ReadyPlanet.com


เช็คอาญาหรือไม่


เรียน คุณ ลีนนท์

1.คำพิพากษาฎีกาที่ 2921/2540 , 1847-1848/2541  จำเลยออกเช็คฉบับแรกไปแลกเงินสดจากโจทก์ เช็คฉบับแรกมิได้ออกเพื่อชำระหนี้ จึงไม่เป็นความผิด ต่อมาธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน มีผลก่อให้เกิดหนี้ระหว่างจำเลยผู้ออกเช็คกับโจทก์ผู้ทรงตามจำนวนเงินในเช็คฉบับนั้นแล้ว ตาม ป.พ.พ. มาตรา 914 ต่อมาจำเลยออกเช็คฉบับใหม่เพื่อชำระหนี้ที่เกิดขึ้นดังกล่าว ถือว่าเช็คฉบับหลังออกเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คฉบับหลัง จำเลยจึงมีความผิดทางอาญา
-จากฏีกา2921/2540 ที่ข้าฯคัดลอกมาให้ท่านดู ขอเรียนถามว่า

1.กรณีของข้าฯ ภรรยานำเช็คมาแลกเงินสด ต่อมาเช็คเด้ง ข้อ เงินในบัญชีไม่พอจ่าย ยอดเงิน 3 แสน  เช็คฉบับนี้มิได้ออกเพื่อชำระหนี้จึงไม่มีความผิดทาง อาญาถูกต้องหรือไม่  ขอคำแนะนำและคำอธิบายด้วย

2.ต่อมา สามีของลูกหนี้มาทำหนังสือรับสภาพหนี้ ยอด 3แสน+ดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อเดือน เข้าไปในเช็คฉบับใหม่ โดยสามีของลูกหนี้เป็นคนสั่งจ่ายเช็คลงวันที่ 1ธค.51  ข้าฯได้นำเช็คไปเรียกเก็บ  ธนาคารปฎิเสธเงินไม่พอจ่าย  เช็คฉบับนี้ผิดอาญาหรือไม่ เข้าข่ายฏีกา2921/2540 หรือยัง ขอคำแนะนำและคำอธิบาย

3.เช็คฉบับแรกภรรยาเป็นคนสั่งจ่ายแล้วเช็คเด้ง  ฉบับต่อมาสามีเป็นคนสั่งจ่ายแทนเช็คฉบับแรกที่เด้งฏีกาที่2921/2540  ต้องเป็นบุคคล คนเดียวกันหรือไม่

4.อยากทราบว่าฏีกา ฉบับเต็ม สามารถค้นหาได้จากที่ไหน

ขอขอบคุณล่วงหน้า ขออวยพรปีใหม่ให้ทีมงานทุกท่านมีความสุข



ผู้ตั้งกระทู้ ปีใหม่ :: วันที่ลงประกาศ 2008-12-09 09:17:52


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1874859)

1.กรณีของข้าฯ ภรรยานำเช็คมาแลกเงินสด ต่อมาเช็คเด้ง ข้อ เงินในบัญชีไม่พอจ่าย ยอดเงิน 3 แสน  เช็คฉบับนี้มิได้ออกเพื่อชำระหนี้จึงไม่มีความผิดทาง อาญาถูกต้องหรือไม่  ขอคำแนะนำและคำอธิบายด้วย

*

ถูกต้องครับ

*

แม้การที่จำเลยออกเช็คนำไปแลกเงินสดจากโจทก์จะมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายก็ตามแต่การที่จำเลยออกเช็คแล้วนำไปแลกเงินสดจากโจทก์และเช็คดังกล่าวไม่มีการชำระเงินตามที่จำเลยสั่งจ่ายนั้นย่อมเกิดเป็นหนี้ระหว่างจำเลยกับโจทก์ตามจำนวนเงินที่ระบุในเช็คนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา898,900ซึ่งในกรณีนี้หากจำเลยออกเช็คฉบับใหม่เพื่อชำระหนี้ตามเช็คที่จำเลยออกให้แก่โจทก์ดังกล่าวเช็คที่จำเลยออกในภายหลังนี้ย่อมถือว่าเป็นเช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากใช้เช็คฯมาตรา4ได้เมื่อปรากฎว่าต่อมาโจทก์และจำเลยได้แปลงหนี้เดิมซึ่งเป็นหนี้ตามเช็คมาเป็นหนี้ตามสัญญากู้ยืมและจำเลยได้ออกเช็คพิพาทชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมจึงต้องถือว่าจำเลยได้ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมอันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายเมื่อโจทก์นำไปเรียกเก็บเงินและธนาคารปฎิเสธการจ่ายเงินจึงถือว่าจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534มาตรา4

*

2.ต่อมา สามีของลูกหนี้มาทำหนังสือรับสภาพหนี้ ยอด 3แสน+ดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อเดือน เข้าไปในเช็คฉบับใหม่ โดยสามีของลูกหนี้เป็นคนสั่งจ่ายเช็คลงวันที่ 1ธค.51  ข้าฯได้นำเช็คไปเรียกเก็บ  ธนาคารปฎิเสธเงินไม่พอจ่าย  เช็คฉบับนี้ผิดอาญาหรือไม่ เข้าข่ายฏีกา2921/2540 หรือยัง ขอคำแนะนำและคำอธิบาย

*

เมื่อสามีทำหนังสือรับสภาพหนี้ จึงทำให้หนี้นั้นเป็นหนี้ที่มีหลักฐานเป็นหนังสือขึ้นมา ดังนั้นเช็คฉบับใหม่จึงเป็นเช็คสั่งจ่ายชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ ต่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจึงมีความผิดตาม พ.ร.บ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คแล้วครับ (ความเห็น)

*

3.เช็คฉบับแรกภรรยาเป็นคนสั่งจ่ายแล้วเช็คเด้ง  ฉบับต่อมาสามีเป็นคนสั่งจ่ายแทนเช็คฉบับแรกที่เด้งฏีกาที่2921/2540  ต้องเป็นบุคคล คนเดียวกันหรือไม่

*

น่าจะเป็นหนี้ร่วมที่สามีภรรยา ก่อหนี้ร่วมกัน เมื่อสามีรับสภาพหนี้ เช็คที่สามีสั่งจ่าย ย่อมสั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ครับ คงไม่ต้องย้อนไปคำนึงถึงเช็คฉบับแรกที่ภริยาจ่ายอีกต่อไป

 

4.อยากทราบว่าฏีกา ฉบับเต็ม สามารถค้นหาได้จากที่ไหน

*

ฉบับเต็มจริง ๆ อยู่ที่ศาล ซึ่งถ้าไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียก็คงคัดถ่ายไม่ได้ครับ

แต่มีย่อยาวดังนี้ครับ

*

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2921/2540

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง

จำเลยให้การปฎิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวมจำคุก 12 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีนี้จำเลยฎีกาแต่ในปัญหาข้อกฎหมายในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยฎีกานั้นศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเคยนำเช็คไปแลกเงินสดจากโจทก์หลายครั้ง ในที่สุดเป็นหนี้โจทก์เป็นเงินประมาณ4,000,000 บาท ต่อมาจำเลยได้แปลงหนี้ใหม่โดยได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจำนวน 400,000 บาท และ 408,000 บาท ตามสัญญากู้ยืมเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 กับออกเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.3 และจ.5 ให้แก่โจทก์เมื่อเช็คพิพาททั้งสองฉบับถึงกำหนดใช้เงินโจทก์นำไปเข้าบัญชีของโจทก์เพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฎิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า "บัญชีปิดแล้ว"ปรากฎตามใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.4 และ จ.6 จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำที่จะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 นั้น จะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายดังนั้น หนี้เดิมจึงต้องมีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายด้วยเมื่อหนี้เดิมจำเลยไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อมาโจทก์ทำหลักฐานแปลงหนี้ให้จำเลยลงลายมือชื่อและมาฟ้องให้จำเลยรับผิดจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า แม้การที่จำเลยออกเช็คนำไปแลกเงินสดจากโจทก์ การออกเช็คของจำเลยดังกล่าวจะมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ก็ตาม แต่การที่จำเลยออกเช็คแล้วนำไปแลกเงินสดจากโจทก์และเช็คดังกล่าวไม่มีการชำระเงินตามที่จำเลยสั่งจ่ายนั้นย่อมเกิดเป็นหนี้ระหว่างจำเลยกับโจทก์ตามจำนวนเงินที่ระบุในเช็คนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 898, 900 ซึ่งในกรณีนี้หากจำเลยออกเช็คฉบับใหม่เพื่อชำระหนี้ตามเช็คที่จำเลยออกให้แก่โจทก์ดังกล่าว เช็คที่จำเลยออกในภายหลังนี้ย่อมถือว่าเป็นเช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ได้เมื่อในคดีนี้ปรากฎว่าต่อมาโจทก์และจำเลยได้แปลงหนี้เดิมซึ่งเป็นหนี้ตามเช็ค มาเป็นหนี้ตามสัญญากู้ยืมเอกสารหมาย จ.1 และจ.2 และจำเลยได้ออกเช็คพิพาทเอกสาร จ.3 และ จ.5 ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 จึงต้องถือว่าจำเลยได้ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมอันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายตามความในพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 แล้วจำเลยจึงมีความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวได้ เมื่อจำเลยออกเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.3 และ จ.5 เพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมดังกล่าวและเมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนด โจทก์นำไปเรียกเก็บเงินปรากฎว่าธนาคารตามเช็คปฎิเสธการจ่ายเงิน โดยให้เหตุผลว่า"บัญชีปิดแล้ว" อันแสดงว่าจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4ตามที่โจทก์ฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น"

พิพากษายืน

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2008-12-10 10:34:50



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล