ReadyPlanet.com


พรากผู้เยาว์ไหมครับแบบนี้


เรื่องก็มีอยู่ว่าคบกันมาได้1ปีผู้หญิงอายุ16ปี ปีนี้ 17 แล้วคบกันมาโดยที่ผู้ใหญ่รู้และมีอะไรกันแล้วโดยผู้ใหญ่ก็รู้ และไม่ได้ว่าอะไร ทําพิธีเสียผีกันเรียบร้อย พอ อายุ17 ก็เกิดเหตุการณ์ เลิกกัน โดยแม่ฝ่ายหญิงขู่ว่าจะฟ้อง ร้อง หรือ แจ้งความ ไม่ทราบว่าผมจะโดนอะไรบ้าง หรือว่า ยังไงครับ



ผู้ตั้งกระทู้ KikaPu :: วันที่ลงประกาศ 2009-05-02 13:46:21


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1932711)

มาตรา 319 ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไป เสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และ ปรับตั้งแต่สี่พันบาทถึงสองหมื่นบาท

ผู้ใดโดยทุจริต ซื้อ จำหน่าย หรือรับตัวผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากตามวรรคแรก ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้พรากนั้น

 

การพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดา ถ้าพรากไปเพื่อการอนาจาร แม้ผู้เยาว์จะยินยอมก็ตาม ถ้าผู้เยาว์มีอายุไม่เกิน 18 ปี จึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์

แต่ตามข้อเท็จจริงที่ให้มาปรากฎว่า ได้มีการเจรจาทำพิธีเสียผีกันเรียบร้อยแล้ว ก็ตาม แต่ความผิดได้สำเร็จแล้ว แม้ภายหลังที่ได้กระทำความผิดสำเร็จแล้ว และบิดามารดาผู้เยาว์ไม่ติดใจเอาความต่อกันก็ตาม เมื่อความผิดฐานพรากผู้เยาว์เป็นความผิดอาญาแผ่นดินซึ่งไม่สามารถยอมความกันได้ เมื่อต่อมาบิดามารดาได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ดังนี้พนักงานสอบสวนจะปฏิเสธไม่รับแจ้งความไม่ได้

ส่วนความผิดจะหนักเบาอย่างไรก็ไปว่ากันในชั้นพิจารณาต่อไปครับ (ความเห็น)

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2009-05-03 12:11:48


ความคิดเห็นที่ 2 (1933535)
ต้อง พิสูตรให้ได้ ว่า เจตนาพิเศษ คุณพาหญิงคนนั้นไปเพื่ออยู่กินกันฉันท์ สามีภริยา เช่นก่อนจะพาหญิงผู้นั้นไปจากบิดามารดาหญิง ก็น่าจะการที่เป็นอันพิสูตรได้ว่า คุณได้มีเจตนาพาหญิงผู้นั้นไปเพื่ออยู่กินกันฉันท์ สามาภริยากัน เช่นอาจจะทำพิธีสู่ขอ แม้ตามกฎหมายครอบครัวจะให้มีการหมั้นได้ต่อเมื่อชายหญิงคู่หมั้นอายุ17ปีบริบูรณ์และต้องให้บิดามารดาหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิงยินยอม แต่ก็ไม่ได้มีกฎหมายบัญญัติห้ามการกระทำดังกล่าวไว้ แค่ไม่มีผลทางกฎหมายเท่านั้น การที่จะผิดตาม ม.319 ได้นั้น ต้องเป็นการ เอาไปเพื่อหากำไร หรือ เพื่อการอนาจาร ตามข้อเืท็จจริง คุณได้เสียกับหญิงผู้นั้น แล้ว แม้จะทำ พิธีเสียผีกัน ก็เป็นเพียงแค่การขอคมาบิดามารดาฝ่ายหญิงเท่านั้น ไม่ได้เป็นการที่จะนำไปพิสูตรได้ว่า คุณมีเจตนาอยู่กันกันฉันท์สามีภริยากัน ตั้งแต่แรก ปล.ผิดพลาดประการใด ขอคุณ ลีนนท์ แก้ไขให้ด้วยนะคับ
ผู้แสดงความคิดเห็น กั๊ก วันที่ตอบ 2009-05-05 17:51:30


ความคิดเห็นที่ 3 (1933621)

//ขอด้วยครับพี่น้อง  ป.อาญามาตรา 138 เป็นกรณีที่ฎกญหมายบัญญยัติว่าผู้ใดพรากผู้เยาวที่อายุกว่า 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปีไปจาก.......โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจ ต้องระวางโทษจำคุก.....ประกอบมาตรา 59 (เรื่องเจตนาครับพีน้อง)ประมาณความเห็นของคุณกั๊กนั่นแหละครับ ว่าการที่จะต้องรับโทษทางอาญาต้องมีเจตนาที่จะกระทำความผิด แถมอ้างว่าไม่รู้ก็ไม่ได้ครับพี่น้อง ของคุณkikapu ก็ตั้งใจนั้นแหละครับที่อยากมีภรรยาเด็ก (เป็นเรื่องของบุพเพ)  แต่เมื่อท้ายที่สุดคุได้ปฏิบัติตามประเพณี ทำพิธีเสียผีแล้ว  นั้นก็แสดงให้เห็นว่าคุณมีเจตนาที่จะพาเยาว์ไปโดยมีเจตนาที่จะอยู่กินฉันสามีภรรยา ****อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะครับพี่น้องเพราะคำว่าเจตนาที่จะอย่กินฉันสามีภรรยา  แต่คุณki ยังไม่ได้จดทะเบียนสมรสน่ะครับ****  น้องหญิงก็ยังไม่ใช่ภรรยาของคุณki ตามกฎหมาย

//งงล่ะซิครับพี่น้อง เรื่องราวหากจะเกิดขึ้นตามที่คุณถามมันจะเป็นอย่างนี้ครับ

++++++คุณห้ามพ่อแม่ของฝ่ายหญิงดำเนินคดีกับคุณ คงไม่ได้หลอกครับ ***ก็คนจะแจ้งความในเมื่อมีกฎหมายลองรับ***

********แต่เมื่อคุณต้องถูกดำเนินคดีจริงๆ ด้วยเหตุที่คุณไม่มีเจตนาที่จะพรากผู้เยาว์ไปทำมิดีมิร้ายโดยไม่รับผิดชอบ หรือมีเขตนาโดยทุจริตเป็นอย่างอื่น เช่นการพราะไปเพื่ออนาจารแล้วส่งกลับ หรือเพื่อผงประโยชน์โดยไม่สุจริต   คุณก็สามารถนำข้อที่คุณบริสุทธิใจนี้ใช้เป็นข้อต่อสู้ในศาลได้ครับ

///ขออย่าให้มีเหตุต้องขึ้นโรงขึ้นศาลน่ะครีบพี่น้อง

ผู้แสดงความคิดเห็น รอยเปลื้อน วันที่ตอบ 2009-05-05 21:46:38


ความคิดเห็นที่ 4 (1933637)
งืมๆ แต่ผมว่า คงไม่เข้า ป.อาญา ม. 138 ตามที่ คุณ รอยเปลื้อนเพราะ ม.138ตาม ป.อาญาเป็นเรื่องของผู้เยาว์ไม่ยินยอม แต่ตาม ป.อาญา ม.319 ผู้เยาว์ยินยอม นะคับ แต่ดูจากข้อเท็จจริงแล้ว ฝ่ายหญิง ซึ่งเป็นผู้เยาว์ ยินยอม แล้วเรื่อง ทำพิธีเสียผีกันแล้ว เนีย เป็นการทำพิธีหลังจากที่ได้เสียกับผู้เยาว์แล้ว เจตนาแรก ของคุณ KikaPu ดูจิงๆแล้วไม่น่าจะเป็นการ พาหญิงสาว ไปเพื่อไปอยู่กินกันฉันท์สามีภริยา แต่เมื่อ ได้เสียกันแล้ว ผู้ใหญ่ เลยต้องให้ทำพิธีเสียผีกัน เพื่อเป็นการขอคมาบิดามารดาฝ่ายหญิง (การอยู่กินกันฉันท์สามีภริยาตามความหมายของผม คือการอยู่กินกันฉันท์สามีภริยา โดยพฤตินัย ไม่ใช่ตามผลของกฎหมาย นะคับ ) ขอความคิดเห็นคุณ ลีนนท์ หน่อยคับ
ผู้แสดงความคิดเห็น กั๊ก วันที่ตอบ 2009-05-05 22:34:55


ความคิดเห็นที่ 5 (1933948)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6634/2546

 

ผู้เยาว์กับจำเลยรักใคร่กันโดยที่จำเลยยังไม่มีภริยามาก่อน จำเลยพาผู้เยาว์ไปอยู่กับจำเลยได้เสียกันเพื่อประสงค์จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา แต่มารดาจำเลยไม่ยอมรับผู้เยาว์เป็นสะใภ้ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร

 

โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2540 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2540 เวลากลางวันต่อเนื่องกันทั้งกลางวันและกลางคืน จำเลยพรากเอานางสาวโสภิตา ปิ่นตา ผู้เยาว์ อายุ 15 ปี 1 เดือน ซึ่งยังไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากนางพวงปิ่นตา มารดาผู้เสียหาย ทั้งนี้เพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319

จำเลยให้การว่า ได้พานางสาวโสภิตา ผู้เยาว์ไปจากความปกครองของผู้เสียหายเพื่ออยู่กินฉันสามีภริยา มิใช่เพื่อการอนาจาร

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319วรรคแรก จำคุก 4 ปี คำให้การและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสี่คงจำคุก3 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ขณะเกิดเหตุคดีนี้นางสาวโสภิตา ปิ่นตา ผู้เยาว์ มีอายุ 15 ปีเศษผู้เยาว์เป็นบุตรของนายสมศรี และนางพวงปิ่นตา ผู้เสียหาย เมื่อปลายปี 2539 ผู้เยาว์ทำงานเป็นลูกจ้างอยู่ที่ร้านอาหารครัวไผ่งามของมารดาจำเลย ผู้เยาว์ทำงานที่ร้านอาหารได้ประมาณ 20 วัน ก็เลิกทำงานกลับไปอยู่บ้าน จำเลยได้ไปหาผู้เยาว์ทุกวัน แล้วบอกผู้เยาว์ว่าจำเลยจะให้มารดาจำเลยมาสู่ขอผู้เยาว์เป็นภริยา และชักชวนผู้เยาว์ไปอยู่ที่ร้านอาหารด้วยกัน เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม2540 ในระหว่างที่ผู้เยาว์อยู่ที่ร้านอาหาร จำเลยกระทำชำเราผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ยินยอมหลายครั้ง แต่เมื่อผู้เยาว์เร่งรัดฝ่ายจำเลยให้ไปสู่ขอตามประเพณี ฝ่ายจำเลยเพิกเฉย จนเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2540 นางพวงผู้เสียหายให้ผู้เยาว์สอบถามมารดาจำเลยเรื่องการสู่ขออีกครั้งหนึ่ง มารดาจำเลยไม่พอใจมีการทะเลาะด่าว่ากันนางพวงผู้เสียหายจึงนำผู้เยาว์ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจพนักงานสอบสวนส่งผู้เยาว์ให้แพทย์ตรวจร่างกาย ปรากฏว่าผู้เยาว์เคยผ่านการร่วมประเวณีและตั้งครรภ์ได้ประมาณ 8 สัปดาห์ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า จำเลยออกอุบายชักชวนผู้เยาว์เป็นภริยาเพื่อการอนาจารโดยไม่มีเจตนาที่จะรับผู้เยาว์เป็นภริยา เห็นว่า ตามคำเบิกความของผู้เยาว์ได้ความว่าจำเลยผิดนัดไม่ไปสู่ขอต่อบิดามารดาผู้เยาว์ตามที่ตกลงกันไว้ ผู้เยาว์ไปเร่งรัดมารดาจำเลยให้ไปสู่ขอและขู่ว่าจะนำเจ้าพนักงานตำรวจมาจับ มารดาจำเลยด่าว่าผู้เยาว์ว่ามีหลายผัวขับไล่ผู้เยาว์ออกจากบ้าน เมื่อนางพวงผู้เสียหายพาผู้เยาว์ไปแจ้งความ พนักงานสอบสวนไกล่เกลี่ยจำเลยแจ้งว่ายินดีรับผู้เยาว์เป็นภริยา แต่มารดาจำเลยบอกว่าไม่ต้องการได้ผู้เยาว์เป็นสะใภ้ นอกจากนี้ผู้เยาว์ยังได้เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยยืนยันว่า ผู้เยาว์เข้าใจว่าจำเลยตั้งใจรับเลี้ยงผู้เยาว์เป็นภริยาจริง แต่มารดาจำเลยขัดขวางทำให้ไม่สามารถแต่งงานกันได้ เมื่อผู้เยาว์นำผลการตรวจของแพทย์ว่าผู้เยาว์ตั้งครรภ์ให้จำเลยดู จำเลยก็บอกว่าจะรับเลี้ยงดูบุตรที่เกิดจากผู้เยาว์ซึ่งก็ตรงกับที่จำเลยเบิกความว่าจำเลยยังอยากได้ผู้เยาว์เป็นภริยา แต่มารดาจำเลยไม่ต้องการได้ผู้เยาว์เป็นสะใภ้ เห็นได้ว่า จำเลยกับผู้เยาว์รักใคร่ชอบพอกัน จำเลยมารับผู้เยาว์ไปอยู่ที่ร้านอาหารของมารดาจำเลยเพื่อเป็นภริยา แต่ผู้เยาว์เร่งรัดมารดาจำเลยให้ไปสู่ขอต่อบิดามารดาผู้เยาว์ตามประเพณีทำให้มารดาจำเลยไม่พอใจทะเลาะวิวาทกับผู้เยาว์ขับไล่ผู้เยาว์ออกจากบ้านไม่ยอมไปสู่ขอผู้เยาว์เป็นภริยาจำเลย การที่ผู้เยาว์กับจำเลยสมัครรักใคร่กันโดยที่จำเลยยังไม่มีภริยามาก่อน จำเลยได้พาผู้เยาว์ไปอยู่กับจำเลยได้เสียกันก็เพื่อประสงค์จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา แต่มีเหตุขัดข้องเกิดจากมารดาจำเลยไม่ยอมรับผู้เยาว์เป็นสะใภ้ การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"

พิพากษายืน

( วัฒนชัย โชติชูตระกูล - อภิชาต สุขัคคานนท์ - วิธวิทย์ หิรัญรุจิพงศ์ )

http://www.deka2007.supremecourt.or.th/deka/web/docdetail.jsp

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2009-05-06 17:05:37


ความคิดเห็นที่ 6 (1934214)
ขอบคุณ คับ
ผู้แสดงความคิดเห็น กั๊ก วันที่ตอบ 2009-05-07 10:37:32


ความคิดเห็นที่ 7 (1937005)

ขอแก้ไขเพื่อความถูกต้องด้วยครับ ที่จริง แล้ว เรื่องของคุณ k6kapu ที่จริงแล้วปรับตัวบทตามประมวลก๓ฎหมายอาญามาตรา 319 ครับ  พี่น้อง ตอนให้คำตอบสงกะสัยจะกำลังเปลื้อนฝุ่นละอองอยู่  แต่ข้อเท็จจริงในทางคดีของแต่ละคดีนั้นก็จะมีความแตกต่างในการนำสืบพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง โดยมีเจตนานอกเหนือกว่านั้น หรือเป็นเพราะจำเลยให้การเป็นประโยชน์ในทางพิจารณาคดีของศาลก็อาจเป็นกาณีที่ศาลจะใช้ดุลพินิจในการลงโทษสถานเบาก็เป็นไปได้หลายกรณีตามที่ท่านลีนนท์ และท่านกัก ได้โปรดชี้แจงนั้นแหละครับ

/// แล้วป่านี้ก็ผ่านเลยไปตั้งนายโขแล้ว kikapu ช่วยแจ้งเรื่องราวที่เป็นไปใหม่ให้พวกเรารู้บ้างดิครับ พี่น้อง

ผู้แสดงความคิดเห็น รอยเปลื้อน วันที่ตอบ 2009-05-13 21:35:00



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล