ReadyPlanet.com


สอบถาม จดทะเบียนสมรสโดยรู้เ่ท่าไม่ถึงการณ์


ขอสอบถามว่า ดิฉันเคยจดทะเบียนสมรสโดยรู้เ่ท่าไม่ถึงการณ์เมื่อตอนอายุ 23 ต้นๆ หลังจากนั้นก็ได้เลิกกันโดย ไม่ได้อย่า พออายุ 28 ดิฉันได้แต่งานใหม่ได้ 11ปี แล้ว (ไม่ได้เปลียนบัตรประชาชนจะมีความผิดไหมค่ะ) และตอนนี้อยากจะจดทะเบียนสมรสกับสามีที่อยู่กันมา 11 ปีไหม่ เพราะว่าจะยื้นเรื่องกู้เงินร่วมกัน กุ้มใจมากค่ะ ช้วยตอบด้วยค่ะ



ผู้ตั้งกระทู้ แนน :: วันที่ลงประกาศ 2008-06-03 12:59:35


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1763306)

จดทะเบียนสมรสโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นอย่างไรครับ เพราะตามปกติการจดทะเบียนสมรส จะต้องให้ถ้อยคำยินยอมเป็นสามีภริยากันต่อหน้านายทะเบียน

การเลิกกันโดยไม่มีการจดทะเบียนหย่า ในสายตากฎหมายแล้วถือว่ายังเป็นสามีภริยากันอยู่ครับ 

คุณบอกว่าแต่งงานใหม่ได้ 11 ปีแล้ว แต่กฎหมายอาจบอกว่าคุณอยู่กินฉันสามีภรรยากับชายอื่นขณะยังมีสามีที่ชอบด้วยกฎหมายอยู่

ที่ถามว่า *(ไม่ได้เปลียนบัตรประชาชนจะมีความผิดไหมค่ะ)

สำหรับบัตรประชาชน ถ้ายังไม่หมดอายุ ไม่มีความผิดใดๆ และยังสามารถใช้ได้จนกว่าจะหมดอายุ ถึงแม้ว่าจะหมดอายุแล้วก็ไม่ผิดข้อหาใดๆ ทั้งนั้น แต่คุณจะไปทำอะไรที่ต้องทำเป็นสัญญาหรือติดต่อราชการจะใช้ไม่ได้เท่านั้นเอง

คำถามว่า*และตอนนี้อยากจะจดทะเบียนสมรสกับสามีที่อยู่กันมา 11 ปีไหม่ เพราะว่าจะยื้นเรื่องกู้เงินร่วมกัน

คุณจะจดทะเบียนในขณะที่ยังไม่ได้หย่ากับสามีคนแรกไม่ได้ครับ เป็นสมรสซ้อนและการจดทะเบียนครั้งหลังเป็นโมฆะ

ตามมาตรา 1452 ชายหรือหญิงจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ ไม่ได้

มาตรา 1495 การสมรสที่ฝ่าฝืน มาตรา 1449,มาตรา 1450,มาตรา 1452 และ มาตรา 1458 เป็นโมฆะ

เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ครับ เพราะถ้าคุณสมรสซ้อนเป็นโมฆะ ต่อมาสามีเก่าอาจมาเรียกร้องทรัพย์สินที่คุณหามาได้ภายหลังเลิกกันในฐานสินสมรสก็ยังได้ เพราะสายตากฎหมายถือว่าคุณเป็นสามีภริยากันอยู่ และในทางกลับกัน คุณก็ยังสามารถเรียกร้องทรัพย์สินที่เขามีอยู่ปัจจุบันนี้ได้เช่นกัน

ทางแก้ไข ก็ต้องไปจดทะเบียนหย่ากันก่อนถ้าเขาไม่หย่าให้โดยดีก็ต้องฟ้องหย่าครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-06-03 16:28:09


ความคิดเห็นที่ 2 (1763341)

โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องว่า โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายทิ้งดิษฐเต้ยหลวง กับนางเจียม ดิษฐเต้ยหลวง ซึ่งจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2508 นางเจียมถึงแก่ความตายแล้วเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2514 ต่อมาวันที่ 5 เมษายน 2515 นายทิ้งจดทะเบียนสมรสกับนางประจิม ดิษฐเต้ยหลวง (นางสาวประจิม กระบี่น้อย) แล้วนายทิ้งได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลยเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2535 หลังจากนั้นวันที่ 16 เมษายน 2541 นายทิ้งถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดธัญบุรีในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1236/2541 ขอให้มีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายทิ้งโดยจำเลยอ้างว่าเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายทิ้งซึ่งมีสิทธิได้รับมรดกตามพินัยกรรมฝ่ายเมืองของนายทิ้งกับมีสิทธิได้รับมรดกของนายทิ้งที่มิได้ระบุไว้ในพินัยกรรมในฐานะเป็นทายาทโดยธรรมของนายทิ้ง ทั้งนี้ขณะนายทิ้งจดทะเบียนสมรสกับจำเลยนั้นนายทิ้งมีนางประจิมเป็นคู่สมรสอยู่แล้ว การสมรสระหว่างนายทิ้งกับจำเลยเป็นโมฆะเนื่องจากฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452 การกล่าวอ้างของจำเลยว่าเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายทิ้งเพื่ออ้างสิทธิในการรับมรดกส่วนที่นายทิ้งมิได้ทำพินัยกรรมไว้ดังกล่าว มีผลกระทบถึงส่วนได้เสียของโจทก์ทั้งเจ็ดในการรับส่วนแบ่งมรดกของนายทิ้ง ขอให้พิพากษาว่าการสมรสระหว่างนายทิ้งกับจำเลยเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2535 เป็นโมฆะ และให้เพิกถอนการจดทะเบียนสมรสดังกล่าวเสีย

จำเลยให้การว่า ขณะจำเลยจดทะเบียนสมรสกับนายทิ้ง ดิษฐเต้ยหลวง นั้นนายทิ้งนำมรณบัตรของภริยาไปแสดง จำเลยจึงเชื่อโดยสุจริตใจว่านายทิ้งไม่มีคู่สมรสอื่นอยู่หลังจากนางประจิม ดิษฐเต้ยหลวง ทราบเรื่องการจดทะเบียนสมรสระหว่างนายทิ้งกับจำเลยแล้วนางประจิมก็ไม่ได้คัดค้าน จึงถือว่านางประจิมให้สัตยาบันและยอมรับการสมรสของนายทิ้งกับจำเลยดังกล่าว การสมรสระหว่างนายทิ้งกับจำเลยจึงชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากโจทก์ทั้งเจ็ดมิใช่คู่สมรสของนายทิ้งและมิได้เป็นทายาทของนางประจิม หากโจทก์ทั้งเจ็ดจะอ้างว่าการสมรสระหว่างนายทิ้งกับจำเลยเป็นโมฆะ โจทก์ทั้งเจ็ดก็ต้องร้องขอต่อพนักงานอัยการให้เป็นตัวแทนในการฟ้องคดีฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดขาดอายุความ เนื่องจากคดีฟ้องเพิกถอนการจดทะเบียนสมรสมีอายุความ 1 ปี ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์ทั้งเจ็ดอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษากลับว่า การจดทะเบียนสมรสระหว่างนายทิ้ง ดิษฐเต้ยหลวง กับนางอมรศรี ดิษฐเต้ยหลวง (จำเลย)ที่สำนักงานทะเบียนอำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย ตามทะเบียนที่ 107/3983 เมื่อวันที่ 8กรกฎาคม 2535 เป็นโมฆะ ให้แจ้งนายทะเบียนสำนักงานทะเบียนท่าลี่ จังหวัดเลยเพื่อบันทึกความเป็นโมฆะไว้ในทะเบียนสมรส เมื่อคำพิพากษาแสดงว่าการสมรสระหว่างนายทิ้ง ดิษฐเต้ยหลวง กับนางอมรศรี ดิษฐเต้ยหลวง (จำเลย) ถึงที่สุด

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า "คดีนี้ข้อเท็จจริงตามที่คู่ความแถลงรับกันฟังได้ว่า โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายทิ้ง ดิษฐเต้ยหลวงกับนางเจียม ดิษฐเต้ยหลวง นางเจียมถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2514ต่อมาในวันที่ 5 เมษายน 2515 นายทิ้งจดทะเบียนสมรสกับนางประจิม ดิษฐเต้ยหลวงและในระหว่างที่การสมรสระหว่างนายทิ้งกับนางประจิมยังไม่สิ้นสุดลง นายทิ้งได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลยอีกเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2535 แล้วต่อมาในวันที่ 16เมษายน 2541 นายทิ้งก็ได้ถึงแก่ความตาย มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า โจทก์ทั้งเจ็ดซึ่งเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายมีอำนาจฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสระหว่างนายทิ้งซึ่งเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายกับจำเลยเป็นโมฆะหรือไม่ จำเลยฎีกาว่าโจทก์ทั้งเจ็ดมิใช่คู่สมรสของนายทิ้งและไม่ใช่ทายาทของนางประจิมซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายทิ้ง จึงมิใช่ผู้มีส่วนได้เสีย และการที่จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดธัญบุรี ขอให้ตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายทิ้งก็เพื่อใช้สิทธิรับมรดกทั้งที่ได้ระบุไว้ในพินัยกรรมและในฐานะทายาทโดยธรรม ไม่เป็นการกระทบกระเทือนสิทธิของโจทก์ทั้งเจ็ด และไม่ทำให้โจทก์ทั้งเจ็ดเสียสิทธิในเรื่องการแบ่งมรดก เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452 บัญญัติว่า ชายหรือหญิงจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้ มาตรา 1495 บัญญัติว่า การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ และมาตรา 1497บัญญัติว่า การสมรสที่เป็นโมฆะเพราะฝ่าฝืน มาตรา 1452 บุคคลผู้มีส่วนได้เสียคนใดคนหนึ่งจะกล่าวอ้างขึ้นหรือจะร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะก็ได้ คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่าขณะที่นายทิ้งจดทะเบียนสมรสกับจำเลยนั้น นายทิ้งมีคู่สมรสคือนางประจิมอยู่แล้ว การที่นายทิ้งมาจดทะเบียนสมรสกับจำเลยอีกโดยมิได้หย่าขาดจากนางประจิมจึงเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452 ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 แม้โจทก์ทั้งเจ็ดจะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายทิ้งกับนางเจียม แต่ก็เป็นทายาทโดยธรรมของนายทิ้ง เมื่อนายทิ้งถึงแก่ความตายแล้วตามปกติโจทก์ทั้งเจ็ดย่อมจะมีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกของนายทิ้ง โจทก์ทั้งเจ็ดจึงอยู่ในฐานะเป็นบุคคลผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้ศาลพิพากษาว่า การสมรสระหว่างนายทิ้งและจำเลยเป็นโมฆะได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1497 โจทก์ทั้งเจ็ดมีอำนาจฟ้องคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษามาแล้วนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น"

พิพากษายืน

( ประเสริฐ เขียนนิลศิริ - อำนวย เต้พันธ์ - สุเมธ ตังคจิรางกูร )

หมายเหตุ

การสมรสซ้อนอันเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้การสมรสตกเป็นโมฆะนั้น มีข้อแตกต่างระหว่างกรณีที่ต้องบังคับตามบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 กับที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยฉบับที่ 10 พ.ศ. 2533 อยู่หลายประการ เช่น

ปี 2519 1. คำพิพากษาศาลเท่านั้นจะแสดงว่าการสมรสเป็นผู้โมฆะ (มาตรา 1495)

ปี 2533 1. บุคคลผู้มีส่วนได้เสียกล่าวอ้างขึ้นเองหรือร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะก็ได้ (มาตรา 1497)

ปี 2519 2. ผู้มีส่วนได้เสียจะร้องขอให้อัยการเป็นผู้ร้องขอต่อศาลก็ได้ (มาตรา1497)

ปี 2533 2. ไม่มีบทบัญญัติให้ร้องขอให้อัยการร้องขอต่อศาล

ปี 2519 3. เมื่อศาลพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะ ทรัพย์สินต่าง ๆ ที่ได้มาไม่ว่าก่อนหรือหลังจดทะเบียนสมรสรวมทั้งดอกผลคงเป็นของฝ่ายนั้น (มาตรา 1498 วรรคสอง)

ปี 2533 3. แม้ไม่มีคำพิพากษาของศาลว่า การสมรสเป็นโมฆะ ก็ไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา (มาตรา 1498)

ปี 2519 4. ผู้สมรสโดยสุจริตไม่เสื่อมสิทธิที่ได้มาเพราะการสมรส เช่น สิทธิรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรม (มาตรา 1499 และ คำพิพากษาฎีกาที่ 1294/2522)

ปี 2533 4. แม้เป็นผู้สมรสโดยสุจริตก็ไม่เกิดสิทธิรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรม (มาตรา 1499 วรรคสอง)

ข้อแตกต่างดังกล่าวมีผลให้คำวินิจฉัยของศาลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาแตกต่างกันได้ เนื่องจากกรณีที่ต้องบังคับตามบรรพ 5 ปี 2519 มีข้อสาระสำคัญว่าศาลต้องมีคำพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะแล้วเท่านั้นหากศาลยังไม่มีคำพิพากษาดังกล่าวจนกระทั่งมีการจดทะเบียนหย่าระหว่างชายหญิงที่จดทะเบียนสมรสซ้อน ผลจะเป็นอย่างไร

ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 545/2545 เรื่องมีว่าจำเลยที่ 1 ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงยึดที่ดินแปลงหนึ่ง ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าที่ดินดังกล่าวเป็นสินสมรสของผู้ร้องกับนาง ร. ขอให้ถอนการยึด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คัดค้านว่าที่ดินที่ยึดมีจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องจดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 ในปี 2521 ในระหว่างที่ผู้ร้องยังเป็นสามีของนาง ร. จึงเป็นการสมรสซ้อน ที่ดินดังกล่าวผู้ร้องซื้อมาในปี 2523 ต่อมาปี 2526 ผู้ร้องจดทะเบียนหย่ากับจำเลยที่ 1 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในระหว่างที่ผู้ร้องจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทมายังไม่มีผู้มีส่วนได้เสียคนใดร้องขอต่อศาลให้การสมรสเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 (ปี 2519) ต้องถือว่าการสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 มีผลสมบูรณ์ ที่ดินพิพาทจึงเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 ด้วย แม้ภายหลังผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 จะจดทะเบียนหย่าขาดจากกันก็ต้องจัดการแบ่งที่ดินพิพาทแก่ผู้ร้องตามสิทธิที่มีอยู่ตามมาตรา 1532,1533 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีสิทธิยึดที่ดินพิพาท

คำพิพากษาฎีกาฉบับนี้ แสดงว่าศาลยังมิได้พิพากษาว่าการสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 เป็นโมฆะ จึงไม่อาจจัดการตามมาตรา 1498 วรรคสอง (ปี 2519) ได้

นอกจากนี้หากต่อมาชายหญิงที่จดทะเบียนสมรสซ้อนนั้น ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดถึงแก่ความตาย จะมีผลให้อีกฝ่ายได้รับมรดกหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผู้ร้องจดทะเบียนสมรสกับผู้ตายเมื่อปี 2524 ภายหลังจากผู้ตายจดทะเบียนสมรสกับผู้คัดค้าน ซึ่งต้องห้ามตามมาตรา 1452 และโมฆะตามมาตรา 1495(ปี 2519) แต่เมื่อยังไม่มีคำพิพากษาศาลแสดงว่าการสมรสของผู้ตายกับผู้ร้องเป็นโมฆะ ต้องถือว่าการสมรสระหว่างผู้ตายกับผู้ร้องยังมีอยู่ ผู้ร้องจึงเป็นทายาทโดยธรรมและมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตาย(คำพิพากษาฎีกาที่ 220/2541)

ในส่วนของคำว่า "ผู้มีส่วนได้เสีย นั้น" ตามบรรพ 5 เดิมจนถึงปัจจุบันไม่มีข้อแตกต่างกันโดยมีความหมายว่า บุคคลที่ถูกกระทบกระเทือนเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่เช่น สิทธิในครอบครัว สิทธิในมรดกหรือสิทธิอื่นใด ได้แก่ สิทธิรับเงินบำเหน็จตกทอด(คำพิพากษาฎีกาที่ 3719/2526) บำนาญตกทอด (คำพิพากษาฎีกาที่ 594/2506) เป็นต้น ผู้มีส่วนได้เสียที่เห็นได้ชัดเจน เช่น คู่สมรสเดิม (คำพิพากษาฎีกาที่ 1269/2493ที่ 632/2515 ที่ 1550/2520 ที่ 2296/2520 ที่ 2583/2522 ที่ 1216/2523 ที่ 6077/2537ที่ 220/2541 ที่ 6788/2541) บุตรชอบด้วยกฎหมายของคู่สมรสเดิม (คำพิพากษาฎีกาที่ 963/2519) คู่สมรสที่จดทะเบียนซ้อน (คำพิพากษาฎีกาที่ 100/2534 ที่ 4981/2541) แต่เคยมีคำพิพากษาฎีกาที่ 3279/2542 วินิจฉัยว่า สามีที่จดทะเบียนสมรสซ้อนเป็นผู้ทำการสมรสโดยไม่สุจริต จึงมิใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสซ้อนของตนเป็นโมฆะ และภริยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมิใช่ผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสซ้อนของสามีเป็นโมฆะ

สำหรับคดีนี้ต้องบังคับตามบรรพ 5 ปัจจุบัน กล่าวคือ โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายกับนางเจียมภริยาคนแรกแม้นางเจียมถึงแก่ความตายไปแล้วและผู้ตายจดทะเบียนสมรสกับนางประจิมภริยาคนที่สอง ต่อมาผู้ตายจดทะเบียนสมรสซ้อนกับจำเลยในปี 2535 แล้วผู้ตายถึงแก่ความตายในปี 2541 โจทก์ทั้งเจ็ดก็มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายในฐานะทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1629(1) ส่วนจำเลยคงมีสิทธิรับมรดกของผู้ตายในฐานะผู้รับพินัยกรรมเท่านั้นแม้ในพินัยกรรมของผู้ตายจะระบุให้จำเลยมีสิทธิรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมก็ไม่มีผลแต่อย่างใดเพราะขัดต่อมาตรา 1499 วรรคสอง และบุคคลที่จะเป็นทายาทโดยธรรมได้มีเฉพาะที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น การที่จำเลยไปร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายถือว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งเจ็ด โจทก์ทั้งเจ็ดมีสิทธิร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ตายเป็นโมฆะได้ ทั้งโจทก์ทั้งเจ็ดก็บรรยายฟ้องเกี่ยวกับการถูกจำเลยโต้แย้งสิทธิไว้แล้ว จึงไม่มีปัญหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 ซึ่งมีคำพิพากษาฎีกาที่ 7367/2537 วินิจฉัยว่า คำฟ้องที่ขอให้ศาลพิพากษาการสมรสเป็นโมฆะต้องกล่าวแสดงว่าจำเลยกระทำสิ่งใดอันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ (เดินตามคำพิพากษาฎีกาที่ 2541/2521(ประชุมใหญ่))

ส่วนที่จำเลยให้การว่า นางประจิมทราบถึงการจดทะเบียนสมรสระหว่างผู้ตายกับจำเลยแล้วไม่คัดค้าน ถือว่านางประจิมให้สัตยาบันและยอมรับการสมรสระหว่างผู้ตายกับจำเลยนั้น ก็มีคำพิพากษาฎีกาที่ 2296/2520 วินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานว่าแม้โจทก์(ภริยาเดิม) ทราบ แต่ไม่คัดค้านก็จะถือว่าจำเลยเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายและการสมรสระหว่างโจทก์กับเจ้ามรดก (สามี) ขาดกันไม่ได้ เพราะการสมรสระหว่างจำเลยกับเจ้ามรดกเป็นโมฆะ

เกี่ยวกับอายุความในการฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าการสมรสเป็นโมฆะที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าขาดอายุความ 1 ปี นั้น ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยไว้ชัดเจนว่าเป็นคดีไม่มีอายุความ(คำพิพากษาฎีกาที่ 1550/2520) อย่างไรก็ดี คดีนี้คงมีปัญหาขึ้นสู่ศาลฎีกาในประเด็นที่ว่าโจทก์ทั้งเจ็ดมีอำนาจฟ้องหรือไม่เพียงประเด็นเดียว ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยปัญหาเรื่อง"ผู้มีส่วนได้เสีย" กับ "การโต้แย้งสิทธิ" เท่านั้น

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-06-03 16:51:43


ความคิดเห็นที่ 3 (1763410)

มาตรา 1458 การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายหญิงยินยอมเป็นสามี ภริยากัน และต้องแสดงการยินยอมนั้นให้ปรากฏโดยเปิดเผยต่อหน้านายทะเบียนและให้นายทะเบียนบันทึกความยินยอมนั้นไว้ด้วย

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้สืบสันดานหรือทายาทโดยธรรมของเรือเอกเชิดชายศรีงามผ่อง กับนางทองอยู่ ศรีงามผ่อง จำเลยจดทะเบียนสมรสกับเรือเอกเชิดชาย แต่การจดทะเบียนสมรสดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนากันหลอก ๆ เพื่อจำเลยหวังผลประโยชน์อันเป็นบำเหน็จตกทอดของเรือเอกเชิดชาย ซึ่งเป็นข้าราชการบำนาญกองทัพเรือเมื่อเรือเอกเชิดชายถึงแก่กรรม และขณะจดทะเบียนสมรส เรือเอกเชิดชายป่วยเป็นโรคมะเร็งที่ไม่มีทางรักษาให้หายได้ จำเลยเกรงว่าสิทธิในบำเหน็จตกทอดยุติลง จำเลยจึงร้องขอให้เรือเอกเชิดชายจดทะเบียนสมรสกับตน หลังจากนั้นอีก 38 วัน เรือเอกเชิดชายก็ถึงแก่กรรม จำเลยจึงอาศัยสิทธิตามทะเบียนสมรสดังกล่าวยื่นแสดงความจำนงต่อกองทัพเรือเพื่อขอรับบำเหน็จตกทอดของเรือเอกเชิดชายและกองทัพเรือได้จ่ายบำเหน็จตกทอดให้แก่จำเลยไปแล้ว ขอให้พิพากษาว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยกับเรือเอกเชิดชาย ศรีงามผ่อง เป็นโมฆะ และขอให้แจ้งไปยังนายทะเบียนเพื่อบันทึกความเป็นโมฆะไว้ในทะเบียนสมรสด้วย

จำเลยให้การว่า จำเลยจดทะเบียนสมรสกับเรือเอกเชิดชาย มิใช่เฉพาะแต่บำเหน็จตกทอดแต่รวมถึงสิทธิในการที่จะรับมรดกด้วย จำเลยไม่ทราบเรื่องเรือเอกเชิดชายป่วยด้วยโรคมะเร็ง เพราะเรือเอกเชิดชายปิดบังไว้ตลอดเวลา แต่เพราะความห่วงใยของเรือเอกเชิดชายว่า จำเลยจะไม่ได้รับสิทธิอย่างใด ๆ ตามกฎหมายจึงจำต้องจดทะเบียนให้ เมื่อเรือเอกเชิดชายถึงแก่กรรม คงมีโจทก์ จ่าสิบเอกคำรพ ศรีงามผ่อง และจำเลยเป็นทายาทโดยธรรม โจทก์ได้รับมรดกครบถ้วนและจำเลยฟ้องเรียกทรัพย์มรดกจากผู้จัดการมรดกมิได้ฟ้องเรียกเอาส่วนของโจทก์ที่ได้รับไปแล้ว จำเลยจึงมิได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้วปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ก็คือ การสมรสระหว่างจำเลยกับเรือเอกเชิดชาย ศรีงามผ่อง เป็นโมฆะหรือไม่ จากการนำสืบของทั้งสองฝ่าย ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยได้จดทะเบียนสมรสกับเรือเอกเชิดชายเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2537 ปรากฏตามใบสำคัญการสมรสเอกสารหมาย จ.6 ซึ่งการสมรสนั้นจะทำได้ต่อเมื่อจำเลยกับเรือเอกเชิดชายยินยอมเป็นสามีภริยากัน และการเป็นสามีภริยากันนั้นก็คือทั้งสองคนตกลงจะเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน จึงจำต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาทั้งในทางธรรมชาติและกฎหมาย นั่นก็คือจะได้ดูแลความทุกข์สุขเจ็บป่วยซึ่งกันและกัน ต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตน จำเลยเบิกความว่าได้อยู่กินฉันสามีภริยากับเรือเอกเชิดชายก่อนจดทะเบียนสมรสนานประมาณ 5 ปี แต่ในขณะเดียวกันจำเลยกลับเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่าจำเลยพักอาศัยอยู่ที่บ้านของน้องสาวจำเลยมาตั้งแต่ปี 2526 ส่วนเรือเอกเชิดชายนั้นก็พักอาศัยอยู่บ้านของเรือเอกเชิดชาย ซึ่งจำเลยเคยไปที่บ้านของเรือเอกเชิดชายหลายครั้งแต่ไม่ได้พักอาศัยอยู่ด้วยแต่อย่างใด ในปี 2534 ถึง 2535 เรือเอกเชิดชายต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โจทก์เป็นผู้พาเรือเอกเชิดชายไปโรงพยาบาลและเสียค่ารักษาพยาบาลให้ และยังให้เรือเอกเชิดชายไปพักอาศัยอยู่ด้วย ส่วนจำเลยคงพักอาศัยอยู่กับน้องสาวเช่นเดิม จากข้อเท็จจริงดังกล่าวเมื่อนำมาวินิจฉัยเข้ากับคำเบิกความของโจทก์ที่ว่านางทองอยู่มารดาของโจทก์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2530 ต่อมาปลายปี2535 เรือเอกเชิดชายป่วย โจทก์ได้พาไปรักษาที่โรงพยาบาลแล้วนำตัวมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านของโจทก์ เนื่องจากเห็นว่าไม่สมควรที่จะให้เรือเอกเชิดชายอยู่บ้านเพียงลำพังคนเดียว จนกระทั่งวันที่ 15 สิงหาคม 2537 เรือเอกเชิดชายก็ถึงแก่กรรม ได้ความจากโจทก์ต่อไปว่าไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่า เรือเอกเชิดชายได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลยไม่เคยรู้จักกับจำเลยมาก่อน จำเลยไม่เคยออกค่ารักษาพยาบาลและไม่เคยมาเยี่ยมเรือเอกเชิดชาย รูปคดีเห็นได้ว่าจำเลยกับเรือเอกเชิดชายมิได้อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของจำเลยอีกว่า จำเลยยังไม่อยากไปจดทะเบียนสมรสจนกระทั่งในตอนหลังเรือเอกเชิดชายเป็นผู้พาไปจดทะเบียนสมรสเองโดยเรือเอกเชิดชายบอกว่าหากจำเลยไม่จดทะเบียนสมรสกับเรือเอกเชิดชายแล้วจะไม่มีผู้ใดมีสิทธิรับเงินบำเหน็จตกทอด เมื่อเรือเอกเชิดชายถึงแก่กรรม ซึ่งจำเลยก็ได้ไปรับเงินบำเหน็จตกทอดมาแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้เห็นได้ว่าจำเลยจดทะเบียนสมรสกับเรือเอกเชิดชายโดยมิได้มีเจตนาที่จะเป็นสามีภริยากันมาตั้งแต่แรก หากแต่เป็นการกระทำเพื่อวัตถุประสงค์อื่นนั่นก็คือการมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จตกทอดดังกล่าวนั่นเอง การสมรสของจำเลยจึงฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1458 จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น"

พิพากษากลับว่า การสมรสระหว่างจำเลยกับเรือเอกเชิดชาย ศรีงามผ่อง เป็นโมฆะให้แจ้งไปยังนายทะเบียนเพื่อบันทึกความเป็นโมฆะไว้ในทะเบียนสมรส

( พันธาวุธ ปาณิกบุตร - อำนวย เต้พันธ์ - วสันต์ ตรีสุวรรณ )

หมายเหตุ

การฝ่าฝืนเงื่อนการสมรส กรณีที่กฎหมายระบุว่าให้เป็นโมฆะมีหลายกรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1495 เช่น สมรสซ้อน (มาตรา 1452) สำหรับตามหัวข้อหมายเหตุนี้ เป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขมาตรา 1458 ที่บัญญัติว่า "การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายหญิงยินยอมเป็นสามีภริยากัน และต้องแสดงความยินยอมนั้นให้ปรากฏโดยเปิดเผยต่อหน้านายทะเบียนและให้นายทะเบียนบันทึกความยินยอมนั้นไว้ด้วย"ตามบทบัญญัตินี้แสดงให้เห็นว่าการที่ชายหญิงประสงค์จะเป็นสามีภริยากันโดยต้องจดทะเบียนสมรสตามมาตรา 1457 นั้น จะพิจารณาจากการที่ชายหญิงได้จดทะเบียนสมรสแล้วตามมาตรา 1457 ยังไม่เป็นการเพียงพอว่าจะเป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมายต้องคำนึงถึงการที่ชายหญิงยินยอมสมัครใจเป็นสามีภริยากันโดยเจตนาอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาและอุปการะเลี้ยงดูกันด้วย (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1461) เช่นเดียวกันกับสามีภริยาทั่วไป ดังนั้น หากไม่มีเจตนาหรือความประสงค์ที่จะเป็นสามีภริยากันจริง ๆ แล้ว แม้จดทะเบียนสมรสกันก็ย่อมทำให้การสมรสนั้นเป็นโมฆะ (มาตรา 1495) แม้ว่าการสมรสเช่นนี้จะต้องมีคำพิพากษาเท่านั้นที่จะแสดงว่าการสมรสเป็นโมฆะก็ตาม (มาตรา 1496) แต่ผลกระทบอย่างอื่นแม้ยังไม่มีคำพิพากษาเช่นว่านั้นก็เกิดขึ้นแล้วนับแต่จดทะเบียนสมรส คือไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา (มาตรา 1498 วรรคหนึ่ง) กล่าวคือจะนำบทบัญญัติว่าด้วยทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา เช่น สินส่วนตัว สินสมรส มาใช้บังคับไม่ได้และรวมถึงหลักการเรื่องหนี้ร่วมของสามีภริยาที่ก่อขึ้นระหว่างสมรสตามมาตรา 1490 ด้วย ดังจะเห็นได้จากความในมาตรา 1498 วรรคสองที่ว่า ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดมีหรือได้มาไม่ว่าก่อนหรือหลังการสมรสรวมทั้งดอกผลคงเป็นของฝ่ายนั้น ดังนี้เมื่อเปรียบกับหลักเรื่องสินสมรสแล้วจะเห็นว่าแตกต่างกันมาก กล่าวคือการเป็นสามีภริยาตามปกติแล้วทรัพย์สินถ้าได้มาหรือมีมาก่อนสมรสย่อมเป็นสินส่วนตัวของแต่ละฝ่าย แต่ถ้าได้มาระหว่างสมรส ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ทำมาหาได้ก็ตามย่อมเป็นสินสมรสของสามีภริยา รวมทั้งดอกผลของสินส่วนตัวของฝ่ายใดก็ตาม ก็เป็นสินสมรส (มาตรา 1474(3)) แต่การสมรสกรณีตามมาตรา 1458 นี้ เมื่อไม่มีความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาตามความในมาตรา 1498 วรรคหนึ่งแล้ว ปัญหาว่าทรัพย์สินที่เกิดขึ้นมาในระหว่างที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะนั้น จะมีหลักการพิจารณาว่าทรัพย์สินเหล่านั้นสามีภริยาดังกล่าวจะมีส่วนในทรัพย์สินนั้นอย่างไร เรื่องนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1498 วรรคสองกำหนดหลักเกณฑ์ไว้ ดังนี้ ในกรณีที่การสมรสเป็นโมฆะทรัพย์สินที่ฝ่ายใดมีหรือได้มาไม่ว่าก่อนหรือหลังการสมรส รวมทั้งดอกผลคงเป็นของฝ่ายนั้น ส่วนบรรดาทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันให้แบ่งคนละครึ่งฯ ตามบทบัญญัติดังกล่าวแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ไม่อาจนำหลักการเรื่องทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาตามมาตรา 1470 และต่อ ๆ ไปมาใช้บังคับได้เลย และส่วนที่ทำมาหาได้ร่วมกันก็กล่าวไว้เฉพาะว่าให้แบ่งคนละครึ่งเท่านั้น ในส่วนนี้คงต้องนำหลักเจ้าของร่วมมาใช้บังคับเป็นสำคัญ

คดีตามหัวข้อหมายเหตุแสดงให้เห็นพฤติการณ์ที่แสดงว่าชายหญิงไม่มีเจตนาเป็นสามีภริยากัน เป็นกรณีศึกษาที่ศาลฎีกาได้วางหลักการวินิจฉัยข้อเท็จจริงไว้โดยมีหลักวิชาตรรกวิทยาแสดงเป็นเหตุเป็นผลที่ดี หลักการเช่นนี้มีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1127/2536 วินิจฉัยว่า การที่นาย บ. คนสัญชาติญวนอยู่กินเป็นสามีภริยากับจำเลยที่ 2 จนมีบุตรด้วยกันสามคน แล้วจำเลยที่ 2ไปขอจดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างนาย บ. โดยแจ้งต่อเจ้าพนักงานว่ามีเจตนาจะสมรสกัน และต่างไม่เคยมีคู่สมรสมาก่อนนั้น การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการผิดจากเจตนาอันแท้จริง ไม่น่าเชื่อว่าจะยินยอมเป็นสามีภริยากัน กรณีไม่เป็นไปตามเงื่อนไขแห่งการสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1458 การสมรสระหว่างจำเลยทั้งสองจึงเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 โจทก์มีสิทธิร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสระหว่างจำเลยทั้งสองเป็นโมฆะได้ตามมาตรา 1496 วรรคสองตัวอย่างคดี ข้อเท็จจริงได้ความว่าทั้งชายและหญิงต่างมีภริยาและสามีอยู่แล้ว แม้มิได้สมรสกันก็ตาม อันแสดงให้เห็นว่าจดทะเบียนสมรสกันโดยมิได้มีเจตนาเป็นสามีภริยากันแต่อาจมีเจตนาเพื่อประโยชน์อย่างอื่น การสมรสจึงเป็นโมฆะ

ในการศึกษาทำความเข้าใจเรื่องนี้นับว่ามีความสำคัญต่อสถาบันครอบครัวและอาจโยงไปถึงความสัมพันธ์ในเรื่องอื่น ๆ เช่น การเสียภาษีเงินได้ของสามีภริยาตามความในประมวลรัษฎากร มาตรา 57 ตรี ซึ่งมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 659/2545 วินิจฉัยเป็นกรณีศึกษาดังนี้ "ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นสามีนาง จ. เมื่อปีภาษี 2539นาง จ. ได้รับเงินจำนวน 11,300,000 บาท จากจำเลยที่ 4 ซึ่งนาง จ. ฟ้องโจทก์กับพวก 5 คน เป็นคดีแพ่งขอเพิกถอนนิติกรรม โจทก์มิได้นำเงินจำนวนดังกล่าวมารวมคำนวณเสียภาษีรายได้ ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา(ภ.ง.ด. 12) ให้โจทก์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี 2539 เพิ่มเติมกับเบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวมทั้งสิ้นจำนวน 7,330,476 บาท โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และยื่นฟ้องนาง จ. ต่อศาลจังหวัดนนทบุรีแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ขอให้พิพากษาให้การสมรสระหว่างโจทก์กับนาง จ. เป็นโมฆะเนื่องจากนาง จ. มีคู่สมรสอยู่แล้วในขณะที่สมรสกับโจทก์ วันที่ 3 กันยายน 2542 ศาลจังหวัดนนทบุรีแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวมีคำพิพากษาว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับนาง จ. เป็นโมฆะ ต่อมาคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้โจทก์ชำระค่าภาษีกับเบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวมทั้งสิ้นจำนวน 5,726,433.51 บาท ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องยื่นรายการและเสียภาษีเงินได้สำหรับเงินจำนวน 11,300,000 บาท ตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เมื่อการสมรสระหว่างโจทก์กับนาง จ. เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452ประกอบมาตรา 1495 เนื่องจากนาง จ. มีคู่สมรสอยู่แล้วในขณะที่สมรสกับโจทก์มีผลเท่ากับโจทก์กับนาง จ. มิได้เป็นสามีภริยากันมาแต่แรก จึงไม่อาจถือว่ามีเงินได้จำนวน11,300,000 บาท ที่นาง จ. ได้รับมาเป็นเงินได้ของโจทก์ตามความในมาตรา 57 ตรีแห่งประมวลรัษฎากร โจทก์ไม่มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการยื่นรายการและเสียภาษีสำหรับเงินได้จำนวนนี้ การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ชอบ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น" คำพิพากษาศาลฎีกากรณีนี้ แม้เป็นเรื่องสมรสซ้อนตามมาตรา 1452 และเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 ก็ตามแต่ความสัมพันธ์ในเรื่องทรัพย์สินว่าจะมีลักษณะอย่างไร ก็ต้องนำหลักเรื่องความเป็นโมฆะแห่งการสมรสในกรณีอื่นมาใช้บังคับด้วย กล่าวคือต้องพิจารณาจากมาตรา 1498เช่นกัน ผลก็คือเมื่อการสมรสระหว่างชายและหญิงเป็นโมฆะแล้ว กรณีหญิงมีเงินได้ก็ไม่อาจถือเอาเงินได้พึงประเมินของหญิงเป็นเงินได้ของสามีได้ และสามีย่อมไม่มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการยื่นรายการและเสียภาษีตามความในประมวลรัษฎากรมาตรา 57 ตรี เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นผลกระทบมาจากการสมรสที่เป็นโมฆะ

การศึกษากรณีตามมาตรา 1458 นี้ ควรพิจารณาประกอบกรณีการสมรสเพราะถูกข่มขู่ตามมาตรา 1507 ด้วย เนื่องจากผลในกฎหมายแตกต่างกันมาก ทั้งนี้กรณีตามมาตรา 1507 นั้น การสมรสเป็นเพียงโมฆียะ และไม่มีผลกระทบต่อการสมรสแต่อย่างไรเพียงแต่อาจถูกฟ้องขอให้เพิกถอน ซึ่งทำให้การสมรสสิ้นสุดลงเท่านั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1501,1502 และมาตรา 1503 แสดงว่าการสมรสกรณีตามมาตรา 1507 ถือว่าการสมรสมีผลสมบูรณ์มาแต่แรกจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาให้เพิกถอนหมายเหตุ

การสมรสที่ฝ่าฝืนเงื่อนไขการสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1449 มาตรา 1450 และมาตรา 1458 จะต้องมีคำพิพากษาของศาลเท่านั้นที่จะแสดงว่าการสมรสเป็นโมฆะตามมาตรา 1496 เหตุนี้การสมรสอันฝ่าฝืนเงื่อนไขดังกล่าวจึงมิใช่ข้อแสดงในตัวเองว่าเป็นโมฆะ (ดูคำพิพากษาฎีกาที่ 250/2503)

ก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ชายหญิงแต่งงานตามประเพณีแล้วอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา ย่อมทำให้มีฐานะของสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย (เช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 1251/2500) แม้ภายหลังใช้บรรพ 5 แล้วจะเพิ่งมีการจดทะเบียนสมรสกันแทนการบันทึกฐานะการเป็นสามีภริยา ก็ไม่มีผลให้การสมรสแต่เดิมสิ้นสุดลง และสามารถนำสืบถึงการเป็นสามีภริยากันก่อนจดทะเบียนสมรสได้ไม่ถือว่าเป็นการสืบแก้ไขเอกสาร (ดูคำพิพากษาฎีกาที่ 57/2487) แต่เนื่องจากต้นฉบับใบสำคัญการสมรสเป็นเอกสารมหาชน เพราะเป็นเอกสารที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายได้ทำขึ้นเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนใช้อ้างอิง จึงสันนิษฐานว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127(คำพิพากษาฎีกาที่ 235/2538)

เมื่อพิจารณาถึงลำดับของการสมรสตามกฎหมายลักษณะผัวเมียจนถึงเมื่อใช้บรรพ 5 แล้ว จะเห็นได้ว่า การที่จะเป็นสามีภริยานั้นต้องเกิดจากความยินยอมและมีเจตนาที่จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาเป็นเบื้องต้น ส่วนการจดทะเบียนสมรสเป็นแบบพิธีที่แสดงถึงความมีอยู่ของฐานะการเป็นสามีภริยาหรือไม่ (มาตรา 1457)

เพื่อให้มีการรับรู้และตรวจสอบโดยนายทะเบียน การแสดงเจตนายินยอมเป็นสามีภริยากันจึงต้องกระทำให้ปรากฏโดยเปิดเผยต่อหน้านายทะเบียนและให้นายทะเบียนบันทึกความยินยอมของชายและหญิง (มาตรา 1458) แต่กระนั้นก็ตามอาจมีการนำสืบเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาแสดงว่าการสมรสเป็นโมฆะเพราะปราศจากความยินยอมก็ได้ ทั้งเป็นภาระการพิสูจน์ของฝ่ายที่กล่าวอ้าง ประกอบกับกรณีที่จำเลยได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 ดังกล่าวนอกจากนี้แม้ชายหญิงเคยถูกฟ้องเป็นคดีอาญาในความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานว่ามีเจตนาจะสมรสกันและมีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎหมาย แต่การฟ้องในคดีแพ่งขอให้ศาลมีคำพิพากษาว่าการสมรสของชายหญิงดังกล่าวเป็นโมฆะไม่ต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญาฐานแจ้งความเท็จ จึงมิใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญา และมีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่ตามที่ปรากฏในสำนวนคดีแพ่งได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ 1127/2536)

การนำสืบเพื่อให้ศาลเห็นว่า ชายหญิงมิได้มีเจตนาสมรสกันจริงมักเชื่อมโยงไปถึงมูลเหตุจูงใจที่ทำให้เกิดการจดทะเบียนสมรส แต่ระดับของมูลเหตุจูงใจดังกล่าวจะต้องชี้ให้เห็นได้ว่าถึงขนาดไม่มีเจตนาสมรสกันเลย โดยอาศัยพฤติการณ์เป็นสิ่งประกอบการนำสืบดังเช่นคดีนี้ ซึ่งจำเลยไม่เคยอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยากับผู้ตายก่อนสมรสผู้ตายป่วยเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย และตายหลังจากจดทะเบียนสมรสกับจำเลยเพียง 1 เดือนเศษ โดยจำเลยกับผู้ตายไม่เคยพักอาศัยอยู่ด้วยกัน ไม่เคยดูแลพาผู้ตายไปรักษาที่โรงพยาบาล และไม่เคยออกค่ารักษาพยาบาลให้ ตามรูปคดีดังกล่าว ศาลฎีกาจึงเห็นว่าจำเลยจดทะเบียนสมรสกับผู้ตายโดยไม่มีเจตนาที่จะสมรสกันมาตั้งแต่แรกอันเป็นการสอดคล้องกับเหตุผลในทางธรรมชาติและกฎหมายดังที่วินิจฉัยแล้ว

ข้อน่าคิดคือ การจดทะเบียนสมรสโดยหลอก ๆ เช่นนี้น่าจะไม่ต้องใช้หลักการแสดงเจตนาในการทำนิติกรรมตามหมวด 2 ของบรรพ 1 ดังเช่นที่บัญญัติไว้ในเรื่องการแสดงเจตนาซ่อนเร้น (มาตรา 154) หรือการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้ร่วมกัน(มาตรา 155 วรรคหนึ่ง) เพราะหากชายหรือหญิงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มีเจตนาที่จะสมรสอย่างแท้จริง เพียงแต่แสดงความยินยอมให้ปรากฏโดยเปิดเผยต่อหน้านายทะเบียนเพื่อลวงให้นายทะเบียนบันทึกความยินยอมและจดทะเบียนสมรสให้ ก็นับเป็นเหตุที่ถือว่าฝ่าฝืนเงื่อนไขตามมาตรา 1458 ที่ศาลจะพิพากษาให้การสมรสเป็นโมฆะได้ตามมาตรา 1496 ประกอบมาตรา 1495 เช่นกัน

สำหรับเงินบำเหน็จตกทอดที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งพึงจะได้รับเมื่อข้าราชการนั้นถึงแก่ความตาย ย่อมเป็นไปตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494มาตรา 48 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยฉบับที่ 14 พ.ศ. 2526 และฉบับที่ 16 พ.ศ. 2539สิทธิที่จะได้รับเงินบำเหน็จตกทอดจึงเกิดจากความตายของข้าราชการ มิใช่ทรัพย์สินของข้าราชการนั้นที่มีอยู่ในขณะถึงแก่ความตาย จึงไม่เป็นมรดกของผู้ตาย (คำพิพากษาฎีกาที่ 4/2505, ที่ 1586/2517, ที่ 1056/2525) แต่เมื่อพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้สามีหรือภริยาของข้าราชการมีสิทธิได้รับบำเหน็จตกทอดร่วมกับบุตรและบิดามารดาของข้าราชการที่ตายด้วย จึงนับว่าเป็นสิทธิที่ได้มาเพราะการสมรสประการหนึ่ง ซึ่งหากสมรสโดยสุจริตก็ไม่เสื่อมสิทธิที่ได้มานั้นก่อนคำพิพากษาถึงที่สุดให้เป็นโมฆะ (มาตรา 1499 วรรคหนึ่ง) แต่หากสมรสโดยไม่สุจริต แม้จะได้รับเงินบำเหน็จตกทอดจากทางราชการไปแล้วก็ต้องคืนให้แก่ผู้มีสิทธิคนอื่นอันเป็นไปตามหลักลาภมิควรได้และพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 มาตรา 44 วรรคสองหรือที่แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 16 พ.ศ. 2539 มาตรา 48 วรรคสอง

คดีนี้จำเลยได้รับเงินบำเหน็จตกทอดจากกองทัพเรือที่ผู้ตายสังกัดอยู่แล้ว แต่โจทก์ซึ่งเป็นบุตรของผู้ตายมิได้ฟ้องเรียกเงินดังกล่าวคืนมาด้วย จึงไม่มีประเด็นให้ศาลฎีกาต้องวินิจฉัยไปถึง

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-06-03 18:12:41


ความคิดเห็นที่ 4 (4550839)

 การจดทะเบียนสมรสซ้อนแม้โดยสุจริตก็เป็นโมฆะ

แม้จำเลยได้จดทะเบียนสมรสกับนายปรีชาโดยสุจริต การสมรสระหว่างจำเลยกับนายปรีชาเป็นโมฆะ ต่อมานายปรีชาได้ถึงแก่ความตายการสมรสระหว่างจำเลยกับนายปรีชาสิ้นสุดลง แต่เมื่อการจดทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยกับนายปรีชายังเป็นโมฆะอยู่เช่นนี้ โจทก์เป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้การสมรสระหว่างจำเลยกับนายปรีชาเป็นโมฆะได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6788/2541

ขณะที่จำเลยจดทะเบียนสมรสกับ ป.ป. ได้จดทะเบียนสมรสกับโจทก์ที่ 1 แล้ว และยังเป็นคู่สมรสกับโจทก์ที่ 1อยู่ตลอดมาจนกระทั่ง ป. ถึงแก่ความตาย การสมรสระหว่างจำเลยกับ ป. จึงเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1452 และตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 แม้ภายหลังจากที่ ป. ได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลยแล้ว ป.ได้ถึงแก่ความตาย เป็นเหตุให้การสมรสระหว่างจำเลยกับ ป.สิ้นสุดลงก็ตาม จำเลยก็จะอ้างว่าจำเลยได้จดทะเบียนสมรสกับ ป. โดยสุจริต การสมรสระหว่างจำเลยกับ ป.จึงไม่เป็นโมฆะหาได้ไม่ และเมื่อการจดทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยกับ ป. ยังเป็นโมฆะอยู่ โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นภริยาป. และโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรของโจทก์ที่ 1 กับ ป.ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้การสมรสระหว่างจำเลยกับ ป. เป็นโมฆะได้

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายปรีชา  โดยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 25ธันวาคม 2522 โจทก์ที่ 1 กับนายปรีชามีบุตรด้วยกันหนึ่งคนคือโจทก์ที่ 2 ซึ่งมีอายุ 14 ปี และโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองโจทก์ที่ 2 ขอให้พิพากษาว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่างนายปรีชา  กับจำเลยที่จดทะเบียนสมรสณ สำนักงานทะเบียนอำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร เมื่อวันที่ 12มีนาคม 2536 เป็นโมฆะ และขอให้ศาลมีหนังสือแจ้งนายทะเบียนสำนักงานทะเบียนอำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร เพื่อบันทึกความเป็นโมฆะไว้ในทะเบียนสมรส

จำเลยให้การว่า โจทก์ที่ 1 มิได้เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองโจทก์ที่ 2 เนื่องจากโจทก์ที่ 1 สละอำนาจปกครองโจทก์ที่ 2ให้แก่นายปรีชาแล้ว จำเลยจดทะเบียนสมรสกับนายปรีชาโดยสุจริต จำเลยเข้าใจว่าโจทก์ที่ 1 หย่าขาดจากนายปรีชาแล้วการกระทำของจำเลยไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสองโจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากการสมรสระหว่างจำเลยกับนายปรีชาสิ้นสุดลงด้วยเหตุนายปรีชาถึงแก่ความตายแล้วขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การจดทะเบียนสมรสระหว่างนายปรีชา  กับนางเสาวลักษณ์  จำเลย เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2536 เป็นโมฆะ คำขออื่นให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้แจ้งนายทะเบียนสำนักงานทะเบียนอำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร เพื่อบันทึกความเป็นโมฆะไว้ในทะเบียนสมรส เมื่อคำพิพากษาแสดงว่าการสมรสระหว่างนายปรีชา  กับนางเสาวลักษณ์  (จำเลย) ถึงที่สุด นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่าง จำเลยกับนายปรีชา  เป็นโมฆะหรือไม่ เมื่อรับฟังได้ว่า ขณะที่จำเลยจดทะเบียนสมรสกับนายปรีชานั้น นายปรีชาได้จดทะเบียนสมรสกับโจทก์ที่ 1 แล้ว และยังเป็นคู่สมรสกับโจทก์ที่ 1 อยู่ตลอดมาจนนายปรีชาถึงแก่ความตายการสมรสระหว่างจำเลยกับนายปรีชาจึงเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452 และตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 จำเลยจะอ้างว่าจำเลยได้จดทะเบียนสมรสกับนายปรีชาโดยสุจริต การสมรสระหว่างจำเลยกับนายปรีชาจึงไม่เป็นโมฆะหาได้ไม่ แม้ภายหลังจากที่นายปรีชาได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลยแล้ว นายปรีชาได้ถึงแก่ความตายเป็นเหตุให้การสมรสระหว่างจำเลยกับนายปรีชาสิ้นสุดลงก็ตามแต่เมื่อการจดทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยกับนายปรีชายังเป็นโมฆะอยู่เช่นนี้ โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้การสมรสระหว่างจำเลยกับนายปรีชาเป็นโมฆะได้

พิพากษายืน


 

ผู้แสดงความคิดเห็น Admin วันที่ตอบ 2024-01-09 13:11:23



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล