ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร ได้หรือไม่ | |
ดิฉันรู้จักกับผู้ชายคนหนึ่ง เขาบอกว่าเลิกกับเมียแล้ว เมื่อสอบถามถึงเมียเก่าทีไรก็บ่ายเบี่ยงไม่ค่อยตอบโดยอ้างว่าเรื่องมันผ่านมาแล้วจะรู้ไปทำไป เขาเคยพาดิฉันไปที่บ้านแม่ของเขาเป็นครั้งคราว อีกทั้งพาไปรู้จักเพื่อนของเขามากมาย จนดิฉันเชื่อสนิทว่าเขาเลิกกับเมียแล้ว แต่เขาไม่ค่อยได้ค้างที่คอนโดของดิฉันเท่าไร เพราะอ้างว่าต้องตื่นแต่เช้าไปส่งหลาน ไม่สะดวก ดิฉันถามมากๆ ก็ว่าจะรู้ไปทำไม ต่อมาดิฉันท้อง เขากลับทำตัวห่างเหินไป และสอบถามเพื่อนเขาบอกว่าเขาพูดกับเพื่อนว่าลูกในท้องดิฉันจะใช่ลูกเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทำให้ดิฉันเสียใจมาก ปัจจุบันลูกอายุได้ 1 ขวบครึ่งแล้ว ขอถามว่าดิฉันจะฟ้องให้เขาจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้หรือไม่ ต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างไร และใช้เวลานานเท่าไร | |
ผู้ตั้งกระทู้ ขวัญนภา :: วันที่ลงประกาศ 2008-05-01 15:27:02 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (1615365) | |
มาตรา 1564 บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควร แก่บุตรในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตร ซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่เฉพาะ ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้ กฎหมายบอกว่า ให้บิดามารดก มีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่บุตรผู้เยาว์ตามสมควร ขอเน้นว่าเป็นบุตรผู้เยาว์นะครับ ผู้เยาว์ก็คือผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะครับอายุยังไม่ครบ 20 ปี บริบูรณ์ และคำว่าตามสมควรก็คือตามฐานานุรูปของผู้ให้ หมายความว่า ผู้ให้มีรายได้รายรับอย่างไรก็เป็นไปตามมีตามควร กฎหมายกำหนดหน้าที่ให้บิดามารดาต้องดูแลบุตรผู้เยาว์ตามฐานะไม่ต้องกู้หนี้ยืมสินจนต้องเดือดร้อน แต่ถ้าเป็นความสมัครใจก็ไม่มีกฎหมายห้ามไว้นะครับ หน้าที่ที่กฎหมายกำหนดข้างต้นเป็นหน้าที่ของบิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้นนะครับ ตามปัญหาของคุณแสดงว่าคุณไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันดังนั้นคุณไม่ได้เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายดังนั้น มาตรา 1546 เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชาย ให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น บุตรที่เกิดมาย่อมเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของคุณเพียงผู้เดียว ส่วนบิดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาจึงเป็นบิดานอกกฎหมาย จึงไม่มีหน้าที่ ที่จะต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ แล้วทำอย่างไรถึงจะให้บิดามารับผิดชอบค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้???? มาตรา 1547 เด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน จะเป็นบุตรชอบ ด้วยกฎหมายต่อเมื่อบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลัง หรือบิดาได้จด ทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร ก็เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดข้างต้น และในกรณีของคุณพ่อเด็กคงไม่ยินยอมมาจดทะเบียนกับคุณแน่ ประเด็นต่อมาคือแล้วเขาจะไปจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรแต่โดยดีหรือไม่ ตามปัญหาบอกว่าเขาห่างเหินคุณไปโดยยังพูดกับเพื่อนๆ ของเขาอีกว่าเด็กในท้องไม่ใช่ลูกของเขา ดังนี้เห็นว่าเขาคงไม่ไปจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรแน่ ทางออกก็คือไปฟ้องให้ศาลมีคำสั่งให้รับเด็กเป็นบุตร มาตรา 1555 ในคดีฟ้องขอให้รับเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ (1) เมื่อมีการข่มขืนกระทำชำเรา ฉุดคร่า หรือหน่วงเหนี่ยวกักขังหญิงมารดาโดยมิชอบด้วยกฎหมายในระยะเวลาซึ่งหญิงนั้นอาจตั้งครรภ์ได้ (2) เมื่อมีการลักพาหญิงมารดาไปในทางชู้สาวหรือมีการล่อลวงร่วมประเวณีกับหญิงมารดาในระยะเวลาซึ่งหญิงนั้นอาจตั้งครรภ์ได้ (3) เมื่อมีเอกสารของบิดาแสดงว่าเด็กนั้นเป็นบุตรของตน (4) เมื่อปรากฏในทะเบียนคนเกิดว่าเด็กเป็นบุตรโดยมีหลักฐานว่าบิดาเป็นผู้แจ้งการเกิดหรือรู้เห็นยินยอมในการแจ้งนั้น (5) เมื่อบิดามารดาได้อยู่กินด้วยกันอย่างเปิดเผยในระยะเวลาซึ่งหญิงมารดาอาจตั้งครรภ์ได้ (6) เมื่อได้มีการร่วมประเวณีกับหญิงมารดาในระยะเวลาซึ่งหญิงนั้นอาจตั้งครรภ์ได้ และมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเด็กนั้นมิได้เป็นบุตรของชายอื่น (7) เมื่อมีพฤติการณ์ที่รู้กันทั่วไปตลอดมาว่าเป็นบุตร จากข้อกฎหมายข้างต้นเมื่อพิจารณากรณีของคุณแล้วใน (3) เมื่อมีเอกสารของบิดาแสดงว่าเด็กนั้นเป็นบุตรของตน ในกรณีที่มีเอกสารใดๆ ระบุว่าบิดาคือชายผู้มีความสัมพันธ์กับคุณและที่คุณอ้างว่าเป็นบิดาของเด็ก ประการต่อมาคือ (4) เมื่อปรากฏในทะเบียนคนเกิดว่าเด็กเป็นบุตรโดยมีหลักฐานว่าบิดาเป็นผู้แจ้งการเกิดหรือรู้เห็นยินยอมในการแจ้งนั้น ในกรณีที่บิดาไปแจ้งเกิดด้วยตัวเองก็จะปรากฎชื่อของบิดาในสูติบัตร ก็จะเข้าข้อสันนิษฐานของกฎหมาย หากบิดาไม่ยอมรับก็มีหน้าที่ต้องพิสูจน์ต่อศาลว่าเป็นเพราะเหตุใด ประการต่อมาก็คือในกรณีที่ชายนั้นไปมาหาสู่และแสดงโดยเปิดเผยให้ทางบ้านเขารู้จักคุณรวมตลอดถึงเพื่อนๆ ของเขานั้นและแสดงให้เห็นว่าคุณมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกันก็เข้าข้อสันนิษฐานตาม (6) เมื่อได้มีการร่วมประเวณีกับหญิงมารดาในระยะเวลาซึ่งหญิงนั้นอาจตั้งครรภ์ได้ และมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเด็กนั้นมิได้เป็นบุตรของชายอื่น ประการสุดท้ายก็คือ เมื่อคุณคลอดแล้วชายนั้นได้มาแสดงออกต่อบุคคลทั่วไปหรือไม่ว่าเด็กนั้นเป็นบุตรของเขาตาม (7) เมื่อมีพฤติการณ์ที่รู้กันทั่วไปตลอดมาว่าเป็นบุตร เมื่อเห็นว่าเข้าข้อสันนิษฐานดังกล่าวคุณก็สามารถฟ้องต่อศาลให้เขารับเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย และในเวลาเดียวกันก็ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูไปในคราวเดียวกันเลยครับ ในกรณีที่ศาลจะกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูและการศึกษานั้นต้องดูกำลังรายรับรายได้ของบิดาด้วยหากว่าเขาอยู่ในสภาพตกงานอยู่และไม่มีรายได้อื่นใด ศาลก็จะพิจารณาฐานะของผู้ให้ด้วยเหมือนกัน ศาลคงไม่บีบบังคับให้ต้องกู้หนี้ยืมสินดังที่กล่าวไว้ข้างต้นครับ ขอให้คุณโชคดีครับ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ 085-9604258 วันที่ตอบ 2008-05-02 09:35:22 |
ความคิดเห็นที่ 2 (1615366) | |
สำหรับคำถามเรื่องค่าใช้จ่ายนั้นกรุณาติดมาที่โทร 085-960-4258 และเรื่องเวลานั้นก็ไม่น้อยกว่าสามเดือนครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-05-03 21:35:12 |
ความคิดเห็นที่ 3 (2393055) | |
ปรึกษา ทนายความ เรื่อง การเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู คำถามว่า ใครสามารถเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูได้บ้าง? เรียกได้ในกรณีใดบ้าง? และจะเรียกได้เป็นจำนวนเท่าใด เพราะเหตุใด?
โดยสรุปแล้วข้อเท็จจริงที่ศาลจะนำมาประกอบดุลพินิจในการมีคำสั่งเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูระหว่างสามีภรรยาได้แก่ - อายุและสุขภาพของคู่สมรสแต่ละฝ่าย, รายได้ ทรัพย์สิน และทางทำมาหาได้ของคู่สมรสแต่ละฝ่าย, คู่สมรสฝ่ายใดต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะหรือไม่, ความจำเป็นด้านการเงินและหนี้สินของแต่ละฝ่าย
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ 085-9604258 วันที่ตอบ 2013-07-28 21:27:38 |
[1] |