น้องแม่มายืมที่ดินแม่ไปค้ำประกันเงินกู้สุดท้ายบ่ายเบี่ยง ช่วยแนะนำทีครับ | |
เมื่อหลายปีก่อนน้องชายของแม่ผมชื่อนายธงชัย มาขอยืมที่ดินของแม่ผมจำนวน2แปลงแปลงหนึ่งเป็นแปลงที่แม่ผมใช้อาศัยอยู่เนื้อที่200วา และแปลงที่2เป็นทีว่างเปล่าเนื้อที่152วา เพื่อขอไปค้ำประกันเงินกู้ของนายธงชัยที่มีต่อธนาคารกรุงไทยเป็นจำนวนเงินสองล้านบาท แม่ผมก็ให้ไปเพราะแม่ผมรักน้องคนนี้มาก ซึ่งก่อนที่แม่ผมจะนำที่ดินแปลงนี่ไปค้ำเงินกู้ให้เขา แม่ผมก็ไปโอนเปลี่ยนชื่อจากชื่อแม่ผมไปใส่ชื่อคนสนิทที่แม่ผมใว้ใจก่อนคือใส่ชื่อนางเกยูร จากนั้นถึงไปทำเรื่องค้ำประกันเงินกู้ให้นายธงชัย หลังจากนั้นมาหลายปีนายธงชัยถูกฟ้องล้มละลายเพราะนายธงชัยมีหนี้สินต่อธนาคารกรุงไทยประมาณสิบห้าล้านบาทจากที่ดินแปลงอื่นอีกสองแปลง รวมกับแปลงที่ขอยืมแม่ผมอีกสองแปลงก็รวมเป็นสี่แปลง ที่ธนาคารฟ้อง เมื่อนายธงชัยกำลังจะถูกฟ้องล้มละลายเขาจึงไปติดต่อขอประณีประณอมชำระหนี้และธนาคารก็อนุมัตโดย ให้นายธงชัยชำระหนี้เป็นเงิน15ล้านเศษ ประกอบด้วยที่ดิน 1.แปลงนาดี จ.ปราจีนบุรี ยอดปิด 3 ล้าน 2.แปลง ตำบลบ้านเสม็ด จ.ชลบุรี ยอดปิด 9 ล้าน 3.แปลงของแม่ผม200วา ยอดปิด 2 ล้าน 4.แปลงของแม่ผม152วา ยอดปิด 1 ล้าน ซึ่งแปลงที่1และแปลงที่2 ผมจะไม่พูดถึงแพราะนายธงชัยหาคนมาซื้อเพื่อนำเงินไปปิดได้ ส่วนแปลงที่3และ4 นายธงชัยใช้วิธี หาคนรับซื้อฝากมาทำนิติกรรมขายฝากต่อ(เปรียบเสมือนการสร้างหนี้เพิ่มให้แม่ผมหนักเข้าไปอีก)โดยความเป็นจริงนายธงชัยต้องการทำขายฝาก3ล้าน6แสนบาท แต่ ตัวเขากลับให้บวกดอกเบี้ยเดือนละ7หมื่น2พันบาทเป็นระยะเวลา12เดือนเข้าไปด้วย (เฉพาะดอก12เดือนเป็นเงิน864000บาท)รวมกับเงินต้น3.6ล้านก็เป็นงิน 4464000 วันทำสัญญาขายฝากคือวันที่1กุมภา 50 ยอดเงินขายฝาก คือ 4464000 บาท ไม่ต้องส่งดอก 1 ปี แต่ หลังจากวันที่ 1 กุมภา 51 คือปีนี้ ต้องส่งดอกเดือนละ เกือบ 9 หมื่น ทุกเดือน ซึ่งนายธงชัยไม่เคยเหลียวแลไม่เคยมาช่วยแม่ผมส่งดอกเลยหรือหาวิธีแก้ไข แม่ผมต้องหาเงินส่งดอกเกือบ9หมื่นทุกเดือนจนครั้งสุดท้ายเดือนมิถุนายนแม่ผมต้องไปยืมพี่ชายของเขามาเพื่อส่งดอก และสิ่งที่หนักไปกว่าเดิมแม่ผมกลับมาเสียชีวิตวันที่7กรกฦานคม นายธงชัยกลับนิ่งเฉยกลับทำเหมือนทองไม่รู้ร้อน คิดว่าตัวเองสบายแล้วไม่ต้องใช้หนี้แม่ผมแน่ ส่วนคุณเกยูรที่แม่ผมใส่ชื่อในที่ดินใว้นั้นก็ทวงถามนายธงชัยไปหลายครังเหมือนกัน ผมกับพี่ชายไปทวงถามถึงบ้านนายธงชัยก็ถูกบ่ายเบี่ยงมาตลอด สุดท้ายเดือนที่แล้วผมกับพี่ชายช่วยกันหาเงินเก้าหมื่นมาส่งดอกเพื่อไม่ให้บ้านหลุด และเดือนนี้ก็ใกล้สิ้นเดือนอีกแล้วผมต้องทำอย่างไรดีครับจะตั้งทนายสู้อย่างไรดีครับ อยากฟ้องร้องครับ มีวิธีไหนบ้างครับ | |
ผู้ตั้งกระทู้ พงษ์ :: วันที่ลงประกาศ 2008-08-25 20:35:54 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (1826211) | |
ตามที่บอกเล่ามาก็รู้สึกเห็นใจเป็นอย่างมากครับ นอกจากนั้นตามข้อเท็จจริงก็น่าหนักใจเช่นกันจึงขออธิบายดังนี้ครับ การที่แม่คุณเปลี่ยนชื่อจากการถือกรรมสิทธิ์ที่ดินไปเป็นของคุณเกยูร นั้นต้องไปตรวจดูว่าตามสัญญาการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ระบุเป็นการขายหรือให้โดยเสน่หาหรือประการอื่นๆ เนื่องจากในผลของกฎหมายย่อมถือว่านับตั้งแต่วันโอนกรรมสิทธิ์นั้นคุณแม่ของคุณจึงไม่ใช่เจ้าของที่ดินอีกต่อไป ดังนั้นในทางกฎหมายจึงเป็นการที่คุณเกยูร เป็นผู้ผูกพันตามนิติกรรมที่ทำไว้กับผู้รับซื้อฝาก ถ้าคุณมีเงินมากพอจะไถ่ถอนก็สามารถตกลงกับคุณเกยูร และผู้รับซื้อฝากได้ แต่เงินจำนวนมากอย่างนั้นหากดูรูปการแล้วคงสู้กับดอกเบี้ยต่อไปไม่ไหวแน่ๆ เมื่อไม่มีเงินไปไถ่ถอนตามสัญญาขายฝากได้แล้ว ผู้รับซื้อฝากย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินไปตามสัญญา เนื่องจากตามสัญญาขายฝากนั้นได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้วนับแต่วันทำสัญญาขายฝาก กรณีต่อไปถามว่าคุณต้องการฟ้องร้องน้าชายเรียกที่ดินหรือเงินคืนคงทำได้ยากเพราะไม่มีสัญญาต่อกันไว้ และที่สำคัญก็คือแม่คุณได้โอนชื่อไปเป็นของคุณเกยูรแล้ว จึงเป็นการขาดตอนไปแล้วครับ และนอกจากประเด็นนี้แล้ว การยอมตนเข้าไปผูกพันเป็นผู้ค้ำประกันหรือเข้าทำสัญญาใดๆ ก็เป็นไปโดยความสมัครใจ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่น้าชายคุณผิดสัญญาใดๆ ที่ทำไว้ต่อกันครับ
มาตรา 680 อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ค้ำประกันผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น อนึ่ง สัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
มาตรา 491 อันว่าขายฝากนั้นคือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อโดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-08-26 09:30:54 |
ความคิดเห็นที่ 2 (1826578) | |
ขอขอบคุณคุณลีนนท์ที่ให้คำแนะนำครับ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น พงษ์ วันที่ตอบ 2008-08-26 21:57:25 |
[1] |