ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องของคุณคือ หาคนอื่นมาเป็นผู้เช่าซื้อแทน หรือคุณเป็นผู้เช่าซื้อเองและหาผู้ค้ำประกันให้บริษัทเชื่อถือได้ครับ เพราะเขาเองก็ไม่มีเจตนาจะเอารถของคุณไปอยู่แล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาทำก็ไม่ถูกต้องครับ เขาไม่มีสิทธิทำอย่างนั้น คุณไม่น่าไปทะเลาะกับคนที่เคยมีบุญคุณกับคุณเลย เพราะการที่เขายอมให้ใช้ชื่อก็ถือว่า เขาไว้เนื้อเชื่อใจในตัวคุณระดับหนึ่งแล้วครับ

หากผมเป็นพี่ชายคุณคนนั้นผมก็คงไม่ไปยุ่งด้วยหรอกครับ เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แต่เอากระดูกมาแขวนคอ

รองพูดคุยปรับความเข้าใจกันดูก่อนดีไหมครับ อะไรพอขอโทษกันได้ก็ลองดูครับ

เห็นด้วยกับความเห็น ที่ 1 ขอเพิ่มเติม การที่พี่ชายคุณโดยที่ไม่ได้เป็นพี่แท้ๆ ได้รับเป็นภาระให้คุณได้ใช่ชื่อเขาเป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์ไปใช้   แสดงว่า เขาได้ไว้วางใจคุณ เป็นเบื้องต้นอยู่แล้ว  ตอนหลังๆ คุณทำตัวให้เขา ไม่น่าไว้วางใจ  ด้วยประการใดก็ตาม  เขาก็อาจจะมีความกลัว

เช่น หากคุณไม่ส่งค่างวดรถ ตามสัญญาทุกเดือน เขาก็จะเสียเครดิต  หากคุณซ่อนรถ ยักยอกรถ แอบขายรถ แอบจำนำรถ คนแรกที่รับผิดชอบคือ ผู้ซื้อหรือเขา ที่จะต้องถูกฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาล จากบริษัท  โดยเฉพาะหากเขาทำงานประจำ หรือเป็นข้าราชการ ความเสียหายมาก

เพราะฉนั้นคุณต้องเข้าใจเขา  ที่ผมพูดอย่างนี้ เพราะมีคดีตัวอย่าง  คือ หลานของภรรยาผม ได้ไปให้เพื่อนใช้ชื่อซื้อรถยนต์ มือสองจากเต้นท์ที่กรุงเทพฯ เพื่อนไดด้รถมาแล้ว ส่งได้ 2-3 งวด ก็นำรถไปจำนำเพื่อนอีกคนหนึ่ง เพื่อนที่แสนดีก็นำรถไปจำนำต่อ ค่างวดก็ไม่ส่ง  คนที่ถูกฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาล คือ หลานภรรยาผม ต้องเดินทางจาก สุราษฎร์ฯ ไปขึ้นศาลที่กรุเทพฯทุกครั้ง ลืมบอกเพื่อนที่ขอใช่ชื่อหลาน เป็นข้าราชการตำรวจ  ตอนนี้ศาลสั่งตามฟ้อง ต้องชำระค่าเสียหาย สี่แสนกว่าบาทและปรับเป็นรายวัน วันละ 1400  บาท จากค่ารถที่ทำสัญญา สองแสนกว่าบาท  ก็คงเข้าหลักล้าน เพื่อนตัวดีที่เป็นตำรวจก็หายหน้าไปเลย อย่างนี้แหละ  ใครๆ ก็กลัวกัน