ReadyPlanet.com


การหย่ากับชาวต่างชาติ


เรียนอาจารย์มีชัย

ดิฉันมีเรื่องขอเรื่องถาม เนื่องจากเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2550 ดิฉันได้จดทะเบียนสมรสกับสามีซึ่งถือสัญชาติอเมริกันที่เมืองไทย หลังจากนั้นสามีก็ได้บินกลับประเทศไป ซึ่งทางฝ่ายชายได้บอกว่าหลังจากกลับไปจะรีบดำเนินการเรื่องขอยื่นวีว่าให้กับทางดิฉัน สามีโหกมาเป็นเวลาเกือบหกเดือนว่าเรื่องวีซ่าขอดิฉันยังอยู่ในกระบวนการ แต่มันใช้เวลานานเกิน ดิฉันจึงทำการตรวจสอบกับองค์กรที่เกี่ยวข้องจึงได้ความว่า ทางสามีโกหกไม่เคยยื่นเรื่องใดๆ ให้ดิฉันเลย ซึ่งเค้าก็บอกว่าจะรีบดำเนินการให้แต่ให้รอก่อน ดิฉันก็รอมาจนถึงทุกวันนี้

หลังจากที่สามีบินกลับไปเรายังคงมีการติดต่อและสามีส่งเงินมาให้อยู่เป็นประจำ จนกระทั่งเดือนกันยายน สามีได้บอกกับดิฉันว่ามีปัญหาเรื่องการเงินและหนี้สิน แต่ก็ยังเฉไฉไม่ตอบโดยตรงว่าหนี้สินนั้นเกิดจากอะไร และไม่บอกจำนวนเงินที่แน่นอน ทางดิฉันก็บอกไปว่าไม่ต้องส่งมาก็ได้เพราะ ในตอนนั้นดิฉันยังคงทำงานประจำอยู่ แม้ว่าทางสามีจะมิได้ส่งค่าใช้จ่ายมาให้แต่เราก็ยังคงติดต่อกันอยู่ แต่จะไม่ค่อยมากเหมือนช่วงแรก เพราะเราเข้าใจว่าเค้าทำงานหนักขึ้นแม่มีเวลา จนกระทั่ง วันที่ 20 มกราคม 2552 ทางสามีได้ส่งข้อความมาบอกว่า ต้องไปขึ้นศาลและทางศาลจะต้องส่งตัวไปเข้าอบรมในเรื่องขอการจัดการหนี้สินซึ่งเกิดจากการเล่นการพนันเป็นเวลาโดยรวม 3 สัปดาห์ ไม่สามารถที่จะติดต่อเค้าได้ เพราะทางเจ้าหน้าที่ศาลไม่อนุญาตให้ติดต่อใคร และห้ามดิฉันไม่ให้นำเรื่องนี้ไปบอกให้ญาติพี่น้องของเค้าที่โน่นทราบ ซึ่งดิฉันก็ไม่ได้บอกใคร แต่ก็ยังคงติดต่อกับสามีเพียงฝ่ายเดียว โดยการโทรหาแล้วฝากข้อความ และการส่งข้อความ ดิฉันรอด้วยความห่วงกังวล จนกระทั่งครบ 3 สัปดาห์ ดิฉันก็ยังติดต่อเค้าไม่ได้ ดิฉันจึงตัดสินใจโทรไปหาเพื่อนที่พักอยู่ที่เดียวกับเค้า  แต่พวกเพื่อนก็บอกว่าเค้าไปสัมมนา ดิฉันรู้สึกว่ามันผิดปกติจึงลองเข้าไปค้นหาชื่อของเค้าในอินเตอร์เน็ต ปรากฎว่ามีอยู่หนึ่งเว๊ปไซต์ซึ่งเป็นของเค้า แต่มีรูปผู้หญิงอื่นอยู่ ซึงรูปนั้นได้มีการโพสต์ไว้เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2552 ดิฉันได้เก็บข้อข้องใจของรูปนั้นไว้

จนกระทั่งวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2552 ทางสามีได้ส่งข้อความมาเพื่อขอโทษและบอกเป็นนัย ว่าอยากให้ดิฉันมีอนาคตที่ดีกว่านี้ อายุฉันยังน้อย เค้ามีหนี้สินเยอะไม่สามารถทำให้ชีวิตดิฉันดีขึ้นได้ ถ้าดิฉันอยากเป็นอิสระก้อสามารถบอกได้ และยิ่งไปกว่านั้น ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2552 สามีได้คุยออนไลน์(MSN)กับดิฉันทางโดยขอเลิกพร้อมทั้งบอกเรื่องราวความหลังของเค้าให้ฟัง ซึ่งทุกอย่างที่เค้าเคยบอกกับดิฉันก่อนแต่งงานกับตอนนี้มันคนละเรื่องกัน  เค้าขอหย่ากับดิฉันโดยบอกว่าไม่สามารถจะรับผิดชอบใดๆ เพราะเราทั้งสองคนไม่ได้มีลูกด้วยกัน และก็ยังคงให้ผู้หญิงคนใหม่เข้ามาคุยออนไลน์เพื่อบอกว่าตอนนี้พวกเค้าทั้งคู่อยู่ด้วยกันและทางฝ่ายชายก็มีความสุขมากกว่าก่อน อยากให้ทางดิฉันทำตามที่ทางฝ่ายชายต้องการ

ดิฉันรอว่าเมื่อไหร่เค้าจะติดต่อกลับมา แต่ก้อเงียบเฉย จนกระทั่งเมื่อประมาณว้นที่ 28 มิถุนายน 2552 ดิฉันได้ส่งอีเมล์ไปเพื่อสอบถามว่าเมื่อไหร่จะมาจัดการเรื่องดังกล่าวให้เรียบร้อย ในเมื่อต้องการจะไป แต่ทำไมถึงยังปล่อยให้ปัญหามันคาราคาซังแบบนี้ เค้าก้อยังคงบอกว่าไม่มีค่าตั๋วเครื่องบินที่จะมา

ในกรณีของดิฉัน ไม่ทราบว่าจะมีข้อแนะนำอย่างไนไรบ้างค่ะ

- สามารถเรียกร้องสิทธิขอการเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมายไทยได้บ้างมั้ย

ค่ะ

- ถ้าจะทำเรื่องฟ้องร้องจะมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ใช้เวลาในการดำเนืนการเท่าไหร่

- ดิฉันมีหลักฐานที่ทางฝ่ายชายต้องการขอเลิก ซึ่งเป็นการคุยการทาง MSN และ SMS ในมือถือ ไม่ทราบว่าสามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานได้มั้ยค่ะ

รบกวนช่วยแนะนำและไขข้อข้องใจให้ดิฉันด้วยนะค่ะ 



ผู้ตั้งกระทู้ บันนี (bunny2007_c-at-hotmail-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2009-07-08 16:58:12


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1960702)

ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนน่ะครับว่า เว็บนี้ไม่ใช่ของอาจารย์มีชัยครับ เป็นเว็บของอาจารย์ลีนนท์ครับ

**พอดีผมผ่านมาแถวนี้ ก็เลยขอช่วยตอบแทนอาจารย์ลีนนท์ คงพอเพื่อบรรเทาความเครียดของคุณได้บ้าง

**การที่คุณยังติดต่อกันอยู่ตลอดมาตั้งแต่ที่ได้จดทะเบียนสมรสเมื่อปี 50 ยังไม่ถือว่ามีเหตุฟ้องหย่าครับ

**แต่หากคุณอยากฟ้องหย่าจริงๆ ก็ทำได้ครับ เมื่อขึ้นศาลคุณก็บอกศาลเพียงว่าสามีของคุณตั้งแต่เดินทางกลับประเทศ ก็ไม่เคยติดต่อหรือทำหน้าที่ส่งเสียเลี้ยงดูฉันสามีภรรยากันเลย ศาลจึงจะพิพากษาให้หย่าได้ครับ

**ส่วนค่าเลี้ยงดูนั้น หากเมื่อหย่ากันแล้วทำให้คุณต้องเดือดร้อนหรือยากจนลง ก็สามารถเรียกได้ครับ

**หลักฐานทาง MSN และ sms หากว่ามีการติดต่อกันเกินกว่า 1 ปี ก็ใช้เป็นหลักฐานได้ครับ แต่กรณีของคุณยังไม่ถึง 1 ปี ก็ไม่ควรใช้ครับ เพราะศาลจะพิพากษายกฟ้อง

**สำหรับค่าใช้จ่ายนั้นทนายความแต่ละคนก็ขอเรียกค่าใช้จ่ายไม่เท่ากันครับ ถ้าอย่างไรก็ของปรึกษาและตกลงกันก่อนฟ้อง หากคุณพอใจในการดำเนินการของทนายความคนไหนก็ตกลงตามที่คุณพอใจ โดยที่ไม่รู้สึกว่าถูกเอาเปรียบจนเกินไป

ผู้แสดงความคิดเห็น รอยเปลื้อน วันที่ตอบ 2009-07-10 11:29:07



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล