ReadyPlanet.com


ไม่เข้าใจ


ประมวลกฎหมายอาญามาตราที่59วรรค3อธิบายให้ผมหน่อยน่ะครับ



ผู้ตั้งกระทู้ ตู่ อลงกรณ์ :: วันที่ลงประกาศ 2008-09-21 19:45:19


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1841860)

มาตรา 59 วรรคสาม
ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง อันเป็นองค์ประกอบของความผิดจะ ถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำ นั้นมิได้

ที่ดินของผู้เสียหายไม่มีแนวเขตที่แน่นอน จำเลยโต้เถียงตลอดมาว่า ที่ดินไม่ใช่ของผู้เสียหาย ขณะที่จำเลยเข้าไปก่อสร้างห้องแถวบ้านพักชั่วคราว ปักหลักกั้นรั้ว และก่อสร้างรั้วคอนกรีตในที่ดินจำเลยจึงไม่รู้ว่าที่ดินนั้นอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของโจทก์อันเป็นองค์ประกอบของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ซึ่งตามมาตรา 59 วรรคสาม จะถือว่าจำเลยกระทำโดยประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลไม่ได้จึงไม่เป็นการกระทำโดยเจตนาไม่มีความผิด

โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2536 ถึงวันที่ 7 กันยายน 2536 ทั้งเวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกันตลอดมา จำเลยทั้งสองกับพวกอีกหลายคนซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันบุกรุกเข้าไปก่อสร้างห้องแถว บ้านพักชั่วคราว ปักหลักกั้นรั้ว และก่อสร้างรั้วคอนกรีตในที่ดินโฉนดเลขที่ 1151 ตำบลเขานิเวศน์ อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ของนายชัยโย วัจนมาลา ผู้เสียหายเพื่อถือการครอบครองที่ดินทั้งหมดอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุขขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365(2), 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 365(2)(3), 83 ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ผู้เสียหายเบิกความเป็นพยานว่า เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2536เวลาประมาณ 9 นาฬิกา เห็นจำเลยที่ 2 กับพวกอีกสี่คนกำลังปักหลักไม้และหลักคอนกรีตในที่ดินของผู้เสียหายประมาณ 10 หลัก ผู้เสียหายบอกจำเลยที่ 2 ว่า ที่ดินเป็นของผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 ขอดูหลักฐาน เมื่อผู้เสียหายเอาโฉนดให้จำเลยที่ 2 ดู จำเลยที่ 2 บอกว่าเป็นโฉนดปลอมผู้เสียหายจึงขอให้ไปตกลงที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองระนองเจ้าพนักงานตำรวจสอบสวนแล้วแนะนำให้ผู้เสียหายรังวัดสอบเขตที่ดินให้แน่นอนก่อนจำเลยที่ 2 ว่า หากรังวัดแล้วเป็นที่ดินของผู้เสียหายจะรื้อถอนหลักที่ปักไว้ออกไป และจะไม่เข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีก ร้อยตำรวจโทชัยมิตร สิทธิพูน พนักงานสอบสวนเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า ผู้เสียหายอ้างว่าเป็นที่ดินมีโฉนดจำเลยที่ 1 ว่าไม่มีโฉนด และเป็นฝ่ายครอบครองมาตั้งแต่ พ.ศ. 2501 ทั้งสองฝ่ายตกลงจะให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัด หากผลการรังวัดปรากฏว่าเป็นที่มีโฉนดจำเลยที่ 1 ยอมให้เป็นของผู้เสียหายและเบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านว่า ตอนที่ผู้เสียหายนำชี้ให้ทำแผนที่เกิดเหตุยังไม่ทราบว่าสิ่งปลูกสร้างของจำเลยรุกล้ำที่ดินพิพาทหรือไม่ ทราบว่ามีการรุกล้ำเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดทำรูปจำลองเสร็จแล้ว จำเลยทั้งสองเบิกความว่าครอบครองที่พิพาทมานานแล้ว เห็นว่า ตามคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองปากดังกล่าว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินของโจทก์ไม่มีแนวเขตที่แน่นอน จำเลยทั้งสองโต้เถียงตลอดมาว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงจึงไม่พอฟังว่า ขณะที่จำเลยทั้งสองเข้าไปก่อสร้างห้องแถวบ้านพักชั่วคราว ปักหลักกั้นรั้ว และก่อสร้างรั้วคอนกรีตในที่ดินพิพาทตามที่โจทก์ฟ้องนั้น จำเลยรู้อยู่แล้วว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของโจทก์ เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้รู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ขณะเข้าไปปลูกสร้างดังวินิจฉัยข้างต้น จำเลยทั้งสองจึงไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคสาม บัญญัติว่า จะถือว่าจำเลยทั้งสองกระทำโดยประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลไม่ได้ ดังนั้นการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นการกระทำโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคแรก และวรรคสอง ไม่มีความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง"

พิพากษายืน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3714/2540

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-09-25 16:31:40


ความคิดเห็นที่ 2 (1841862)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6405/2539  แจ้งแก้ไขข้อมูล

จำเลยสำคัญผิดโดยเข้าใจว่าผู้เสียหายอายุ 17 ปี ย่อมมีผลให้จำเลยไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าผู้เสียหายอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยไม่รู้ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงถือว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิดฐานนี้ ตาม ป.อ.มาตรา 59 วรรคสาม

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-09-25 16:34:34



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล