ReadyPlanet.com


มีภรรยาใหม่แล้ว แต่ยังไม่ได้หย่า แต่ภรรยาก็ยังตามมาอยู่ด้วย


ตอนอนี้ผมทำงานอยู่ต่างจังหวัดประมาณ 2 เดือนถึงจะกลับบ้านเพื่อไปเยี่ยมลูกและได้แยกตัวมาอยู่ที่บ้านของตัวเองได้ประมาณ 1 ปี แต่ภรรยาก็ยังตามมาอยู่ด้วยโดยที่ผมไม่เต็มใจให้เธอมา ตอนนี้ผมมีแฟนใหม่และอยากหย่าขาดกับภรรยาแต่เธอไม่ยอมแถมยังไปฟ้องผู้บังคับบัญชาของผมกับแฟนใหม่ผมจะทำอย่างไรจึงจะฟ้องหย่าเธอได้



ผู้ตั้งกระทู้ หยากหย่า :: วันที่ลงประกาศ 2007-12-19 07:45:52


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1615136)

การฟ้องหย่า ต้องมีเหตุตามกฎหมาย เช่น

1. คุ่สมรสมีชู้ ประพฤติชั่ว  ทำร้ายร่างกายร้ายแรง  จงใจทิ้งร้างกันเกินหนึ่งปี  สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปี  ไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดู  เป็นโรคติดต่ออย่างร้ายแรง

ฝ่ายที่ไม่ผิดฟ้องหย่าได้

2. กรณีของคุณไม่ปรากฎว่าฝ่ายภรรยามีความผิดใดจะเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ ก็ต้องตกลงกันให้เป็นที่พอใจทั้งสองฝ่ายว่าขอหย่ากันโดยความยินยอม เช่นให้ค่าเลี้ยงชีพเป็นต้น (พูดแบบชาวบ้านก็คือจ้างหย่า)

อย่าลืมว่า ถ้าคุณยังมีทะเบียนสมรสอยู่กับภรรยาเดิมแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ต่อมาคุณทำธุรกิจร่ำรวยขึ้นมาทรัพย์สินของคุณคือสินสมรสแม้ภรรยามิได้ร่วมทำมาหากินด้วยก็ตามนะครับ

3. ตามที่คุณให้ข้อมูลว่าปัจจุบันมีคนรักใหม่แล้วยังไม่ได้จดทะเยียน เพราะติดทะเบียนสมรสเดิมนั้น กรณีเช่นนี้ภรรยาเดิมที่ชอบด้วยกฎหมายสามารถฟ้องหญิงคนรักใหม่ของคุณให้จ่ายค่าเสียหายเป็นค่าทดแทน มาตรา 1523 ได้นะครับ

มาตรา 1523  เมื่อศาลพิพากษาให้หย่ากันเพราะเหตุตามมาตรา 1516 (1) ภริยาหรือสามีมีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากสามีหรือภริยาและจากผู้ซึ่งได้รับการอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่อง หรือผู้ซึ่งเป็นเหตุแห่งการหย่านั้น
สามีจะเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินภริยาไปในทำนองชู้สาวก็ได้ และภริยาจะเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาวก็ได้


ถ้าสามีหรือภริยายินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้อีกฝ่ายหนึ่งกระทำการตามมาตรา 1516 (1)  หรือให้ผู้อื่นกระทำการตามวรรคสอง สามีหรือภริยานั้นจะเรียกค่าทดแทนไม่ได้

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ทนาย ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ 0859604258 วันที่ตอบ 2007-12-19 18:52:55


ความคิดเห็นที่ 2 (1615137)

ดูตัวอย่างคำพิพากษาฎีกานี้นะครับ

โจทก์กับจำเลยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายจดทะเบียนสมรสเมื่อวั้นที่ 18 มกราคม 2534 ไม่มีบุตรด้วยกัน ต่อมาในเดือนเมษายน 2545 โจทก์ทราบว่าจำเลยอุปการะเลี้ยดูหรือยกย่องนาง.....(เอ).........ฉันภริยาและมีบุตรด้วยกัน 1 คน โดยแสดงออกเปิดเผยต่อบุคคลทั่วไปว่านางเอเป็นภริยาของจำเลย ทำให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรงขอให้พิพากษาให้จำเลยไปจดทะเยียนหย่ากับโจทก์ ถ้าไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยให้การว่า เมื่อโจทก์ทราบว่าจำเลยได้อุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องนางเอ ฉันภริยาและมีบุตรด้วยกัน โจทก์เพียงแต่ตัดพ้อต่อว่าเล็กน้อย ในที่สุดก็ยอมรับความจริงทั้งให้อภัยในความผิดที่จำเลยทำ และยินยอมให้จำเลยอยู่กินกับนางเอ เพราะโจทก์มีบุตรไม่ได้ โจทก์ทราบว่าจำเลยไปนอนค้างที่บ้านนางเอ  แต่ก็ไม่ได้ว่ากล่าวเอาความอะไร จำเลยมิได้กระทำให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้า ญาติพี่น้อง เพื่อนของโจทก์และจำเลยทราบถึงสภาพการมีสองครอบครัวของจำเลยและโจทก์ การอยู่กินกับนางเอ  เป็นไปในลักษณะปิดบังซ่อนเร้นไม่ได้แสดงต่อสังคมทั่วไปว่าเป็นภริยา จำเลยยังให้เกียรติและยกย่องว่าโจทก์เป็นภริยา ทั้งนี้ได้อุปการะเลี้ยงดูโจทก์มาโดยตลอกไม่เคยทำร้ายร่างกายโจทก์และหมิ่นประมาทโจทก์กับบุพการีของโจทก์ สิทธิฟ้องหย่าโดยอาศัยเหตุที่จำเลยมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นขาดอายุความเพราะโจทก์ฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่ทราบเหตุดังกล่าว และโจทก์ก็ได้ให้อภัยในการกระทำของจำเลยซึ่งโจทก์อ้างเป็นเหตุฟ้องหย่านั้นแล้วขอให้ยกฟ้อง

ก่อนสืบพยานจำเลยแถลงว่าจำเลยได้อุปการะเลี้ยงดูนางเอ  ฉันภริยาตั้งแต่ต้นปี 2531 หลังจากนั้นประมาณ 3 เดือน โจทก์ทราบเรื่องและไม่ติดใจที่จำเลยจะมีนางเอ  เป็นภริยาและให้อภัยจำเลยตลอดมา ส่วนโจทก์แถลงว่า โจทก์ทราบว่าจำเลยมีความสัมพันธ์กับนางเอ ในปี 2539 แต่ยังไม่แน่ชัดว่าจำเลยจะจริงจังกับนางเอ  หรือไม่ เพราะขณะนั้น จำเลยยังมีหญิงอื่นอีกหลายคน จนเมื่อเดือนเมษายน 2545 โจทก์จึงทราบว่าจำเลยกับนางเอ  มีบุตรด้วยกัน  โจทก์ไม่เคยให้อภัยจำเลยและรู้เห็นเป็นใจให้จำเลยมีหญิงอื่น ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้อง  คำให้การ และข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยาน จึงให้งดสืบพยาน โจทก์และจำเลย ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 18 กันยายน 2546

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2007-12-19 19:19:27


ความคิดเห็นที่ 3 (1615138)

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยฏีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า    ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติว่าโจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายระหว่างอยู่กินกันฉันสามีภริยา จำเลยได้นางเอ  เป็นภริยาและมีบุตรด้วยกัน 1 คน อันเป็นการอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องนางเอ  ฉันภริยาจนปัจจุบัน

ก่อนสืบพยาน ศาลชั้นต้นพิเคราะห็คำฟ้อง คำให้การ และข้อเท็จจริงที่คู่ความแถลงตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 18 กันยายน 2546 แล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยาน จึงมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย

คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคสอง และมาตรา 104 นั้น ไม่ชอบ เพราะข้อเท็จรริงยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ยินยอมและให้อภัยในเรื่องที่จำเลยอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องนางเอ  ตามที่จำเลยให้การต่อสู้หรือไม่ ทั้งการที่มิได้มีการสืบพยานจึงไม่อาจทราบได้ว่าพยานที่งดสืบเป็นพยานที่ฟุ่มเฟือยเกินสมควรหรือประวิงให้ชักช้า หรือไม่เกี่ยวแก่ประเด็นอย่างไร เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคสอง และมาตรา 104 ดังกล่าวเป็นบทบัญญัติที่ให้อำนาจศาลชั้นต้นที่จะใช้ดุลพินิจว่าจะสืบพยานหลักฐานที่คู่ความประสงค์จะสืบหรือไม่เพียงใด คดีนี้เมื่อพิเคราะห์คำฟ้อง คำให้การและคำแถลงของโจทก์และจำเลยตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น แล้วเห็นว่า มีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีแล้วว่า มีเหตุฟ้องหย่าประการใดประการหนึ่งตามฟ้องหรือไม่ และโจทก์ได้ยินยอมหรือให้อภัยเรื่องที่จำเลยอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องนางเอ  ฉันภริยาแล้วหรือไม่ แม้ข้อเท็จจริงที่ฟังได้จะเป็นเพียงเหตุหย่าเหตุหนึ่งในจำนวนเหตุหย่าหลายเหตุตามฟ้องก็ตาม ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานหลักฐานโจทก์และจำเลย ซึ่งถือเสมือนว่าพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยจะนำมาสืบนั้นเป็นพยานหลักฐานที่ฟุ่มเฟือยเกินสมควรหรือประวิงให้ชักช้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคสอง และ มาตรา 104 จึงชอบแล้ว ฎีกา ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปมีว่า โจทก์ได้ยินยอมและให้อภัยในเรื่องที่จำเลยอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องนางเอ  ฉันภริยาแล้ว โจทก์จึงจะยกเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1517 วรรคหนึ่ง และสิทธิฟ้องหย่าย่อมหมดไปตามมาตรา 1518 หรือไม่เห็นว่า การยินยอมและให้อภัยตามบทกฎหมายดังกล่าวหมายถึง คู่สมรสฝ่ายที่ยินยอมและให้อภัยได้ทราบข้อเท็จจริงทั้งหมดเกี่ยวกับการกระทำอันเป็นเหตุให้เกิดสิทธิฟ้องหย่านนั้น แต่แสดงเจตนาให้ปรากฎอย่างชัดแจ้งว่าอนุญาตให้กระทำหรือจะไม่ใช้สิทธิฟ้องหย่า คดีนี้จำเลยให้การและฎีกาอ้างว่า เมื่อโจทก์ทราบว่าจำเลยได้อุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องนางเอ  ฉันภริยาแล้ว โจทก์มิได้ยกเป็นเหตุฟ้องหย่าจำเลยเสียแต่แรกทั้งยังแสดงกริยาไม่เอาเรื่องเอาความ ยอมรับสถานะการมีสองภริยาของจำเลย จึงถือได้ว่าโจทก์ให้อภัยในการกระทำผิดของจำเลยแล้ว เห็นว่า เพียงพฤติการณ์ของโจทก์ตามข้อต่อสู้ของจำเลยดังกล่าว โจทก์มิได้กระทำการใดอันเป็นการแสดงออกให้ปรากฏโดยชัดแจ้งพอที่จะเห็นเจตนาของโจทก์ว่ายินยอมหรือให้อภัยแล้ว อย่างไรก็ตามปรากฏจากคำแถลงของโจทก์จำเลยในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ว่า โจทก์มิได้ยินยอมและให้อภัยในการกระทำของจำเลยแต่เนื่องจากโจทก์ไม่ทราบแน่ชัด และไม่คาดคิดว่าจำเลยจะจริงจังกับนางเอ  เพราะขณะนั้นโจทก์ไม่ทราบว่าจำเลยจะอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องนางเอ  ฉันภริยา ข้อเท็จจริงจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์เคยยินยอมหรือให้อภัยในเรื่องที่จำเลยอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องนางเอ  ฉันภริยาโจทก์จึงมีสิทธิที่จะฟ้องหย่าจำเลยด้วยเหตุหย่าดังกล่าวได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2007-12-19 20:48:32


ความคิดเห็นที่ 4 (1615139)

ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายมีว่า สิทธิฟ้องร้องของโจทก์โดยอาศัยเหตุหย่าในมาตรา 1516(1) ระงับไปเพราะโจทก์นำคดีมาฟ้องเมือพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันรู้หรือควรรู้เหตุหย่านั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529 หรือไม่ เห็นว่า การอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องหญิงอื่นเป็นเหตุฟ้องที่มีพฤติการณ์ที่ต่อเนื่อง ดังนั้นตราบที่จำเลยยังอุปการะเลี้ยงดู หรือยกย่องนางเอ  ฉันภริยา เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516(1) ก็ยังคงมีอยู่ แม้โจทก์จะทราบพฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยดังกล่าวมาเกิน 1 ปีแล้วโจทก์ก็ยกเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ สิทธิฟ้องร้องของโจทก์จึงไม่ระงับไปตามมาตรา 1529 และคดีไม่จำต้องวินิจฉัย ปัญหาอื่นตามฎีกาของจำเลยอีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน

ที่มา**คำพิพากษาฎีกาที่ 3190/2549

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2007-12-19 21:00:20


ความคิดเห็นที่ 5 (1615140)

คำพิพาษาฎีกาที่  5627/2530

 

ค่าอุปการะเลี้ยงดูในระหว่างที่สามีภริยาแยกกันอยู่นั้นฝ่ายที่มีความสามารถ หรือฐานะด้อยกว่าและแยกไปอยู่โดยสุจริตชอบที่จะได้รับการช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูจากอีกฝ่าย   เมื่อโจทก์จำเลยต่างสมัครใจแยกกันอยู่ชั่วคราวโดยไม่ใช่ความผิดของจำเลยและจำเลยไม่มีอาชีพหรือรายได้เพียงพอ  โจทก์ซึ่งอุปการะเลี้ยดูจำเลยมาตลอดและอยู่ในฐานะที่สามารถจะอุปการะเลี้ยงดูจำเลยได้จึงมีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยดูจำเลย

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-01-01 10:54:59


ความคิดเห็นที่ 6 (2184918)

แฟนมีภรรยาแล้ว อยู่ด้วยกันมา 14 ปี มีลูกสาว 2 คน อายุ 16 ปี กับ 10 ปี แล้วแฟนไปทำงานต่างประเทศกลับมา ปรากฏว่าภรรยาเปลี่ยนไปมากเป็นคนล่ะคน ไม่ยอมให้สามีนอนด้วย และแสดงอาการไม่พอใจที่เห็นสามีกลับมาจากต่างประเทศ ทั้งๆ ที่ห่างกันมาตั้ง 2 ปี ไม่มีการแสดงอาการออกมาเลยว่าคิดถึงหรือว่ารัก ก่อนหน้านั้นครึ่งปีแรกก็มีคนโทรไปบอกว่าภรรยามีผู้ชายมาผัวพันเยอะระหว่างที่ไม่อยู่ชาวบ้านนินทากันมากจนต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น ทั้งๆ ที่อยู่ตรงนั้นกว่า 10 ปี แต่แฟนก็ไม่ค่อยเชื่อญาติพี่น้องสักเท่าไหร่  จนกระทั่งกลับมาเจอด้วยตนเอง ก็อยู่ด้วยไม่ได้ ต้องกลับไปเยี่ยมลูกที่ต่างจังหวัด เพราะไม่รู้จะทำยังไง แล้วก็เก็บของออกมาจากห้องของภรรยา ประมาณ 4 เดือน ระหว่าที่ย้ายออกมาอยู่คนเดียวก็ยังติดต่อกับภรรยาอยู่เผื่อว่าภรรยาจะกลับตัวกลับใจเพราะสงสารลูก แต่ทางฝ่ายภรรยาก็ไม่ยอมรับว่ามีคนใหม่ เอาชู้ใหม่มาอยู่บ้านแบบไม่ให้ใครรู้ แต่ก็ไม่ยอมให้สามีที่จดทะเบียนมาอยู่บ้านด้วย ซึ่งที่ผ่านมาแฟนของดิฉันก้ไม่เคยใช้ความรุนแรงกับภรรยาของเขาเลย ทั้งๆ ที่รู้ว่าแฟนเล่นชู้ แต่แฟนก็ไม่ยุ้งด้วย ติดต่อแต่เรื่องลูกอย่างเดียว จนหลังจาก 4 เดือนเขาก็ได้มาเจอดิฉัน แล้วก็โทรคุยกันเหมือนเพื่อน แฟนของดิฉันไม่เคยโกหกว่าโสด เลย และเล่าทุกเรื่องให้ดิฉันฟังตลอด ส่วนตัวดิฉันเองก้ให้พยายามอดทน สักวันเขาคงคิดได้ ดิฉันไม่เคยคิดที่จะทำให้แฟนของดิฉันเกลียดภรรยาของเขาเลย ให้พยายามกลับไปอยู่ด้วยกันตลอด จนกระทั่งกลายเป็นความสงสาร และรักกัน แฟนดิฉันขอคบหาดูใจกับดิฉัน  ดิฉันก็ยอมคบหาดูใจกัน  ผ่านมา ปีที่ 3 แล้วค่ะ แต่มีปัญหาที่ว่าภรรยาไม่ยอมหย่าสักที ไม่ยอมให้ลูกมาเลี้ยงแม้แต่คนเดียว อ้างว่าถ้าไม่มีเงินส่งมาให้ก็จะเอาลูกไปขาย (เขาเป็นคนเหนือ) ชอบโทรมาขอเงิน แล้วก็เอาลูกมาอ้างค่าโน่นค่านี้ มีครั้งหนึ่งแฟนไปทำงานต่างประเทศ 4 เดือน แล้วเงินเดือนค่อนข้างจะสูง เขาก็ใช้ลูกมาอ้างให้กลับมาอยู่บ้าน ซึ่งตอนนั้นเขาไม่มีทางไปแล้ว (เรื่องผู้ชาย และเรื่องเงิน) แฟนของดิฉันก็ขอดิฉันกลับไปอยู่บ้านบอกว่าสงสารลูก ดิฉันเสียใจมาก แต่ก็ทนพูดแบบเข้าใจออกไปว่ากลับไปก็ดีแล้ว ลูกจะได้ไม่มีปัญหา แต่พอกลัไปได้ไม่ถึง 2 อาทิตย์ก็ทนไม่ได้ ครอบครัวเขาจะเอาแต่เงินอย่างเดียว ขอค่าโน่น ค่านี้ แม้แต่บ้านที่แฟนปลูกให้ราคาเป็นล้าน ก็เอาไปจำนอง แฟนดิฉันต้องเอาเงินไปไถ่บ้านอกมา และค่าอย่างอื่นอีกมากมาย ราวๆ เกือบ 300,000 บาท พอแฟนเริ่มไม่ให้เงินใช้แบบฟุ้มเฟือยก็หาเรื่องไล่ออกจากบ้าน ดิฉันเข้าใจน่ะค่ะว่าตอนแรกแฟนดีใจมากที่ภรรยาให้กลับไปอยู่บ้าน จะได้มีความสุขครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา แฟนดิฉันไม่ค่อนสบายใจถ้าเกิดว่าดิฉันเป็รทุกข์เรื่องที่ขอกลับไปอยู่บ้าน ดีที่ดิฉันไม่แสดงอาการให้เขารู้ว่าดิฉันเสียใจมากขนาดไหนออกไป ส่วนเพื่อนฝูง ญาติพี่น้องก็พยายามห้ามแฟนไม่ให้กลับไป เพราะก็รู้ว่ากลับไปก็ต้องเจอสภาพเหมือนเดิมอีก เพื่อนฝูงญาติพี่น้องของแฟนดิฉันก็พยายามบอกให้ดิฉันอดทนรอ  แต่ดิฉันก็ไม่ติดต่อใครเลย เบอร์โทรศัพท์ที่ดิฉันเคยใช้มา 6-7 ปี ก้ต้องเปลี่ยน บ้านที่เคยอยู่ ที่ทำงานที่เคยทำก็ต้องเปลี่ยนใหม่เหมดทุกอย่าง เพื่อที่จะไม่ให้เขาติดจ่อหาดิฉันเจอ ดิฉันตัดสินใจหนีตั้งแต่วันแรกที่ยอมให้เขากลับไปอยู้บ้านแล้ว เพราะดิฉันรู้ว่าเขาต้องโทรมาหาดิฉันอีก เพื่อคุยเรื่องทุกอย่าง แต่ดิฉันไม่ต้องการให้เขาห่วงหน้าห่วงหลังเรื่องของดิฉัน ดิฉันก็เลยต้องหนีไปเขากลับไปอยู่บ้านไม่ถึง 2 อาทิตย์ ก็อยู่ไม่ได้ เขาออกตามหาดิฉัน จนเจอ ตอนนั้นดิฉันก็ยังทำใจไม่ได้เลยเรื่องของเขา เพราะก่อนหน้านั้นภรรยาของเขาและญาติพี่น้องของเขาโทรมาด่าดิฉัน หาว่าดิฉันเป็นตัวปัญหาทำให้ครอบครัวเขาแตกแยก หาว่าดิฉันเป็นเมียน้อยคอยสร้างปัญหาให้ครอบครัวเขา ใช่ว่าดิฉันจะยอมคน เพราะดิฉันคิดว่าดิฉันพยายามทำในสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว เขาก็โดนดิฉันตอบกลับไปหลายอย่างเหมือนกัน จนทุกวันนี้ไม่กล้าแม้แต่จะโทรด่าดิฉันอีก เพราะเขารู้ว่าดิฉันไม่เคยมีปัญหากับใครก่อน แต่ถ้าเขามาก่อกวนดิฉันอีก ดิฉันก็จะดำเนินคดีตามกฏหมายทุกอย่าง ดิฉันเถียงกับภรรยาเขาให้วุ่นวาย แต่อยากด่าดิฉันก็ต้องมีปัญหากับดิฉันไม่รู้จักจบ เขาก็คงจะคิดว่าทำอะไรดิฉันไม่ได้ เพราะดิฉันมาดี ไปดีกับแฟนมาตลอด แม้แต่ชาวบ้านแถวนั้นก็สงสารดิฉัน เห็นมาตลอดว่าดิฉันใจกว้างมากพอ และมีเหตุผลมากพอที่จะคิดได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ล่าสุดดิฉันก็กลับมาอยู่กับแฟนใหม่หลังจากที่หนีไป ก็อยู่ด้วยกันเกือบ 1 ปี แล้ว รวบจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาตั้งแต่แรกแฟนก้แยกกันอยู่เกือบ 3 ปีแล้วค่ะ แต่สิ่งสำคัญก็คือว่าภรรยาของเขาไม่ยอมไปหย่าให้สักที ซึ่งแฟนของดิฉันก็ต้องการมีชีวิตใหม่กับดิฉัน ต้องการมีครอบครัวที่สมบูรณ์ และก็จะไปสู่ขอกับพ่อแม่ของดิฉันปลายปี 2554 นี้ แต่ดิฉันไม่อย่างให้มีปัญหาเรื่องที่ยังไม่ได้หย่ากัน ซึ่งแฟนของดิฉันก็ไม่มีความเดือดร้อนใจมากเท่าไหร่ เพราะดิฉันก็รับได้ พ่อแม่ดิฉันก็รับได้ เพราะเขาเป็นดีมากสำหรับดิฉันครอบครัวของดิฉันและเพื่อนฝูงของเขา แต่ดิฉันมองในแง่อนาคตของลูกดิฉัน ถ้าสักวันมีปัญขึ้นมา เช่น ภรรยาของอยากที่จะมาโวยวายเอาเงินทอง ค่าเลื้ยงดูลูกที่ผ่านมา ดิฉันก็ไม่รู้ว่าจะเกิดปัญหาตามมามากแค่ไหน เพราะดิฉันบอกกับแฟนตลอดมาว่าให้โทรไปหาลูกของเขาบ้าง ส่งเงินไปฝห้ลูกบ้าง เพราะอย่างไรภรรยาไม่ดีไม่อยากคุยกับภรรยาก็ให้คิดถึงลูกบ้าง เพราะเด็กไม่ได้มาก่อปัญหาด้วยเลย แฟนของดิฉันก้ไม่โทรหาเลย บอกว่าพอโทรหาแม่ยายก็ชอบแย่งโทรศัพท์มาคุย แล้วก็เอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคุย ซึ่งแฟนบอกว่าไม่อยากรับรู้อีกต่อไป ส่งเงินให้ลู ลูกก็ไม่ได้ใช้สักเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าครอบครัวของเขาไปทำอะไรกันหมดก็เลยไม่อยากโทรไป ดิฉัรเป้นห่วงเรื่องอาณาคตของดิฉันและลูกกลัวปัญหาเก่าๆ จะตามมา แฟนดิฉันบอกว่า ไม่ได้หย่าก็เหมือนหย่า เพราะไม่ได้อยู่ด้วยกันนานแล้ว พอจะมีวิธีไหนบ้างไหมค่ะ ที่ดิฉํนกับสามีจะสามารถจดทะเบียนสมรสกันโดยไม่มีปัญหาอะไร ทั้งๆ ที่ไม่ได้หย่ากับภรรยาเก่า ซึ่งดิฉันเคยได้ยินเพื่อนๆ ของดิฉันและเพื่อนๆของแฟนดิฉันล่าให้ฟังว่า แยกกันอยู่แบบไม่ได้หย่า 3 ปี ก็สามารถจดทะเบียนสมรสกับภรรยาคนใหม่ได้ ซึ่งทะเบียนสมรสเก่าที่จดกับภรรยาเก่าก็ถือว่าโมฆะไป ไม่ทราบว่าพอจะช่วยแนะนำได้บ้างไหมค่ะ เพราะแฟนบอกว่าก็ไม่อยากจะฟ้องหย่ากับภรรยาเก่าเพราะไม่อยากที่จะเกี่ยวฆ้องกันและไม่อยากเห็นหน้าเขาอีก ดิฉันก็เลยไม่รู้จะทำอย่างไรค่ะ ช่วยแนะนำหน่อยได้ไหมค่ะ ขอบคุณมากค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น phing วันที่ตอบ 2011-06-08 18:17:32


ความคิดเห็นที่ 7 (2184942)

ตอบ คุณ phing

ผมฟังดูแล้ว ผมว่าคุณอาจถูกผู้ชายหลายใจโกหาก็อาจเป็นได้นะ แยกกันอยู่เกินสามปีฟ้องหย่าได้ก็จริง แต่ต้องได้ความว่า เขาทั้งสองสมัครใจแยกกันอยู่ ดังนั้นในเวลาที่อยู่ต่อหน้าศาลทางภรรยาเขาก็จะบอกศาลว่าเขาไม่ได้สมัครใจแยกกันอยู่ แต่บอกว่าสามีเขาไปมีเมียน้อย ตัวเขายังรับและคิดถึงสามีของเขาตลอดเวลา อย่างนี้สามีคุณคงแพ้คดีแน่ ๆ ครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-06-08 19:17:03



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล