ReadyPlanet.com


เรียกค่าเสียหายหรือค่าทดแทนจากการผิดสัญญาหมั้น


ทำสัญญาหมั้นกันว่า เมื่อฝ่ายชายสำเร็จการศึกษาแล้วจะทำการสมรสกับฝ่ายหญิง ต่อมาหลังการหมั้นแล้ว ชายหญิงคู่หมั้นมาอยู่กินด้วยกัน และได้ทะเลาะกัน จึงไม่ได้อยู่กินร่วมกันอีกต่อไป ฝ่ายชายอ้างว่าฝ่ายหญิงทำร้ายร่างกายไม่ให้เกียรติ์ฝ่ายชายจึงบอกเลิกสัญญาหมั้น เมื่อฝ่ายชายสำเร็จการศึกษาแล้ว ฝ่ายหญิงจึงได้ไปติดต่อฝ่ายชายให้สมรสตามสัญญาหมั้น แต่ฝ่ายชายปฏิเสธ อ้างว่าสัญญาหมั้นเลิกกันไปแล้ว ฝ่ายหญิงฟ้องต่อศาลเรียกค่าเสียหายแก่กายหรือชื่อเสียงเป็นเงิน 150,000 บาท ดังนี้ฝ่ายหญิงจะชนะคดีหรือไม่

 



ผู้ตั้งกระทู้ หญิงคู่หมั้น :: วันที่ลงประกาศ 2009-06-14 08:32:27


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1950302)

การเลิกสัญญาดังกล่าวจากฝ่ายชายคู่หมั้นเป็นการบอกเลิกสัญญาเพียงฝ่ายเดียว จึงไม่มีผลผูกพันฝ่ายหญิง

การที่ฝ่ายหญิงไปขอให้ฝ่ายชายสมรสกับตนตามสัญญาหมั้นจึงแสดงให้เห็นว่าฝ่ายหญิงยังมีความประสงค์ที่จะสมรสกับฝ่ายชายอยู่ จะถือว่าสัญญาหมั้นเลิกกันหาได้ไม่ ฝ่ายหญิงจึงเรียกค่าเสียหายแก่กายหรือชื่อเสียงได้

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร. 085-9604258 วันที่ตอบ 2009-06-14 08:37:19


ความคิดเห็นที่ 2 (1950303)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 555/2550

 

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2544 จำเลยทั้งสองทำการหมั้นโจทก์ โดยตกลงว่าจำเลยที่ 2 จะสมรสกับโจทก์เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี หลังจากหมั้นแล้วโจทก์กับจำเลยที่ 2 ได้อยู่กินด้วยกัน ต่อมาโจทก์สำเร็จการศึกษาแล้วจึงขอให้จำเลยที่ 2 สมรสกับโจทก์ แต่จำเลยทั้งสองปฏิเสธ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่กายที่ต้องตกเป็นภริยาของจำเลยที่ 2 และได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงเกียรติยศและวงศ์ตระกูล ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันใช้ค่าทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองชำระเสร็จ

จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองหมั้นโจทก์จริง แต่จำเลยที่ 2 ไม่เคยร่วมประเวณีและอยู่กินกับโจทก์ ในระหว่างหมั้นโจทก์ประพฤติตัวไม่เหมาะสม เที่ยวเตร่คบเพื่อนชายหลายคน ทำให้จำเลยที่ 2 ได้รับความอับอายและเสียชื่อเสียง จึงตกลงกับโจทก์เลิกสัญญาหมั้น โจทก์และบิดามารดาโจทก์ไม่เคยขอให้จำเลยทั้งสองจัดพิธีสมรส จำเลยทั้งสองไม่ได้ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันใช้ค่าทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 11 เมษายน 2546) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาในศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับรองว่ามีเหตุผลสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครับวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2544 จำเลยทั้งสองทำการหมั้นโจทก์ ตามสำเนาบันทึกหมั้น เอกสารหมาย จ.1 มีข้อตกลงว่าโจทก์กับจำเลยที่ 2 จะสมรสกันเมื่อโจทก์สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี หลังจากหมั้นแล้วโจทก์กับจำเลยที่ 2 ได้อยู่กินร่วมกินฉันสามีภริยาระยะหนึ่งจนถึงวันที่ 1 กันยายน 2545 โจทก์กับจำเลยที่ 2 ทะเลาะกันจึงไม่ได้อยู่กินร่วมกันต่อไปและไม่ได้ติดต่อกันเลย ภายหลังจำเลยที่ 2 บอกโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 ไม่ต้องการสมรสกับโจทก์แล้ว ต่อมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2546 โจทก์สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ทางฝ่ายโจทก์ได้ติดต่อจำเลยทั้งสองให้จำเลยที่ 2 สมรสกับโจทก์ โจทก์จึงแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า โจทก์ยังประสงค์ที่จะสมรสกับจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 2 ปฏิเสธไม่ยอมสมรสด้วย โจทก์จึงฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่าโจทก์กับจำเลยที่ 2 สมัครใจเลิกสัญญาหมั้นกันแล้วหรือไม่ ปัญหาดังกล่าวจำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์กับจำเลยที่ 2 สมัครใจเลิกสัญญาหมั้นเนื่องจากโจทก์ชอบเที่ยวกลางคืน มีเพื่อนมากทั้งผู้ชายและผู้หญิง เมื่อครั้งที่ทะเลาะกัน โจทก์ก็ใช้รองเท้าซึ่งเป็นของต่ำตบหน้าจำเลยที่ 2 ถือว่าเป็นการหมิ่นเกียรติ ลบหลู่ศักดิ์ศรี ไม่ให้ความนับถือชายผู้เป็นคู่หมั้น เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้จำเลยที่ 2 มีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้ และหลังจากทะเลาะกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างไม่เคยติดต่อกันอีกเลย จึงย่อมถือว่าสัญญาหมั้นเลิกกัน โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ โดยจำเลยทั้งสองมีคำเบิกความของตนเองเป็นพยาน เห็นว่า ในช่วงที่จำเลยที่ 2 บอกโจทก์ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ต้องการสมรสกับโจทก์นั้น โจทก์ยังศึกษาอยู่ซึ่งได้ความจากโจทก์ว่าฝ่ายโจทก์ได้ปรึกษาเรื่องนี้กันแล้วมีความเห็นว่า สมควรรอให้โจทก์สำเร็จการศึกษาก่อนจึงจะเจรจากับฝ่ายจำเลยทั้งสอง ดังนั้น เมื่อพิจารณาประกอบข้อเท็จจริงที่ได้ความว่า หลังจากโจทก์สำเร็จการศึกษาแล้ว ฝ่ายโจทก์ติดต่อจำเลยทั้งสองให้จำเลยที่ 2 สมรสกับกับโจทก์จึงแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า โจทก์ยังประสงค์ที่จะสมรสกับจำเลยที่ 2 ตามสัญญาหมั้นต่อไป ที่จำเลยที่ 2 บอกโจทก์ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ต้องการสมรสกับโจทก์ดังกล่าวมาข้างต้นจึงเป็นการบอกเลิกสัญญาหมั้นของจำเลยที่ 2 แต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่มีผลผูกพันโจทก์ คำเบิกความของจำเลยทั้งสองที่อ้างว่า โจทก์สมัครใจเลิกสัญญาหมั้นก็ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุนจึงเลื่อนลอยไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง แม้หลังจากโจทก์กับจำเลยที่ 2 ทะเลาะกันแล้วต่างฝ่ายต่างไม่เคยติดต่อกันอีกก็มีเหตุผลให้เชื่อว่า คงเป็นเพราะโจทก์ต้องการศึกษาเล่าเรียนให้สำเร็จเสียก่อนจึงไม่มีพฤติการณ์ใดที่พอจะถือได้ว่าโจทก์สมัครใจเลิกสัญญาหมั้นเช่นเดียวกัน พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่า โจทก์กับจำเลยที่ 2 สมัครใจเลิกสัญญาหมั้นกันแล้ว ส่วนเรื่องที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยที่ 2 มีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้นั้น จำเลยทั้งสองมิได้ให้การต่อสู้คดีในปัญหาดังกล่าวไว้ แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวจะหยิบยกปัญหาเรื่องการบอกเลิกสัญญาของจำเลยที่ 2 ขึ้นวินิจฉัยก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบัทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 6 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวเห็นฟ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

( อดิศักดิ์ ทิมมาศย์ - สถิตย์ อรรถบลยุคล - นุรักษ์ มาประณีต )

http://www.deka2007.supremecourt.or.th/deka/web/docdetail.jsp

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2009-06-14 08:39:37


ความคิดเห็นที่ 3 (2400993)

ผิดสัญญาหมั้นเรียกสินสอดคืน
ทำสัญญาหมั้น และแต่งงานตามประเพณีแล้ว ได้อยู่กินร่วมหลับนอนกันนาน 8 เดือนโดยมิได้ไปจดทะเบียนสมรส จึงเกิด จากการละเลยของทั้งสองฝ่ายที่มิได้ยึดถือเอาการจดทะเบียนสมรส เป็นเรื่องสำคัญมากกว่าการที่จะได้อยู่กินด้วยกันตามประเพณี เท่านั้น จึงมิอาจกล่าวโทษได้ว่าการที่มิได้ไปจดทะเบียนสมรส เกิดจากความผิดของฝ่ายใด
http://www.peesirilaw.com/การสมรสและการหมั้น/ผิดสัญญาหมั้นเรียกสินสอดคืน.html

ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร. 085-9604258 วันที่ตอบ 2013-08-15 20:08:04



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล