ผมได้ไปหาข้อมูล และได้พบข้อมูลคำถามและคำตอบของผู้ที่มีหัวอกเดียวกับคุณ ถ้าคุณอ่านแล้วอาจสบายใจขึ้นบ้างนะครับ
การตรวจสอบประวัติก่อนรับราชการ รายละเอียด: ผมจะผ่านในการตรวจสอบประวัติไหม เรื่องเดิมมีอยู่ว่าในช่วงผมอยู่ชั้นม.5(พ.ศ2538)ผมได้ไปเที่ยวแถวบริเวณโรงเรียนใกล้บ้านกับเพื่อนอีก2คนช่วงเวลาประมาณ 2 ทุ่ม ผมไม่รู้ด้วยซำว่าเพื่อนอีก2คนมียาบ้าอยู่ในตัวพออีกสักพักได้ตำรวจประมาณ 8 นายได้วิ่งไล่จับแต่จับผมได้เพื่อนอีก 2คนวิ่งหนีทันพอตำรวจจับผมได้ก็จับขึ้นรถโดยไม่ให้โอกาสที่แจ้งให้ผู้ปกครองผมทราบเลยและในระหว่างนำผมไปโรงพัก(สภอ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี) ก็ตบกระทืบผมมาตลอดทางพอมาถึงโรงพักก็สอบสวนผมตำรวจถามว่าเอายาบ้ามาจากไหนผมบอกว่าไม่รู้ผมก็บอกว่าผมไม่ได้เสพถ้าไม่เชื่อตรวจปัสสวะซิเขาก็ไม่สนเพราะมันเป็นของเพื่อนอีก 2 คนแล้วเขาก็บอกผมว่ารู้ไหมยาบ้ามีกี่เม็ดผมบอกว่าไม่รู้เขาก็บอกว่ามียาบ้า 6 เม็ดถ้ายอมสารภาพจาก 6 เม็ดจะเหลือแค่2 เม็ดแต่ถ้าไม่รับจะเป็นผู้จำหน่ายติดคุกอย่างเดียวช่วงขณะนั้นวุฒิภาวะ วัยวุฒิต่างๆเมื่อเจอคำพูดนี้ตำรวจให้เซ็นอะไร พิมพ์ลายนิว้มืออะไรทำหมดเลยเมื่อ เสร็จอีก 2 วันก็ส่งสำนวนฟ้องศาลตัดสินศาลตัดสินให้ผมจำคุก 2 ปีแต่ลงอาญาไว้ก่อนปรับ 10,000 บาท และผลที่ตามมาก็คือผมได้มีโอกาสไปสอบพลตำรวจ ปี2545 ผ่านทุกอย่างแต่ประวัติผมไม่ผ่านผมกังวลมาก เพราะผมไปสอบครูสพฐ.1/2548 มาเมื่อเดือนที่แล้ว ผมสอบได้ที่33 เอกคณิตศาสตร์ จ.สระบุรีผมอยากจะถาม ว่าถ้าผมได้บรรจุเป็นครูแล้วมีการตรวจสอบประวัติผมจะผ่านไหมหรือถ้าเข้าไปทำงานแล้วเขามีการตรวจสอบประวัติแล้วเขาจะไล่ผมออกไหม ปัจจุบันผมอายุ 27 ปีทำงานวิทยาลัยแห่งหนึ่ง จ.สระบุรี ทำงานมา 5 ปีแล้วครับยังไม่ได้บรรจุและปัจจุบันผมกำลังรอเรียกบรรจุครู สพฐ.เหมือนกัน ผมเคยเข้าเวปต์ ก.พ.แล้วสอบถามและได้คำตอบข้างล่างนี้ ขอเรียนว่า ผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติทั่วไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ 2535 ซึ่งมาตรา 30 ( 7 ) บัญญัติว่าผู้นั้นต้องไม่เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นที่รังเกียจของสังคม และมาตรา 30 (10) บัญญัติว่าผู้นั้นต้องไม่เป็นผู้เคยต้องรับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเพราะกระทำผิดทางอาญา เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ สำหรับกรณีของท่าน การที่ท่านถูกจับกุมเนื่องจากเสพยาม้า ปรากฏว่าศาลพิพากษาให้จำคุกมีกำหนด 2 ปี แต่ให้รอการลงอาญาไว้ กรณีจึงไม่ถือว่าท่านเป็นผู้เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกที่จะเป็นผู้ขาดคุณสมบัติทั่วไปตามมาตรา 30 (10) ส่วนจะถือเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีหรือไม่นั้น โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเกี่ยวกับเรื่องนี้มีสาระสำคัญว่าผู้ที่มีประวัติการเสพหรือติดยาเสพติด และได้พ้นจากสภาพการใช้ยาเสพติด โดยได้รับการรับรองจากแพทย์ หรือโดยผ่านการบำบัดรักษาของทางราชการหรือสถานบำบัดที่ได้รับการรับรองจากทางราชการ ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้มีโอกาสในการทำงาน หรือเข้ารับการศึกษาเช่นบุคคลทั่วไปโดยหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจ จะปฏิเสธไม่รับผู้นั้นเข้าทำงานหรือศึกษาต่อ โดยอ้างเหตุว่าเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดี จนเป็นที่รังเกียจของสังคมมิได้ ทั้งนี้ตามหนังสือสำนักเลขาธิการคระรัฐมนตรี ด่วนที่สุดที่ นร 0504/ว 208 ลงวันที่ 15 สิงหาคม 2546 สำหรับกรณีของท่าน หากข้อเท็จจริงเข้าข่ายตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ก็จะได้รับผลเช่นเดียวกัน ส่วนราชการจะนำเหตุดังกล่าวมาสั่งให้ท่านออกจากราชการไม่ได้ เว้นแต่จะปรากฏข้อเท็จจริงว่าท่านเป็นผู้ขาดคุณสมบัติทั่วไปในประการอื่นอีก ยังไงช่วยตอบหน่อยนะครับ (คนรอความหวังอยากรับใช้คุณแผ่นดิน)
**************
ประเด็นเรื่องเงื่อนไขในการเข้ารับราชการผู้จะเข้ารับราชการต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญคือ ประการแรกต้องไม่เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นที่รังเกียจของสังคม และประการที่สองต้องไม่เป็นผู้เคยต้องรับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเพราะกระทำผิดทางอาญา เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ . ในประการที่สองนั้นคงไม่มีปัญหาเพราะคดีที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปีแต่ลงอาญาไว้ก่อนนั้นถือว่าผู้นั้นยังไม่เคยรับโทษให้จำคุก เพราะต้องเป็นกรณีที่ได้รับโทษจำคุกจริงๆ (ติดคุก) . แต่ในประการแรกนั้นเป็นเรื่องดุลพินิจของทางคณะกรรมการผู้คัดเลือกของหน่วยงานนั้นๆว่า เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นที่รังเกียจของสังคมหรือไม่ ซึ่งตามหนังสือสำนักเลขาธิการคระรัฐมนตรี ด่วนที่สุดที่ นร 0504/ว 208 ลงวันที่ 15 สิงหาคม 2546 ซึ่งเกี่ยวกับผู้ที่มีประวัติการเสพหรือติดยาเสพติด ที่ห้ามมิให้ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจ จะปฏิเสธไม่รับผู้นั้นเข้าทำงานหรือศึกษาต่อ โดยอ้างเหตุว่าผู้นั้นมีประวัติการเสพหรือติดยาเสพติด . แต่เงื่อนไขสำคัญที่คุณได้รับประโยชน์หนังสือสำนักเลขาฯดังกล่าวได้ต้องเป็นกรณีที่เป็นคดีเกี่ยวกับการเสพหรือติดยาเสพติด แต่หากเป็นคดีจำหน่ายยาเสพติดคงไม่ได้รับประโยชน์จากหนังสือฉบับดังกล่าวครับ . ดังนั้นต้องดูจากคำพิพากษาคดีดังกล่าวว่าศาลตัดสินว่าคุณกระทำความผิดเช่นไรครับ
|