ReadyPlanet.com


การกระทำฐานพยายามแตกต่างกับการกระทำโดยพลาดหรือสำคัญผิด


การกระทำฐานพยายามมีความแตกต่างกับการกระทำโดยพลาดหรือสำคัญผิดอย่างไร



ผู้ตั้งกระทู้ รสรินทร์ (Ros_501-at-hotmail-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2008-07-01 11:07:17


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1790341)

ความผิดฐานพยายาม กับความผิดฐานกระทำโดยพลาด  และกระทำโดยสำคัญผิดในตัวบุคคลไม่เหมือนกันนะครับ

มาตรา 80 ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

เช่นนายก้อน ต้องการฆ่า นายช้วน ยิงนายช้วนถูกที่ศีรษะ แต่หมอรักษาได้ทันจึงไม่ตาย ดังนี้นายก้อนมีความผิดฐานพยายามฆ่านายช้วน

มาตรา 60 ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการ กระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดย เจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น

เช่น นายก้อน ต้องการฆ่านายช้วน ยิงนายช้วนถูกศีรษะแล้วไม่ตาย แต่กระสุนนัดที่สองเลยไปถูก นายแถม น้องชายนายช้วนดังนี้ถ้านายแถมไม่ตาย นายก้อนมีความผิดฐานพยายามฆ่านายช้วน และพยายามฆ่านายแถมโดยพลาดไปด้วยครับ

มาตรา 61 ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิด ผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัว ว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่  

เช่น นายก้อนต้องการฆ่านายช้วน แต่เห็นนายแถมเดินมาเห็นหน้าตาเหมือนกันคิดว่าเป็นนายช้วน นายก้อนลั่นกระสุนปืนใส่นายแถมแต่หมอรักษาทัน ดังนี้นายก้อนมีความผิดฐานพยายามฆ่านายแถม โดยจะอ้างความสำคัญผิดว่าตัวเองไม่มีเจตนาไม่ได้ครับ


 

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-07-01 12:54:06


ความคิดเห็นที่ 2 (1790342)

ตัวอย่างกระทำโดยพลาด

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาซึ่งโจทก์และจำเลยมิได้อุทธรณ์โต้เถียงเป็นอย่างอื่นฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยมีและพาอาวุธปืนลูกซองสั้นของกลางซึ่งเป็นอาวุธปืนไม่มีทะเบียนติดตัวไปที่วิทยาลัย

เทคนิคตรังที่เกิดเหตุ และจำเลยใช้อาวุธปืนกระบอกดังกล่าวยิง 1 นัด กระสุนปืนที่จำเลยลั่นไกยิงดังกล่าวถูกนางสุรีย์ พุทธาพิพัฒน์ นางสาวสุภาพร สีรักษ์ นางสาวศิริวรรณ คะเณ นางสาวนุชนภา สมาธิ นางสาววีรนุช เหมือนทอง นางสาวอลิสา คงจันทร์ และนางสาวอุจฉราวดี เต็มสังข์ ได้รับอันตรายแก่กาย คดีมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยามฆ่าตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนายสิริ ด้วงผุด พยานโจทก์ซึ่งเป็นคู่วิวาทกับจำเลยเบิกความว่าก่อนเกิดเหตุพยานทราบจากเพื่อนชื่อนายสินชัย แก้วกำเนิด ว่ามีเรื่องชกต่อยกับจำเลยเรื่องแย่งจีบผู้หญิงกัน และจำเลยพูดว่าพบเด็กช่างเชื่อมที่ไหนจะชกต่อย วันเกิดเหตุพยานกับเพื่อนประมาณ 10 คน ซึ่งเป็นเด็กนักเรียนช่างเชื่อมนั่งอยู่ที่โรงอาหารของวิทยาลัยเทคนิคตรัง เห็นจำเลยกับเพื่อนเดินผ่านมา พยานจึงเดินเข้าไปถามเพื่อนของจำเลยว่าใครเป็นคนพูดว่า พบเด็กช่างเชื่อมแล้วจะชกพยานถามย้ำอยู่ 2 ครั้ง เพื่อนของจำเลยไม่ตอบ แต่จำเลยซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ร้องตอบว่า “กูพูดเอง” พยานจึงชกปากจำเลย 1 ครั้ง จำเลยใช้กระเป๋าเอกสารลักษณะเป็นกระเป๋าเจมส์บอนด์ที่ถืออยู่ในมือฟาดมาที่ศีรษะพยาน 1 ครั้ง พยานถูกฟาดเซถอยหลังมาเพื่อนของพยานที่นั่งอยู่ก็กรูกันเข้าไปจะทำร้ายจำเลย จำเลยวิ่งหนีไประหว่างอาคาร 2 กับห้องสมุด พวกของพยานวิ่งตามไป ส่วนพยานยังยืนอยู่ที่เดิมเนื่องจากมีเลือดไหลที่หู ระหว่างนั้นพยานได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัดจากทางที่จำเลยวิ่งหนีไป กับโจทก์มีนายคลี่ ขวดทอง เพื่อนนักศึกษาแผนกเดียวกับจำเลยพยานอีกปากหนึ่งเป็นประจักษ์พยานเบิกความสนับสนุนว่า ก่อนเกิดเหตุพยานเดินออกจากห้องเรียนพร้อมจำเลยกับเพื่อนอีก 3 ถึง 4 คน เพื่อเปลี่ยนห้องเรียน เมื่อเดินมาถึงที่เกิดเหตุพบนายสิริกับพวกประมาณ 30 คน ซึ่งเป็นนักศึกษาแผนกช่างเชื่อม นายสิริเดินมาดึงข้อมือจำเลยพาไปที่ข้างแท็งก์น้ำหลังอาคารเรียน 2 พยานกับพวกจึงพากันเดินตามไปถึงบริเวณหลังแท็งก์น้ำ นายสิริชกต่อยจำเลยและมีเพื่อนของนายสิริประมาณ 20 คน ถือมีด เหล็กแป๊บ และไม้บรรทัดเหล็ก กรูเข้ามาเพื่อจะทำร้ายจำเลย จำเลยวิ่งหนีไปทางหน้าวิทยาลัยซึ่งเป็นสนามบาสเกตบอล เมื่อวิ่งไปประมาณ 100 เมตร พยานเห็นจำเลยชักอาวุธปืนลูกซองสั้นออกมายิงสวนมาทางนายสิริกับพวกจำนวน 1 นัด กระสุนปืนถูกนักศึกษาหญิงที่นั่งอยู่ในโรงอาหารดังนี้ เห็นว่า แม้ตามคำเบิกความของนายสิริซึ่งเป็นคู่วิวาทกับจำเลยโดยตรงจะยังไม่ได้ความชัดแจ้งว่าจำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองพกสั้นของกลางยิงในลักษณะอย่างไร เพราะพยานบ่ายเบี่ยงเลี่ยงละความจริงอ้างว่ามิได้วิ่งไล่ตามไปทำร้ายจำเลยด้วยก็ตาม แต่ตามคำเบิกความของนายคลี่ ประจักษ์พยานโจทก์อีกปากหนึ่งได้เบิกความถึงลักษณะการใช้อาวุธปืนยิงของจำเลยไว้ชัดเจนว่า พยานเห็นจำเลยชักอาวุธปืนลูกซองพกสั้นของกลางออกมายิงสวนไปทางนายสิริกับพวกที่วิ่งไล่ตามทำร้ายจำเลยจำนวน 1 นัด คำเบิกความของนายคลี่จึงชอบด้วยเหตุผลมีน้ำหนักเชื่อถือได้อย่างสนิทใจเพราะนอกจากจะมีรายละเอียดของลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสมเหตุผลแล้ว ลักษณะการยิงตามคำเบิกความของพยานที่ระบุว่า จำเลยใช้ปืนยิงสวนมาทางนายสิริกับพวกที่วิ่งไล่ตามทำร้ายจำเลยก็สอดคล้องกับวิถีกระสุนปืนที่เมื่อพลาดไม่ถูกนายสิริกับพวก ย่อมมีโอกาสที่ลูกปรายของกระสุนปืนลูกซองจะกระจายออกไปถูกนักศึกษาหญิงหลายคนที่ยืนหรือนั่งอยู่ในบริเวณนั้นได้ ซึ่งนับว่าเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักเชื่อถือได้มากกว่าข้อนำสืบแก้ตัวของจำเลยที่อ้างว่ายิงขึ้นฟ้าเป็นการขู่ ทั้งนี้เพราะหากข้อที่จำเลยนำสืบรับข้อเท็จจริงว่าได้ใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นของกลางยิง 1 นัดจริง แต่เป็นการยิงขึ้นฟ้าเพื่อขู่พวกของนายสิริลูกปรายกระสุนที่จำเลยยิงก็ต้องกระจายขึ้นสู่ท้องฟ้า ไม่มีโอกาสที่จะกระจายพลาดไปถูกนักศึกษาหญิงหลายคนซึ่งขณะนั้นอยู่ในตำแหน่งที่เป็นระนาบเดียวกับจำเลยได้เลย ข้อนำสืบของจำเลยที่ขัดแย้งต่อวิถีกระสุนอันควรจะเป็นจึงขัดต่อเหตุผล ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ฟังข้อเท็จจริงเชื่อตามพยานหลักฐานของโจทก์ว่า จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นของกลางยิงสวนมาทางนายสิริกับพวก แต่กระสุนปืนพลาดไปถูกนักศึกษาหญิงหลายคนตามฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย แต่ที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษจำเลยเพียงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 60 อันเป็นการปรับบทลงโทษจำเลยเฉพาะต่อผลของการกระทำโดยพลาดที่เกิดแก่นักศึกษาหญิงผู้เสียหายทุกคนเท่านั้น โดยหาได้ปรับบทลงโทษจำเลยในการกระทำที่จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นยิงสวนมาทางนายสิริกับพวกซึ่งเป็นความผิดฐานพยายามฆ่านายสิริกับพวกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ด้วยนั้น ไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการต่อมาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ปัญหาข้อนี้จำเลยกล่าวอ้างในฎีกาว่า เมื่อนายสิริถามในเชิงบังคับขู่เข็ญให้ตอบว่าใครเป็นคนพูดว่าพบเด็กช่างเชื่อมแล้วจะชกจำเลยจึงตอบในเชิงตัดรำคาญว่า “กูเอง” โดยจำเลยมิได้มีเจตนาสมัครใจวิวาทกับนายสิรินั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยพาอาวุธปืนลูกซองสั้นติดตัวมาด้วยในขณะเกิดเหตุ ย่อมเป็นเครื่องบ่งชี้แสดงให้เห็นเจตนาในเบื้องต้นแล้วว่า จำเลยเตรียมพร้อมที่จะสมัครใจวิวาท การที่นายสิริกับพวกเข้ามาถามกลุ่มพวกของจำเลยด้วยกิริยาอาการดังที่จำเลยกล่าวอ้าง บ่งชี้ให้เห็นว่าเป็นการท้าทายกลุ่มพวกของพวกจำเลยอยู่ในที และเมื่อจำเลยตอบรับว่า “กูเอง” ซึ่งเสมือนเป็นการรับคำท้าทายของนายสิริโดยปริยาย เช่นนี้ พฤติการณ์แห่งคดีถือได้ว่าจำเลยกับนายสิริสมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้กัน จำเลยจึงไม่อาจอ้างการกระทำโดยป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ขึ้นเป็นข้อแก้ตัว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

สำหรับปัญหาตามฎีกาในประการสุดท้ายที่จำเลยฎีกาขอให้ปรานีลงโทษในสถานเบา ลดโทษ และรอการลงโทษให้แก่จำเลยนั้น เห็นว่า จำเลยพกพาอาวุธปืนลูกซองสั้นเข้ามาในสถานศึกษาโดยไม่สมควร และยังสมัครใจวิวาทต่อสู้กันสร้างความเดือดร้อนวุ่นวายในสถานศึกษา อีกทั้งยังใช้อาวุธปืนของกลางที่พกพามาซึ่งเป็นอาวุธปืนลูกซองสั้นยิงโดยไม่สนใจไยดีว่ากระสุนลูกปรายจะกระจายออกไปถูกนักศึกษาคนอื่นได้รับอันตราย และปรากฏว่ากระสุนปืนที่จำเลยยิงก็กระจายพลาดไปถูกนักศึกษาหญิงผู้เสียหายหลายคนได้รับอันตรายแก่กายด้วย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดร้ายแรงที่ศาลสมควรลงโทษจำเลยอย่างเด็ดขาด เพื่อเป็นการป้องปรามมิให้วัยรุ่นหรือนักศึกษาคนอื่นๆ ประพฤติเยี่ยงจำเลยอีก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ลงโทษและลดโทษแก่จำเลยแล้ว คงจำคุก 8 ปี โดยไม่พิจารณารอการลงโทษให้แก่จำเลยมานั้น นับว่าเหมาะสมเป็นคุณแก่จำเลยมากอยู่แล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้เบาลงอีก ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”

พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นนั้นจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 60 อีกบทหนึ่ง เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากันจึงให้ลงโทษจำเลยแต่เพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9

( ธานิศ เกศวพิทักษ์ - วิชัย วิวิตเสวี - พิทักษ์ คงจันทร์ )

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-07-01 12:55:46


ความคิดเห็นที่ 3 (1790343)

ตัวอย่างเทียบเคียงกระทำโดยสำคัญผิด

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ปัญหานี้จำเลยไม่ฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงโดยรับว่าจำเลยใช้มีดอีโต้เป็นอาวุธฟันผู้เสียหายหนึ่งครั้งเพียงแต่เท้าความว่า จำเลยเคยให้การในชั้นสอบสวนว่า ตั้งใจจะทำร้ายนายเครือ อ่อนจิ๋ว ซึ่งมีสาเหตุกันมาก่อนจึงพอจะอนุมานได้ว่า เหตุที่จำเลยฟันผู้เสียหายเป็นการทำร้ายโดยเข้าใจว่าผู้เสียหายเป็นนายเครือ อย่างไรก็ดีข้อเท็จจริงที่ไม่ได้โต้เถียงกันต้องรับฟังเป็นยุติว่า มีดอีโต้ที่จำเลยใช้เป็นอาวุธฟันผู้เสียหายมีขนาดตามคำฟ้องกล่าวคือใบมีดกว้าง 2.5 นิ้ว ยาวตลอดด้าม 18 นิ้ว ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บที่โคนนิ้วหัวแม่มือซ้ายเกือบขาดเหลือหนังติดประมาณ 3 เซนติเมตรกระดูกโคนนิ้วหัวแม่มือซ้ายหัก ผู้เสียหายถูกทำร้ายขณะที่ลงจากบันไดเรือนของนายทวน อ่อนจิ๋ว ถึงพื้นดินแล้ว พร้อมกับนายเครือโดยจำเลยกรากเข้ามาฟันตรงบริเวณศีรษะของผู้เสียหายในขณะนั้นแต่ผู้เสียหายยกมือซ้ายขึ้นรับจนได้รับบาดเจ็บดังกล่าว ส่วนเหตุการณ์ก่อนที่มีการทำร้ายเกิดขึ้น ได้ความว่า ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายและจำเลยร่วมวงดื่มสุรากับนายทวน นายเครือและนายบำเพ็ญในระหว่างนั้นมีเหตุวิวาทชกต่อยกันระหว่างนายเครือกับจำเลยทำให้จำเลยถูกนายเครือขึ้นเข่าจนทรุดลงกับพื้นข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ดังกล่าวแล้ว เห็นว่า ผู้เสียหายไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย เหตุที่จำเลยฟันทำร้ายผู้เสียหายเชื่อว่าเนื่องจากเป็นการเข้าใจผิดของจำเลยว่าผู้เสียหายเป็นนายเครือ ซึ่งมีเหตุวิวาทกันในระหว่างร่วมวงดื่มสุราก่อนนั้น แต่อย่างไรก็ตาม จำเลยจะยกเอาความสำคัญผิดขึ้นมาเป็นข้อแก้ตัวไม่ได้ต้องถือว่าจำเลยมีเจตนาที่จะกระทำต่อนายเครือเช่นใด ก็ต้องรับผิดในผลของการกระทำที่เกิดขึ้นแก่ผู้เสียหายเช่นนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 61 ส่วนการกระทำของจำเลยนั้นพิจารณาแล้ว มีเหตุผลให้เชื่อว่า หลังจากวิวาทชกต่อยกับนายเครือ จำเลยย่อมจะคุมแค้นนายเครือผู้เป็นต้นเหตุทำร้ายขึ้นเข่าถูกบริเวณข้างลำตัวของจำเลยจนทรุดลงกับพื้น นอกจากนี้ในระหว่างร่วมวงสุรากันนายเครือยังกีดกันมิให้จำเลยดื่มสุราและสูบบุหรี่อีกด้วย การกระทำของนายเครือคงจะสร้างความไม่พอใจให้แก่จำเลยมาก ดังจะเห็นได้จากคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยว่าขณะนั้นจำเลยมึนเมาสุราและโมโหนายเครือจึงคิดจะดักทำร้ายนายเครือ ได้หาไม้เพื่อตีทำร้ายแต่ไปพบมีดอีโต้ที่หลังบ้านเสียก่อน ดังนี้ จะเห็นว่าอาวุธที่จำเลยใช้ทำร้ายก็เป็นการหยิบฉวยเอาตามอารมณ์โกรธของจำเลยในขณะนั้น และเป็นมีดที่อยู่ในบ้านเรือนของนายทวน หาใช่อาวุธที่ตระเตรียมการมาล่วงหน้าไม่ การดักทำร้ายก็ตรงเข้าไปฟันผู้เสียหายโดยเข้าใจว่าเป็นนายเครือในขณะที่ผู้เสียหายและนายเครือลงมาจากเรือนพร้อมกัน การเงื้อมีดขึ้นฟันผู้เสียหายมีลักษณะฟันลงไปตรง ๆ ที่ตัวผู้เสียหาย มิได้เลือกตำแหน่งร่างกายที่เจตนาเจาะจงทำร้ายว่าเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายโดยเฉพาะ ทั้งการฟันทำร้ายก็ฟันเพียงครั้งเดียวไม่ได้ซ้ำเติมอีก พฤติการณ์เหล่านี้เชื่อว่า จำเลยมีเจตนาเพียงที่จะทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น ที่ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บง่ามมือซ้ายฉีกเกือบขาด อาจเป็นเพราะร่างกายในส่วนนั้นไม่มีส่วนแข็งหรือกระดูกที่ป้องกันคมมีดได้ดี เมื่อคำนึงว่าสาเหตุที่เป็นมูลจูงใจให้จำเลยทำร้ายผู้เสียหายซึ่งจำเลยเข้าใจว่าเป็นนายเครือ เป็นสาเหตุเล็กน้อยที่ปกติเกิดขึ้นเสมอในวงสุรา จึงเห็นว่าจำเลยไม่มีเจตนาจะฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยต้องรับผิดเพียงข้อหาทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้รับอันตรายสาหัสดังที่ศาลชั้นต้นปรับบทและลงโทษมาเท่านั้น

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

( สุชาติ สุขสุมิตร - นำชัย สุนทรพินิจกิจ - เธียรไท สุนทรนันท )

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-07-01 12:56:59



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล