธิในที่ดินตามที่นางชุบ นายวัฒนา และนายอุดมครอบครอง โจทก์ทั้งเจ็ดจะเข้ามายุ่งเกี่ยวในที่ดินที่จำเลยครอบครองไม่ได้ เหตุที่จำเลยไม่รับรองการรังวัดของเจ้าพนักงานเพราะรังวัดไม่ตรงกับแนวเขตที่ดินที่จำเลยได้ครอบครองตามที่จำเลยนำชี้ จำเลยไม่เคยตกลงว่าจะทำการรังวัดต่อไปจนเสร็จแต่มีความประสงค์ขอให้รังวัดสอบแนวเขตใหม่ แต่เจ้าพนักงานไม่ยอมออกไปทำการรังวัด จำเลยจึงไม่ติดใจขอรังวัดสอบเขต จำเลยและบริวารไม่ได้รุกล้ำหรือพยายามรุกล้ำเข้าครอบครองกรรมสิทธิ์เกินส่วนของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณาโจทก์ที่ 6 ถึงแก่ความตาย นางนิดาทายาทและผู้จัดการมรดกของโจทก์ที่ 6 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต จำเลยอุทธรณ์ จำเลยฎีกา พิเคราะห์แล้ว คงมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า ที่ดินแปลงที่ 3 ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.3 เป็นของจำเลยด้วยหรือไม่ได้ความจากสารบัญจดทะเบียนโฉนดที่ดินเลขที่ 4378 ตำบลบางอ้อ อำเภอบางกอกน้อย (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร ซึ่งโจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยมีกรรมสิทธิ์รวมว่า เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2493 นางชุบ นายวัฒนา นางสาวสำอาง ซึ่งเป็นชื่อของจำเลยในขณะนั้น และเด็กชายอุดม ได้รับโอนมรดกมาจากนางบาง โดยมิได้ระบุจำนวนสัดส่วนที่แต่ละคนได้รับจำเลยและผู้ได้รับมรดกดังกล่าวต่างเป็นบุตรของนางบาง จึงเป็นทายาทในลำดับเดียวกันย่อมต้องได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์มรดกของนางบางเท่ากัน ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1633 บัญญัติไว้ หากจำเลยได้รับมรดกที่ดินมากกว่าพี่น้องคนอื่นดังที่จำเลยกล่าวอ้างจริง ก็น่าจะแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินจดบันทึกไว้ในสารบัญจดทะเบียนด้วย แต่ก็หาได้มีการจดแจ้งดังกล่าวแก่เจ้าพนักงานไม่ โฉนดที่ดินและสารบัญจดทะเบียนโฉนดที่ดินเลขที่ 4378 เป็นเอกสารมหาชนที่รัฐออกให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ ย่อมสันนิษฐานไว้ก่อนว่าได้ออกมาโดยถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 เมื่อโฉนดที่ดินดังกล่าวมีชื่อนางชุบนายวัฒนา และจำเลยเป็นเจ้าของผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันย่อมสันนิษฐานได้ว่าจำเลยกับพี่น้องมีส่วนเป็นเจ้าของเท่ากัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1357 การที่จำเลยอ้างว่าจำเลยได้รับส่วนแบ่งมากกว่าพี่น้องคนอื่น จำเลยจึงมีหน้าที่นำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว ที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแปลงที่ 3 ด้วย โดยมีนางวนิดา และนางชุบมาเบิกความสนับสนุนนั้น แม้จะรับฟังว่าจำเลยครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินแปลงที่ 3 จริง แต่คดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยครอบครองที่ดินแปลงที่ 3 ด้วยความสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของหรือไม่ ดังนั้นแม้จำเลยจะครอบครองมานานเพียงใด จำเลยก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงที่ 3 โดยการครอบครองปรปักษ์ นอกจากนี้ข้อนำสืบของจำเลยก็ไม่ได้ความชัดแจ้งว่า จำเลยได้รับมรดกที่ดินมาเป็นจำนวนเนื้อที่ดินเท่าไร พยานหลักฐานของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าวได้ ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์มากกว่าพี่น้องคนอื่น จำเลยจึงมีสิทธิในที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์มรดกเพียง 1 ใน 4 และได้ความว่าที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 4378 ที่มีเนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 60 ตารางวา สิทธิ 1 ใน 4 ของจำเลยย่อมเท่ากับ 340 ตารางวา ส่วนนางชุบ นายวัฒนา และนายอุดมมีสิทธิในที่ดินรวมกัน 1,020 ตารางวา หรือ 2 ไร่ 2 งาน 20 ตารางวา แต่นางชุบ นายวัฒนา และนายอุดม ได้ขายที่ดินในส่วนของตนและโอนกรรมสิทธิ์เปลี่ยนเจ้าของต่อๆ มา จนกระทั่งโอนมายังโจทก์ทั้งเจ็ด โจทก์ทั้งเจ็ดย่อมมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินรวมกัน 2 ไร่ 2 งาน 20 ตารางวา ตามสิทธิที่นางชุบ นายวัฒนา และนายอุดมมีอยู่นอกจากนั้นเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2509 จำเลยยังโอนกรรมสิทธิ์ส่วนของตนตามคำสั่งศาลให้แก่นายถาวร 40 ใน 300 ส่วนแล้วนายถาวรขายที่ดินดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่นและโอนขายต่อๆ มายังโจทก์ที่ 7 โจทก์ที่ 7 จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนของจำเลยที่ขายให้แก่นายถาวรด้วย แต่ไม่ปรากฏจากทางพิจารณาว่า 300 ส่วนนั้น มีความหมายอย่างไรแต่เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าที่ดินที่จำเลยได้รับโอนมรดกจากนางบางมีเพียง 1 ใน 4 หรือ 340 ตารางวา คำว่า 300 ส่วนย่อมต้องหมายถึงที่ดิน 340 ตารางวาด้วย เมื่อจำเลยโอนให้นายถาวรไปแล้ว 40 ส่วน จำเลยจึงเหลือกรรมสิทธิ์ในที่ดินเพียง 260 ส่วน หรือเท่ากับ 294 ตารางวา ส่วนนายถาวรได้รับกรรมสิทธิ์ 45 ตารางวา ภายหลังโจทก์ทั้งเจ็ดได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว เมื่อนำมารวมกับที่ดินจำนวน 2 ไร่ 2 งาน ตารางวา ที่โจทก์ทั้งเจ็ดถือกรรมสิทธิ์อยู่แล้ว โจทก์ทั้งเจ็ดจึงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 4378 รวมกันทั้งสิ้น 2 ไร่ 2 งาน 65 ตารางวา แต่ปรากฏว่าเมื่อเจ้าพนักงานรังวัดที่ดินดังกล่าวเพื่อจัดทำแผนที่พิพาทสามารถรังวัดเนื้อที่ดินได้เพียง 3 ไร่ 50 ตารางวา มีเนื้อที่ดินหายไป 110 ตารางวา โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยย่อมต้องได้รับเนื้อที่ดินน้อยลงเฉลี่ยกันไปตามอัตราส่วนของการถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งเมื่อคำนวณทางคณิตศาสตร์แล้ว โจทก์ทั้งเจ็ดจะได้รับเนื้อที่ดินน้อยลง 86 ตารางวา คงเหลือเนื้อที่ดินตามความเป็นจริง 2 ไร่ 1 งาน 79 ตารางวา ส่วนจำเลยจะได้รับเนื้อที่ดินน้อยลง 23 ตารางวา คงเหลือเนื้อที่ดินตามความเป็นจริง 270 ตารางวา จำนวนเนื้อที่ดินจำเลยคงเหลืออยู่ใกล้เคียงกับจำนวนเนื้อที่ดินแปลงที่ 2 ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.3 ย่อมแสดงว่าจำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงที่ 3 คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาในประเด็นอื่นของจำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว” | |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2013-05-19 11:22:52 |
[1] |