ReadyPlanet.com


ยึดรถลูกหนี้ แต่ไม่ได้ฟ้องศาล


เราเป็นหนี้เจ้าหนี้ จำนวน  150,000 บาท แต่ไม่มีเงินจ้าย แล้วเจ้าหนี้มานำรถยนต์ของเราไป อ้างว่าเพื่อยึดไว้เป็นประกันหนี้ อย้างนี้ เจ้าหนี้มีสิทธิ ทำได้หรือไม่  และเราจะเรียกร้องความเสียหายจากเจ้าหนี้ได้หรือไม่ ตามกฎหมายอะไร

 



ผู้ตั้งกระทู้ บุญเรือน :: วันที่ลงประกาศ 2009-06-21 11:45:38


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1953330)

การยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ เป็นอำนาจของศาล และของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยเฉพาะ ดังนั้นเจ้าหนี้จะมายึดรถยนต์ของลูกหนี้โดยไม่ฟ้องศาลก่อนไม่ได้ หรือแม้จะได้ฟ้องต่อศาลและเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแล้วก็ตาม ก็ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์สินที่ยังอยู่ในความครอบครองของลูกหนี้ไม่ได้ เพราะเป็นการบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้โดยพลการ เจ้าหนี้จะอ้างสิทธิยึดหน่วงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 241 ก็ไม่ได้

มาตรา 241 ผู้ใดเป็นผู้ครองทรัพย์สินของผู้อื่น และมีหนี้อันเป็น คุณประโยชน์แก่ตนเกี่ยวด้วยทรัพย์สินซึ่งครองนั้นไซร้ ท่านว่าผู้นั้น จะยึดหน่วงทรัพย์สินนั้นไว้จนกว่าจะได้ชำระหนี้ก็ได้ แต่ความที่กล่าว มานี้ท่านมิให้ใช้บังคับ เมื่อหนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนด


อนึ่ง บทบัญญัติในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าการที่เข้า ครอบครองนั้นเริ่มมาตั้งแต่ทำการอันใดอันหนึ่งซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย

การใช้สิทธิยึดหน่วงตามมาตรา 241 ข้างต้น เจ้าหนี้จะต้องเป็นผู้ครอบครองรถยนต์นั้น และมีหนี้อันเป็นคุณประโยชน์ต่อเจ้าหนี้ เกี่ยวด้วยรถยนต์ที่ครอบครองอยู่นั้น การที่เจ้าหนี้มายึดรถยนต์ของลูกหนี้ แม้ลูกหนี้จะเป็นหนี้เจ้าหนี้อยู่จริงก็ตาม ก็เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นละเมิดต่อโจทก์

มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่น โดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่า ผู้นั้นทำละเมิด จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

ดังนั้นลูกหนี้มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการยึดทรัพย์สินนั้นได้ ฐานละเมิด

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2009-06-21 21:49:37


ความคิดเห็นที่ 2 (1953877)

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองรถยนต์กระบะบรรทุก 1 คันโดยเช่าซื้อมาจากบริษัทสยามกลการ จำกัด จำเลยทั้งสองร่วมกันนำรถยนต์ดังกล่าวไปจากโจทก์โดยไม่มีอำนาจแล้วบังอาจทำให้เสียหายเป็นเงิน 100,000 บาท โจทก์ใช้รถยนต์บรรทุกสินค้าไปขายมีกำไรสุทธิวันละ 350 บาท ต้องขาดประโยชน์เป็นเวลา1 ปี เป็นเงิน 126,000 บาท ให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 226,000 บาทแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์กับนายสุจินต์ สามี เป็นลูกหนี้จำเลยที่ 1 แล้วตกลงมอบรถยนต์ดังกล่าวให้ไว้เป็นประกันการชำระหนี้ จำเลยที่ 1 ใช้สิทธิยึดหน่วงไว้ ต่อมาจำเลยที่ 1 ไปทวงหนี้ โจทก์ขอผัดผ่อนและจะนำรถยนต์หลบหนีจำเลยที่ 1 จึงถอดยางและหม้อแบตเตอรี่ออก วันต่อมาทหารพรานแจ้งข้อหานายสุจินต์ มีรถยนต์ผิดกฎหมายไว้ในครอบครองและนำรถยนต์ไปมอบให้พนักงานสอบสวน โจทก์ติดค้างค่าเช่าซื้อ บริษัทจึงยึดรถยนต์กลับไป จำเลยที่ 2ไม่ได้ร่วมกระทำกับจำเลยที่ 1 ขณะเกิดเหตุโจทก์กับสามีไม่มีทุนทำการค้า ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์วันละ150 บาท นับแต่วันทำละเมิดคือวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2524 ถึงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2525

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์วันละ150 บาท เป็นเวลา 6 เดือนนับแต่วันทำละเมิด

โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 นั้น เป็นการจงใจ หรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายแก่ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด ก็ถือได้ว่ากระทำละเมิดแล้ว โจทก์หาจำต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ถูกละเมิดเสมอไปไม่ เมื่อโจทก์มีสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อในอันที่จะใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่ตนเช่าซื้อมา ก็ย่อมมีสิทธิฟ้องผู้ที่มาละเมิดสิทธิของตนได้ แม้ภายหลังผู้ให้เช่าซื้อจะยึดทรัพย์สินคืนไป ก็ไม่ทำให้ผลการละเมิดที่กระทำไว้ก่อนระงับตามไปด้วย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้

ที่จำเลยฎีกาว่าหลังจากจำเลยทั้งสองยึดรถยนต์ไว้ จำเลยถูกพนักงานอัยการฟ้องในข้อหาลักทรัพย์รถยนต์แต่ศาลพิพากษายกฟ้อง ต้องถือว่าจำเลยกระทำโดยสุจริต ไม่เป็นการกระทำผิดกฎหมาย จึงไม่เป็นการละเมิดนั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 424 บัญญัติถึงปัญหานี้ไว้โดยเฉพาะว่าในการพิพากษาคดีข้อความรับผิดเพื่อละเมิด และกำหนดค่าสินไหมทดแทนนั้นศาลไม่จำต้องดำเนินตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายลักษณะอาญาอันว่าด้วยการที่จะต้องรับโทษ และไม่จำต้องพิเคราะห์ถึงการที่ผู้กระทำต้องคำพิพากษาลงโทษทางอาญาหรือไม่ ฉะนั้นการที่ศาลเคยพิพากษาในคดีอาญาว่าจำเลยไม่มีเจตนาลักทรัพย์และยกฟ้องโจทก์ ก็ไม่จำต้องฟังว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์เพราะจำเลยอาจจะกระทำผิดกฎหมายอย่างอื่นเช่น กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่บัญญัติถึงอำนาจหน้าที่ในการยึดทรัพย์ของลูกหนี้ไว้แล้วก็ได้ จึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่

เดิมสามีโจทก์เป็นลูกหนี้จำเลยที่ 1 เนื่องจากซื้อสินค้าเชื่อแล้วชำระหนี้ด้วยเช็คแต่ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน สามีโจทก์ถูกพนักงานอัยการฟ้องตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ผลที่สุดจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เสียหายกับสามีโจทก์ยอมความกัน สามีโจทก์ตกลงผ่อนชำระหนี้ให้ โดยมีนายหีด บ่อทองคำ นำโฉนดที่ดินมาประกันหนี้ไว้ ศาลจึงสั่งจำหน่ายคดี ปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ 375/2524 ของศาลจังหวัดพัทลุง เมื่อโจทก์ผิดนัด จำเลยที่ 1ชอบที่จะฟ้องคดีต่อศาล บังคับให้สามีโจทก์และนายประกันชำระหนี้ จำเลยที่ 1ไม่มีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์ดังกล่าวซึ่งอยู่ในความครอบครองของโจทก์ ดังที่อ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 241 และการยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นอำนาจของศาล และของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยเฉพาะจำเลยที่ 1 กับพวกรวมทั้งทหารพรานหามีอำนาจที่จะกระทำการดังกล่าวได้ไม่ทั้งทหารพรานไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะยึดรถยนต์ไม่มีทะเบียน อ้างว่าเป็นรถยนต์ผิดกฎหมายนำส่งพนักงานสอบสวน ดังที่จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้และนำสืบหากกระทำไปย่อมเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ เห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองจงใจกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมาย เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์โดยตรง

พิพากษายืน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3360/2528

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2009-06-23 00:09:47



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล