ReadyPlanet.com


สามีฟ้องหย่าเพราะภรรยาไปพูดว่าแม่สามีขี้งก


ครอบครัวดิฉันแต่งงานกันได้ 10 กว่าปี มีบุตรด้วยกัน 2คน เป็นผู้ชายทั้งคู่ เหตุการฟ้องหย่า คือว่า สามีกล่าวหาว่าภรรยาไปด่าแม่ของตนว่าเป็นคนขี้งก งกทั้งเง่าทั้งตระกูล เพราะเรื่องแม่สามีไม่ยอมโอนที่ดินให้สามีก็เลยฟ้องหย่าและขอเป็นผู้ปกครองคนแรกและขอแบ่งสินสมรสคนละครึ่ง อย่างทราบว่าศาลจะพิจารณาคดีออกมาในรูปแบบใด



ผู้ตั้งกระทู้ ปู :: วันที่ลงประกาศ 2008-06-17 18:45:37


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1777344)

มาตรา 1516 เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้
(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้...

(3) สามีหรือภริยาทำร้าย หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือหมิ่น ประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ ถ้าเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้...

กฎหมายบอกว่า "ถ้าเป็นการร้ายแรง"

อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้ นั่นหมายถึงสิ่งที่ภริยาด่าแม่ของสามีนั้นเป็นการร้ายแรงจริงๆ จึงจะเข้าเหตุฟ้องหย่าได้ ดังนั้นจึงต้องเป็นเรื่องที่ศาลต้องฟังพยานหลักฐานของโจทก์(สามี) ว่า จำเลย(ภริยา) หมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามบุพการีของสามีถึงขนาดร้ายแรงหรือไม่

ผมเห็นว่าไม่น่าจะเป็นการร้ายแรงนะครับ

ลองอ่านคำพิพากษาฎีกานี้ดูเทียบเคียง

ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า "พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์จดทะเบียนสมรสกับ จำเลย เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2514 ตามใบสำคัญการสมรส เอกสารหมาย จ. 1 มี บุตรด้วยกัน 1 คน คือนางสาว ญ. ซึ่ง ขณะฟ้องมี อายุ 21 ปี โจทก์ รับราชการเป็น ลูกจ้างประจำโครงการก่อสร้างทางชลประทาน ที่ 2 อำเภอสามชุกจังหวัดสุพรรณบุรี จำเลยรับราชการครู ที่จังหวัดชัยนาท ต่อมาโจทก์และจำเลยมีเรื่องทะเลาะกันและทำร้ายร่างกายกัน

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์มีว่าการกระทำของจำเลยถือเป็นเหตุให้ฟ้องหย่าได้ แล้วหรือไม่ โจทก์ฎีกาในข้อแรกว่าจำเลยประพฤติชั่ว โดยจำเลยกู้ยืมเงินคนอื่นหลาย คน เป็นจำนวนมากรวมแล้วประมาณ 160,000 บาท โดยกู้มาเล่นสลากกินรวบแล้วไม่ชำระให้จนผู้ให้กู้มาทวงจากโจทก์และโจทก์ต้องชำระแทนไปทำให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรงถูกดูถูก เกลียดชัง และได้รับความเดือดร้อน เห็นว่าเหตุที่ จำเลยไปกู้เงินคนอื่นมา เช่น ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน เอกสารหมาย จ. 2 เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2533หมาย จ. 5 เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2534 และ หมาย จ. 7 เมื่อวันที่1 มีนาคม 2531 รวม 160,000 บาท นั้นล้วนแต่เป็นการกู้ยืม หลังจากวันที่ 10 ตุลาคม 2522 ซึ่งโจทก์มีหนังสือถึงจำเลยตามเอกสาร หมาย ล. 1ที่ โจทก์ ถูกจับฐานพกอาวุธปืนและ ศาลพิพากษาลงโทษ ปรับ 2,000 บาทโดยใน เอกสาร หมาย ล. 1 โจทก์ ให้ จำเลย ช่วย เรื่อง การประกันตัวนั้นจึงน่าเชื่อว่าจำเลยได้ไปกู้ยืมเงินคนอื่นมาเพื่อใช้ จ่ายในคดีนี้ซึ่งจำเลยได้เบิกความประกอบเอกสารหมาย ล. 1 ว่า จำเลยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการ วิ่งเต้น จำนวน 58,000 บาท โดยเงินจำนวนนี้ได้ยืมคนอื่น 30,000 บาท ทำให้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเรื่อยมาและต่อมาโจทก์ได้ให้จำเลยลงชื่อในหนังสือสัญญากู้ยืม เงิน เอกสารหมาย จ. 2 จ. 5และ จ. 7 ไว้นอกจากนั้นเมื่อ นางสาว ญ. เริ่มเรียน หนังสือสูงขึ้นก็มีค่าใช้จ่ายในการศึกษาเล่าเรียนสูงขึ้น จำเลยคงได้กู้ยืมเงินคนอื่นมา ใช้จ่ายสำหรับการศึกษา ของนางสาว ญ. ด้วยดังที่ จำเลยได้ระบายความในใจให้ นาย คนึง นาคเถื่อน ฟังในจดหมายเอกสารหมาย จ. 4ลงวันที่ 30 เมษายน 2534 ว่าได้กู้เงินมาเพื่อให้บุตรเรียนหนังสือและมีแต่จำเลยเป็นฝ่ายให้ สามีจำเลยไม่เคยได้รับ อะไรจากสามีและในจดหมายเอกสาร หมาย จ. 8 ก็ระบุกู้ยืมเงินมาเพื่อการศึกษาของ บุตรเป็นต้น หนี้สินทั้งหมดจึงเกิดจากการนำมาใช้จ่ายในครอบครัวระหว่างโจทก์ จำเลย และบุตร มิใช่เกิดขึ้นเพราะจำเลยนำไปเล่นสลากกินรวบดังที่โจทก์กล่าวอ้าง การกระทำ ของจำเลยยังไม่ถือว่าเป็นการประพฤติชั่ว

โจทก์ฎีกาในข้อที่ 2 ว่าจำเลยดุด่าเหยียดหยามหมิ่นประมาทโจทก์ และบุพการีของ โจทก์ และจำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์อย่างร้ายแรงโดยจำเลยฉีกเสื้อผ้าโจทก์ด่าว่า โจทก์ และหมิ่นประมาทโจทก์และผู้บุพการีของโจทก์ต่อหน้าบุคคลอื่น ๆ และใช้ กรรไกร ทำร้ายโจทก์จนโจทก์ต้องหนีไปอยู่กับเพื่อนแล้วไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจไว้ตาม เอกสาร หมาย จ. 15 ถึง จ. 17 เห็นว่าที่จำเลยกระทำต่อโจทก์เช่นนั้นก็เพราะจำเลย หึงหวงและโกรธที่โจทก์หนีไปมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับหญิงอื่น ดังปรากฏอยู่ใน เอกสาร หมาย ล. 2 และ ล. 3 นั้นซึ่งนางสาว ญ.ได้เบิกความว่าจำเลย โกรธโจทก์ เพราะโจทก์ไปมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับหญิงอื่นและที่โจทก์อ้างว่าจำเลยด่าโจทก์และ บุพการีว่ามึงมันเลวเหมือนโคตรมึง โจทก์ก็ยอมรับว่า จำเลยด่าโจทก์เพราะหาว่าโจทก์ ไปติดพันนางสาวอารีย์ หากถ้อยคำดังกล่าวเป็นความจริงก็ไม่เป็นการหมิ่นประมาท โจทก์ หรือบุพการีของโจทก์เป็นการร้ายแรงเพราะเป็นเพียงถ้อยคำที่จำเลยกล่าวด้วย ความน้อยใจการกระทำของจำเลยต่อโจทก์ดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะฝ่ายโจทก์เป็นผู้ก่อขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องกระทบกระทั่งกันระหว่างสามี ภริยาทั่วไปไม่ร้ายแรงถึงกับเป็นเหตุฟ้อง หย่าได้

 

โจทก์ฎีกาในข้อสุดท้ายว่าจำเลย ประพฤติผิดทัณฑ์บน เรื่องความประพฤติที่ทำให้ไว้ ตามบันทึกการแจ้งความเอกสารหมาย จ. 16และ จ. 17 โดยหลังจากทำเอกสารหมาย จ. 16 และ จ. 17 แล้ว จำเลยยังทำการด่าทอ และทำร้ายโจทก์อยู่อีก เห็นว่าหลังจากที่มี การทำบันทึกการ แจ้งความ ลงวันที่ 25 มีนาคม 2535 และ วันที่ 7 เมษายน 2535ตามเอกสารหมาย จ. 16 และ จ. 17 ตามลำดับแล้วปรากฏว่า มีบันทึกข้อความใน เอกสารหมาย ล. 3 ลงวันที่ 15 เมษายน 2535 ว่าฝ่ายหญิงที่อ้างว่ามีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับโจทก์ จะเลิกประพฤติปฏิบัติไม่มีความสัมพันธ์กับ โจทก์อีกโดยเอกสารนี้ โจทก์ มิได้คัดค้านว่าไม่จริงอย่างไร จึงแสดงว่าหลังจากทำบันทึก เอกสารหมาย จ. 16 และจ. 17 แล้ว โจทก์ก็ยังไปมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับผู้หญิงคนนั้นอยู่ อีกจำเลยจึงได้ ดุด่า และทำร้าย โจทก์อีกการกระทำของจำเลยจึงมีสาเหตุมาจากการกระทำของโจทก์อีก เช่นกันการกระทำของจำเลยจึงยังไม่ถือว่าเป็นการประพฤติผิด ทัณฑ์บนที่ให้ไว้ ตามบันทึกเอกสาร หมาย จ. 16 และ จ. 17 การกระทำทั้งหมดของจำเลยตามที่โจทก์กล่าวอ้างใน ฎีกา จึงยังไม่เป็นเหตุฟ้องหย่า ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(2)(3) และ (8) ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้อง โจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น "

พิพากษายืน


 

ผู้แสดงความคิดเห็น admin วันที่ตอบ 2008-06-18 15:58:35



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล