ReadyPlanet.com


มรดก


ที่ดินของสามีที่เป็นสินส่วนตัวนั้น เมื่อสาีมีตาย ภรรยาจดทะเบียน และลูกชอบโดยกฎหมาย จะมีสิทธิในกองมรดกนี้อย่างไรคะ หรือ หากไม่มีลูํก มีแต่ภรรยาจดทะเบียน แต่มีพี่ร่วมบิดามารดาเดียวกัน จะแบ่งกันอย่างไรคะ


ผู้ตั้งกระทู้ เอ :: วันที่ลงประกาศ 2009-08-01 17:28:57


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1970388)

แล้วบิดามารดาเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เพราะเขาก็เป็นทายาทอันดับ 2 หากไม่ทราบข้อเท็จจริงนี้ตอบไปก็คลาดเคลื่อนครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2009-08-02 10:30:10


ความคิดเห็นที่ 2 (1971767)
บิดามารดาเสียชีวิตแล้วค่ะ เอ
ผู้แสดงความคิดเห็น เอ วันที่ตอบ 2009-08-06 21:04:50


ความคิดเห็นที่ 3 (1971981)

สินส่วนตัวของเจ้ามรดกถือเป็นมรดกของผู้ตาย ตกได้แก่ทายาท เมื่อบิดามารดาเสียชีวิตแล้วจึงตกได้แก่บุตรและคู่สมรสคนละกึ่งหนึ่งครับ(พี่น้องร่วมบิดามารดาไม่มีสิทธิ)

แต่ในกรณีที่ไม่มีบุตรนั้น ตกได้แก่คู่สมรสกึ่งหนึ่ง ส่วนอีกกึ่งหนึ่งตกได้แก่พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันครับ(จะมีกี่คนก็เอาไปแบ่งกันเอง)

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2009-08-07 15:02:22


ความคิดเห็นที่ 4 (1971983)

 

โจทก์ทั้งสามฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามและจำเลยกับนายลับเป็นทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิริบทรัพย์มรดกของนางกิมฮวย เมื่อปี 2534 ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งตั้งนายลับกับจำเลยให้ร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดกของนางกิมฮวย ต่อมานายลับได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีมรดกอีกคดีหนึ่ง แล้วบุคคลทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยนายลับตกลงแบ่งทรัพย์มรดกของนางกิมฮวยให้แก่จำเลย ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมเมื่อปี 2543 ต่อมาจำเลยได้ดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์มรดกเป็นของจำเลย โดยไม่แบ่งปันให้แก่โจทก์ทั้งสามซึ่งมีสิทธิได้ริบทรัพย์มรดกดังกล่าวด้วย ขอให้บังคับจำเลยจัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกที่ดินทั้ง 4 แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ทั้งสามและจำเลยคนละส่วนเท่า ๆ กัน หากไม่สามารถแบ่งได้ให้ศาลมีคำสั่งยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกขายทอดตลาด และนำเงินที่ได้รับจากการขายทอดตลาดมาแบ่งปันกันคนละส่วนเท่า ๆ กัน และให้จำเลยแบ่งเงินจำนวน 200,000 บาท ให้โจทก์ทั้งสาม คนละ 50,000 บาท

จำเลยให้การว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมแล้ว ดังนั้น ทรัพย์สินและเงินสดที่จำเลยได้รับจากนายลับตามสัญญา จึงเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของจำเลย มิใช่ทรัพย์มรดกของนางกิมฮวย ซึ่งจะต้องนำมาแบ่งปันให้แก่โจทก์ทั้งสาม โจทก์ทั้งสามไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจัดการแบ่งที่ดิน 4 แปลง ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2280, 2033, 3440 พร้อมสิ่งปลูกสร้างและเลขที่ 1475 ตำบลสามแวง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ แก่โจทก์ทั้งสามและจำเลย คนละส่วนเท่า ๆ กัน หากจำเลยไม่ดำเนินการหรือไม่สามารถแบ่งได้ ให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวออกขายทอดตลาด และนำเงินสุทธิที่ได้รับจากการขายทอดตลาดมาแบ่งปันกันคนละส่วนเท่า ๆ กัน และให้จำเลยแบ่งเงินสดให้โจทก์ทั้งสามคนละ 50,000 บาท กับให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสาม

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยแบ่งที่ดินทั้ง 4 แปลง ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2280, 2033, 3440 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และเลขที่ 1475 ตำบลสามแวง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ แก่โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ส่วน ใน 8 ส่วน ถ้าแบ่งไม่ได้ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดแบ่งเงินสุทธิให้โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ส่วน ใน 8 ส่วน และให้จำเลยแบ่งเงินมรดกให้โจทก์ทั้งสามคนละ 25,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นจำนวน 4,687.50 บาท แก่โจทก์ทั้งสาม และให้คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์จำนวน 4,687.50 บาท แก่จำเลย

โจทก์ทั้งสามและจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติได้ว่า นางกิมฮวย ชื่นอุรา เจ้ามรดกมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด 5 คน คือ นางกิมฮวย นางเล็ก เขียนนิลศิริ มารดาจำเลย นายชูศักดิ์ อินทรกำแหง บิดาโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 3 ก่อนนางกิมฮวยถึงแก่ความตาย มีนายลับ ชื่นอุรา เป็นสามีชอบด้วยกฎหมาย นางกิมฮวยถึงแก่ความตายปี 2534 นายลับสามีได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกนางกิมฮวย นางเล็กมารดาจำเลยได้ยื่นคำร้องคัดค้าน แต่ในที่สุดตกลงกันให้จำเลยและนายลับร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดกของนางกิมฮวยและศาลได้มีคำสั่งตั้งจำเลยและนายลับเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกัน หลังจากนั้นทั้งนายชูศักดิ์และนางเล็กได้ถึงแก่ความตาย และในวันที่ 10 มีนาคม 2542 นายลับเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยขอแบ่งทรัพย์มรดกหลายรายการ ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 696/2543 ของศาลชั้นต้น ต่อมานายลับและจำเลยตกลงแบ่งทรัพย์มรดกของนางกิมฮวยกันได้และทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลโดยนายลับตกลงแบ่งที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 2280, 2033, 3440 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และเลขที่ 1475 ให้แก่จำเลย ซึ่งคือที่ดินพิพาทในคดีนี้ และนายลับยังได้ตกลงชำระเงินอีกจำนวน 200,000 บาท แก่จำเลยเป็นค่าสลากออมสินที่นายลับได้รับจากนางกิมฮวยและเป็นค่าที่นายลับเก็บกินผลประโยชน์จากทรัพย์มรดก โดยจำเลยไม่ติดใจในทรัพย์มรดกของนางกิมฮวยอีกและให้จำเลยพ้นจากการเป็นผู้จัดการมรดก ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสารหมาย จ.4 ต่อมาจำเลยได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เอกสารหมาย จ.6 ถึง จ.9 โจทก์ทั้งสามจึงฟ้องแบ่งที่ดินพิพาททั้ง 4 แปลง จากจำเลย

คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในข้อแรกว่า โจทก์ทั้งสามมีสิทธิฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกจากจำเลยหรือไม่ ในข้อนี้จำเลยฎีกาว่า จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับนายลับจนศาลพิพากษาตามยอมแล้ว โดยให้จำเลยถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนางกิมฮวย และให้นายลับเป็นผู้จัดการมรดกเพียงคนเดียว เมื่อนายลับแบ่งทรัพย์มรดกให้จำเลย หากโจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหายก็ต้องไปฟ้องเรียกร้องเอาจากนายลับนั้น เห็นว่า ที่ดินพิพาททั้ง 4 แปลง และเงินสดจำนวน 200,000 บาท ที่นายลับแบ่งให้จำเลยเป็นทรัพย์มรดกของนางกิมฮวย โจทก์ทั้งสามในฐานะทายาทโดยธรรมเช่นเดียวกับจำเลยย่อมมีสิทธิที่จะได้รับการแบ่งปันทรัพย์มรดกดังกล่าวด้วย การที่นายลับกับจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกและจำเลยถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดกแม้ศาลจะพิพากษาตามยอมแล้ว เมื่อโจทก์ทั้งสามไม่ได้ลงลายมือชื่อให้ความยินยอม สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวย่อมไม่มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสาม ดังนั้น เมื่อจำเลยและนายลับแบ่งปันทรัพย์มรดกโดยไม่แบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์ทั้งสามซึ่งมีสิทธิรับมรดกเช่นนี้ จึงเป็นการปฏิบัติผิดหน้าที่ของผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719 โจทก์ทั้งสามในฐานะทายาทโดยธรรมผู้มีส่วนได้เสียและมีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกย่อมฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกคือที่ดินพิพาททั้ง 4 แปลง และเงินจำนวน 200,000 บาท ที่จำเลยได้รับไปได้ ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1745 ประกอบมาตรา 1363...

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามมีเพียงประการเดียวว่า นายลับสละสิทธิ์ในส่วนแบ่งมรดกที่ดิน 4 แปลง และเงินสดจำนวน 200,000 บาทหรือไม่ ในข้อนี้โจทก์ทั้งสามฎีกาว่า การที่นายลับทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยโดยยอมแบ่งที่ดินพิพาท 4 แปลง และเงินสดจำนวน 200,000 บาท ให้แก่จำเลย ย่อมถือว่านายลับมีเจตนาสละสิทธิ์ในทรัพย์มรดกส่วนนี้แล้ว เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1613 บัญญัติว่า การสละมรดกจะทำแต่เพียงบางส่วนหรือทำโดยมีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาไม่ได้ การที่นายลับยอมแบ่งทรัพย์มรดกดังกล่าวให้แก่จำเลยก็เพื่อให้จำเลยพ้นจากการเป็นผู้จัดการมรดกและจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์มรดกส่วนอื่น ๆ อีก เป็นการต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่านายลับสละมรดก เมื่อข้อเท็จจริงในคดีปรากฏว่า เจ้ามรดกยังมีนายลับเป็นคู่สมรส นายลับย่อมมีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1635 (2) อีกกึ่งหนึ่งคงตกได้แก่โจทก์ทั้งสามและจำเลยคนละส่วนเท่า ๆ กัน ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยให้จำเลยแบ่งที่ดินทั้ง 4 แปลง และเงินสดให้โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ส่วนใน 8 ส่วน จึงชอบแล้ว”

พิพากษายืน

( เกษม วีรวงศ์ - ชวลิต ตุลยสิงห์ - สุรพล เอกโยคยะ )

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2671/2548

http://www.deka2007.supremecourt.or.th/deka/web/docdetail.jsp

 

ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2009-08-07 15:05:17



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล